๐ ราตรีบุหลันบุษบัน ๐ ๏ ราตรีผ่องม่านฟ้า........เหล่าบุปผามาสนอง ดาวแขแลแนบครอง.....เปล่งหล้าฟ้าหาเดียวดาย หอมเจ้าซิคลายหมอง...โปรยละอองล่องลอยหาย ลมเย็นมิละลาย...........แนบสู่ซึ้งห้วงในทรวง๚ะ๛ ๏ ลดาวัลย์เผยยั่วเย้า........บุษบา หอมเอย บุณฑริกเย้าชวนหา...........อวลเนื้อ ชมนาดใฝ่กลิ่นมา.............ขาวก่อ มวลแฮ แขเปล่งหนุนสู่เอื้อ...........มุ่งเคล้ากล่อมถวิลฯ ๏ ดอกแก้วคิดมุ่งคว้า.........เด่นนาง ดอมแฮ เพ่งพิศยากจะวาง...............กอบไว้ มัณฑนามิเจือจาง..............คมเกี่ยว สู่นา ดั่งมีดลงคลั่งไคล้...............ฝากเนื้อใฝ่ครองฯ ๏ บุณฑริกผันฝากเอื้อ....มุ่งชม แม่นา อวลบุษบันหอมรม..........ซ่านซึ้ง คัดเค้าใฝ่ให้ดม...............สืบต่อ หวังแฮ หอมสุดจากห้วงบึ้ง..........สู่เคล้าเฝ้าสนองฯ ๏ซ่านอวลบ่มม่านฟ้า......คิดเชย ผกาแม่ แขส่องดาราเคย.............ฝากไว้ ใจจิตสุดยากเผย.............คำกล่าว จริงนา หวังจะใคร่ลูบไล้.............จูบเจ้าคลอเคียงฯ ๏ อกเอ๋ยชวนป่วนแล้ว....ใฝ่หา จริงเอย หลายหลากกลิ่นนำมา.....คลั่งแล้ว หอมอวลยิ่งนำพา............ผ่านต่อ ผกานา เพียงนั่งเชยร่ำแพร้ว.........ค่ำนี้ดั่งสรวงฯ ๏ อบอวลยามลูบไล้.......แลมอง หอมเอย แสงผ่านนวลไล้ปอง...... .เพริศแพร้ว ดุจหนึ่งมุ่งเรืองรอง...........เกิดก่อ ผกาเอย แนบยากจะหวังแล้ว.........ใฝ่เจ้ารำพึงฯ ๏ บุหลันผกาเพ่งซึ้ง...........คำนึง นางเอย สวยสดจนรำพึง....................ดั่งเจ้า แต่วาสนามิถึง......................ฝันใฝ่ แม่นา เปรียบดั่งนวลหวังเคล้า.........ลูบไล้บุษบันฯ ๏ สายลมหอมแผ่ฟุ้ง.......กำจร อบอวล ดั่งหนึ่งต้องคันศร............ปักห้วง กามเทพมิอวยพร............เหินห่าง นาแม่ นั่งเหม่อยากไขว่จ้วง.......สิ่งไล้แนบทรวง.๚ะ๛ ๐ แก้วประเสริฐ. ๐
รำพึงหวนทวนฝัน วันเวลาเคลื่อนคล้อยลอยเลื่อนลับ ย่อมหวนกลับยามคิดจิตทวนฝัน เราคิดมากอย่างไรหนอใจกัน จึงมีวันเช่นนี้ที่ผ่านไป กาลผ่านไปไฉนเข้าใจผิด วิปริตจนหมองมิผ่องใส ตัดวิตกผ่านจินต์สิ้นต่อใจ ซึ้งเยื้อใยเราผิดคิดไปเอง ไทยกลอนนี้ที่รักฉันปักมั่น จึงย้อนวันหวนกลับกระฉับเฉง จึงแต่งกลอนผ่านไว้คล้ายละเลง มิอวดเก่งคืนกลับนับบ้านเดิม จะมีใครลืมเราหรือเปล่าหนอ จึงใคร่ขอยกโทษโปรดได้เสริม ผ่านวันไปนั้นคิดจิตเหิมเกริม จึงขอเริ่มสานต่อหนอกลอนไทย ด้วยฉันเกิดที่นี่แล้วหนีห่าง สิ่งเวิ้งว้างค้นพบบรรจบไสว แม้นมีที่ให้เล่นมิเด่นไกล ใจหวั่นไหวไม่เหมือนที่เรือนเดิม แสนเป็นห่วงเพื่อนรักได้พักจิต ปรับปรุงคิดสิ่งสร้างเพื่อวางเสริม จึงวางถ้อยร้อยไว้ในที่เดิม จะขอเริ่มร้อยกรองผ่องจิตใจ. แก้วประเสริฐ.
ลาก่อนกลอนไทย สุริยันต์จันทรายังลาลับ คนบ้าพับมุมมองแม้หมองศรี เป็นแก้วร้าวคราวแยกแตกชีวี สิ้นรัศมีแพรวพร่างกระจ่างจร อันสัจจะวาจานั้นคราถวิล ผูกดวงจินต์อาทรตอนสังหรณ์ มิหวังสิ่งใดแล้วแผ่วอาทร เป็นแต่ขอนไม้เก่าเฝ้าโรยลา ถึงคราวสิ้นแก้วประเสริฐเกิดร้าง แม้นเคว้งคว้างนภายากมาหา อนิจจา ณ สถานนี้มิหวนมา ป่วนอุราต้องฝืนสะอื้นไกล ขอทุกคนจงสนานผ่านเกษมสุข นิราศทุกข์ปรีเปรมดิ์เคลมสดใส หวังสิ่งใดสมมาดปราศทุกข์ภัย แม้ดวงใจหมองหม่นต้องทนเอา อันเรื่องราวต่างต่างมิสร้างจบ ขอน้อมนบอภัยด้วยได้เขลา ความโง่เง่าเต่าตุ่นกูลบางเบา มิอาจเท่านักปราชญ์เชื้อชาติกวี แม้นมีคนเกิดรักฝากตัวนี้ มิเคยที่อวดตัวกลัวหมองศรี ให้เขาคิดคำนึงซึ้งความดี ทวนอีกทีทุกครั้งอย่ากังวล ด้วยฉันนี้คนบ้าแถมบอบ๊องส์ ยากจะสนองในสิ่งอิงสับสน มิอวดตัวว่าเก่งเหนือกว่าคน เกิดวังวนฟุ้งซ่านผ่านเขามอง ต่อไปนี้แก้วประเสริฐลาลับ มิขอกลับไทยกลอนย้อนสนอง ใครเป็นศิษย์มิใช่อย่าหมายปอง ตามคัลลองต้องเอ่ยกล่าวสวัสดี. * แก้วประเสริฐ. *
น้ำตาลหวาน ผลพฤกษ์ใดไหนเท่าน้ำตาลหวาน จากอ้อยตาลมะพร้าวเคล้าผ่านผสม หรือกลั่นจากแครอทลิ้นดอดอม รสฝาดขมฝรั่งพล่านหันน้ำตาล อีกนัยหนึ่งโบราณท่านกล่าวไว้ หวานสิ่งใดไม่เท่ามธุรสหวาน ซึ้งทั้งนอกผ่านในไว้ตลอดกาล แสนฟุ้งซ่านสราญจิตสนิทหทัย วจีเอ่ยซาบไว้ในมธุรส ผ่านจรดแนบห้วงปวงสดใส จะเบิกบานเสน่หาแม่ยาใจ มองสิ่งใดน่ารักประจักษ์เชย เสน่หายาหยีมีเพียงหนึ่ง ยามเอ่ยซึ้งฝากไว้คิดใคร่เสวย สวยทั้งรูปงามเด่นเน้นมากเลย ยลเจ้าเฉลยคล้ายแขแผ่แสงนวล มธุรสมากล้ำคำคมคิด ช่างประดิษย์ถ้อยคำย้ำใคร่หวน มาฟังเสียงหวานฉ่ำล้ำแนบอวล ห้วงปั่นป่วนจนซ่านฝันถึงนาง คิดคำนึงตรึงสถิตย์จิตฝากถ้อย ช่างหยดย้อยเลิศล้ำย้ำสล้าง ดุจมโหรีสานเสนาะเกาะมิจาง ล้วนกระจ่างสำเนียงเยี่ยงเมืองแมน อีกเอวองค์พราวพริ้งยิ่งสดไสว เลิศไฉไลหาเทียบเปรียบเหลือแสน แม้นอัปสรว่างามมิข้ามแดน อีกแว่นแคว้นอิสตรีมิเทียบนวล นางพร้อมด้วยมธุรสจรดรูป ยิ่งนางลูบร่างกายแล้วได้สรวล ดุจกังสดาลผ่านฟ้ามาเย้ายวน อกปั่นป่วนล้วนคนึงซึ้งตาลหวาน. * แก้วประเสริฐ. *
ทางแสงดาว กึ่งราตรีพราวสว่างสู่กลางฟ้า มวลดาราระยิบกระพริบแสง อวลสิ่งหอมผกาล้วนมาแซง ดุจจะแข่งดาวน้อยลอยคู่กัน ทางช้างเผือกบนฟ้าคราขาวผ่อง ดุจลำยองบนห้วงล่วงเสพย์สันต์ ระวิงไว้หมายเคล้าหยอกเย้ากัน พรากสวรรค์พุ่งครวญหวนสู่ดิน น้ำค้างพร่างแวววับจับใบพฤกษ์ ซ่านเย็นผนึกฝากไว้ใคร่หวนถวิล หยดหยาดย้อยร้อยชั่งกระจ่างจินต์ คล้อยล่วงรินเป็นทางสว่างหนา คิดสาวหนึ่งพริ้มพรายในห้วงนึก วาบหวามตรึกคล้ายทางกลางเวหา พริ้มพรายพักตร์ลักขเนตรเจตนา ยากไขว่คว้าฝากเทียบเปรียบเทวี ประกายส่องสีไสวพรายจากเนตร ล้วนม่านเฉกกลมโตโอ้มารศรี ขนตางอนหางหงส์บ่งแสงรวี ดั่งอัญมณีพรายพร่างกระจ่างนภา ทั้งรูปร่างทรวดทรงเอวองค์สล้าง งามกระจ่างสิ่งสลักฝากหวนหา ล้วนเพ่งพิศฝากซ่านผ่านมรรคา หลากเสน่หามากล้นมิพ้นครวญ ดุจดาวน้อยพร่างพรายประกายพลิ้ว หวานผ่านปลิวบรรจบกระทบหวน งามกำเนิดสรรค์สร้างกลางรัญจวน ทรวงปั่นป่วนฝากเจ้าอยากเคล้าคลึง โอ้วาสนามากน้อยล่องลอยแล้ว เสียงเจื่อนแจ้วป่วนปั่นนั้นครวญถึง เป็นทางสาวแสงดาวเย้าหยอกตรึง ม่านคำนึงฝากสล้างระหว่างครอง. * แก้วประเสริฐ. *