เสียงจากผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง ดังขึ้นใกล้ๆกับที่พักของ วินมอเตอร์ไซด์ " พี่ๆ ก่อนน้ำจะมาถึงซอยเรา เรามาช่วยกันลอกคลอง เอาขยะและโคลนตมขึ้นมาก่อนดีมั้ย เวลาน้ำมา มันจะได้ไม่อยู่กับเรานานเกินไป หนูทำคนเดียวคงไม่ไหว ใครเห็นด้วยกันหนูบ้างคะ" ฉันไม่ได้คาดหวังอะไรมาก เพราะรู้ว่าคำตอบที่จะได้รับ มันมีอยู่ในใจ 60 เปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว " น้องเอ้ย..เอาฟัก เอาแฟง มาให้พี่ปลูก ก็จะดีเสียกว่า ชวนขุดลอก คู คลอง เชื่อพี่เถอะอย่าเสียแรงเลย ให้พวกสส. สก.เขามาทำ ไม่มีเงิน ไม่มีคนทำหรอก..." " หนูก็รู้อยู่แล้ว..ความคิดหนูมันเหมือน"หมาฝัน" แล้วฉันก็หัวเราะ " ไม่มีปัญหาพี่ หนูไม่มีเงิน แต่มีใจ ไปทำอย่างอื่นดีกว่า " " เอ้ย..อะไรของเธออะ หมาฝัน" พี่คนหนึ่งในกลุ่มเอ่ยปากถาม " แฮะๆ ..หนูจำคนจีนเขาพูดมาพี่ " หมาฝันหนี่" น่าจะแปลว่า ลำบากนะ จะว่าไป หนูก็เหมือนหมาฝันจริงๆเนาะ ฝันว่าจะมีคนเห็นด้วย แต่ไม่มีซะงั้น 555 " หัวเราะแบบไม่เกรงใจใคร อิ " น่า..พี่ว่าน้องไปทำผม ทาเล็บ นอนดูหนัง ฟังเพลงที่บ้านดีกว่า เชื่อพี่เถอะ" " ไม่เชื่อพี่หรอก..." หลังจากฉันไปช่วยแพ๊คของมาหลายครั้ง อยากออกพื้นที่บ้างค่ะ ฉันอาศัยเฟสบุ๊คชวนเพื่อนๆ ไปร่วมกิจกรรม ที่สภากาชาด ฉันได้รู้จักเพื่อนใหม่หลายคนค่ะ ทั้งนักข่าวนสพ.ญี่ปุ่น ทั้งเจ้าของกิจการ บางคนใจดี นำอาหารมาเลี้ยงเหล่าจิตอาสา บางคนก็เป็นจิตอาสาเดินเสริฟน้ำให้คนแพ๊คของ เพื่อนชวนฉันไปทำกิจกรรมหลายๆที่ ซึ่งฉันเองก็ไม่ได้ปฏิเสธซะทีเดียว แต่ที่เลือกสภากาชาด เพราะเห็นว่าสะดวกกับการเดินทางที่สุดค่ะ หลังจากคุณกิ่งได้ยินว่า ฉันไปช่วยแพ๊คของ และอยากออกพื้นที่ คุณกิ่งเลยอาสาไปด้วยค่ะ 20 พฤศจิกายน 2554 ว่าตื่นแต่เช้าแล้วนะคะ แต่เพื่อนๆบอกว่า อีก 10 นาทีจะถึงกัน ฉัน.. ผู้เอ่ยปากชวนทุกคน กลับยังนั่งเป่าผมอยู่ที่บ้าน...5555 เรียกมอเตอร์ไซด์ ซิ่งเลยพี่... ยี่สิบนาที จากบ้านก็มาถึงสภากาชาด มองเห็นสายตาบางใครกำลังยืนชะเง้อหาอยู่ วันนั้น เพื่อนฉันมาเยอะมากๆ คุณแข พาเพื่อนร่วมงานมีแพ๊กของ48 คน คุณแหม่ม ตั้งใจจะไปลงพื้นที่ด้วยกัน แต่มาช้า เลยอดไปค่ะ และพี่ๆ นักข่าว ที่เป็นมิตรใหม่ของฉัน พี่เขาบอกก่อนหน้านั้นว่า จะนำอาหารมาเลี้ยงพวกเราจิตอาสาด้วย แต่ฉันไม่ได้ชิมฝีมือพี่เขา เพราะออกพื้นที่ ในรถ 1 คัน ผู้ชาย 4 คน ผู้หญิง 2 คน วันนั้น..จิตอาสาที่ต้องการออกพื้นที่เยอะมากๆ หลายคนที่ไม่ได้ไป เพราะจำนวนคนครบก่อน ก็อยู่ช่วยแพ๊คของที่นั่น รถ 5 คัน ถูกจัดให้ไปคลองมหาสวัสดิ์ เพื่อแจกถุงยังชีพ ข้าวสาร อาหารสุนัข แพมเพิท และน้ำดื่ม และอาหารปรุงสุก แต่ละคัน บรรจุมา 300 ชุดค่ะ อ้างอิงจากระทู้ของกิ่งโศก ที่ได้ลงรายละเอียดไปแล้ว ในส่วนนของแก้วฯ ขอนำภาพบางส่วน ที่พอจะถ่ายได้ ขณะออกปฏิบัติภารกิจของวันที่ 20 ที่ผ่านมา มาให้ทุกท่านพร้อมภาพบรรยายนะคะ เมื่อรวมตัวกันครบทีม ขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันหน่อยค่ะ จากซ้ายมือมิตรใหม่คุณป๊อป คุณแอน คุณภัทร และ เงาสายลม กิ่งโศก V คุณแหม่ม เพื่อนแก้วฯ มาช้า เลยไม่ได้ไปด้วยกัน ต้องอยู่ช่วยเพื่อนๆอีกเกือบห้าสิบชีวิตที่อาสามาแพ๊คของที่สภากาชาดค่ะ V เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ต้องปีนบันใดขึ้นรถบรรทุก ขาสั่นเลยค่ะ มองลงมาด้านล่าง เสียวหลังวาบๆ โชคดีว่ามีคนยื่นมือมารับ อิ ขบวนรถขับมาตามเส้นทางไปบางบัวทอง เมื่อถึงจุดนั้น มองเห็นแล้วว่า น้ำท่วม หมู่บ้านที่เราจะเข้าไปแจกของนั้น ถนนกลายเป็นคลอง แม่น้ำ เรือคือยานพาหนะที่ดีที่สุดของทุกคน เมื่อไปถึงวัดโคนอน ภาพที่ประชาชนพายเรือออกมารอรับสิ่งของ มากมายเกินที่แก้วฯคาดคะเนไว้ เรือบางลำถูกพายด้วยคนวัยชรา บางลำ หอบลูกออกมา บางลำมีสุนัขมา ท่ามกลางอากาศที่ร้อนระอุ ฉันแอบกลืนน้ำลายลงคอ ความรู้สึกนั้น ฉันบอกไม่ถูกหรอกว่า รู้สึกอย่างไร ฉัน..ไม่ได้เดินเข้ามาเพื่อแบ่งความสุขจากทุกคน แต่มาเพื่อแบ่งเบาความทุกข์ ถึงแม้มันจะไม่ใช่ทั้งหมดที่ทุกคนมี แต่ฉันก็ยินดีจะทำ ถุงยังชีพ น้ำหนักไม่ได้ชั่ง หนักพอที่ฉันต้องใช้พลังพอสมควร ถุงข้าวสารน้ำหนักถุงละ 5 กิโล น้ำดื่มอีกจำนวนหลายแพ๊ค อาหารสุนัข ผ้าอานามัย ถุงดำใส่ขยะ แพมเพิทฯลฯ ถูกส่งต่อ ไม่มีหยุดมือ ภาระกิจจะสำเร็จได้ ก็ต่อเมื่อของนั้นได้มอบให้ประชาชนจนหมด เมื่อรถคันแรก แจกของจำนวน 300 ชิ้นเรียบร้อย ความลำบาก น้ำลึก ทำให้ไม่สามารถจะลงไปในน้ำ แล้วปีนขึ้นมารถอีกคัน เพื่อแจกของต่อ คุณเพ็ญผู้นำทีมเรา ต้องให้รถบรรทุกขับาจอดเทียบคัน เพื่อเราะจะได้ปีน จากอีกคันหนึ่ง ไปอีกคันหนึ่ง " ลูกจะขอทำความดีเพื่อถวายพ่อหลวง และตอบแทนบุญคุณแผ่นดินตราบชีวิตจะหาไม่" เพราะฉันรักและเทิดทูนในหลวงเหนือสิ่งอื่นใด
นับตั้งแต่เกิดน้ำท่วมจนถึงวันนี้ มีเหตุการณ์หลายอย่างที่สะท้อนให้เห็นคนในสังคม ได้เห็นคนไทยช่วยเหลือ แบ่งปันน้ำใจ เงินทอง สิ่งของ หรือกระทั่ง รับฟังปัญหาที่ผู้ได้รับผลจากน้ำท่วม เพื่อช่วยผ่อนทุกข์ที่มีให้เบาบางลง หลังจากได้ไปร่วมกิจกรรมทาสี พอกลับมาคิดว่า ขอพักสักหน่อย แล้วจะไปเที่ยวที่ชัยภูมิ แต่ทุกอย่างถูกระงับด้วยความรู้สึกของตนเอง เมื่อข่าวแน่นอนว่า น้ำจะท่วมกรุงเทพฯ 16 ตุลาคม 2554 วันนั้นตัวเองรู้สึกปวดตามตัว เหมือนจะเป็นไข้ แต่ใจกลับอยากไปช่วย แพ๊กของที่ดอนเมือง จึงชวนพี่สาวไปด้วย ฉันต้องนั่งเรือเพื่อข้ามฝั่ง ขณะที่ฝนกำลังตก ร่มก็ไม่ได้ติดตัวมา ด้วยความหัวไวปานวอก แฮะๆ..ฉันเลยชวนเจ้เดินซื้อเสื้อกันฝนที่ 7-11 ค่ะ ดูเก๋ไม่เบาเลยนะคะ พี่บอกว่าสำหรับฉันแล้ว ต้องใส่สีชมพูเท่านั้น เหตุผล ลืมถามมาค่ะ เมื่อเดินทางไปถึงศปภ. ประชาชนที่ไปช่วยเยอะมากๆ เราไปช่วยยกน้ำ แยกขวดเล็ก ขวดใหญ่ ช่วยอยู่ประมาณ 2 ชั่วโมง สักพัก เขาประกาศขอจิตอาสาไปตักทราย ยกกระสอบที่คลองหก ด้วยพาหนะรถเมล์มารับ เราสองคนไม่ลังเล ตัดสินใจทันที ไปค่ะไป ขณะที่นั่งอยู่บนรถ ซึ่งแน่นเบียดด้วยจิตอาสา บางคนไม่มีที่นั่ง ก็ได้น้ำแพ๊คที่จะเอาไปกินนั่นแหละ มานั่ง เพราะระยะทางไกล ผ่านไป1 ชั่วโมง รถก็ไม่มีทีท่าว่าจะถึง ...พี่น้องคะ คนขับรถเมล์หลงทางค่ะ ...แทนที่เขาจะกลับรถแล้วตรงไปทางรังสิต แต่พาไปทางรามอินทรา แถมขึ้นทางด่วนผิด ถอยหลังกลับ รถที่กำลังจะวิ่งขึ้นทางด่วน บีบแตรดังลั่น พวกเราบนรถ บางคนเงียบ มือจับราวแน่น บางคนร้องกริ๊ด ส่วนแก้วฯ ตัดสินใจ ยื่นหน้าออกไปนอกหน้าต่างรถ แล้วทำมือให้รถที่กำลังจะวิ่ง ขึ้นมาทางด่วนเบี่ยงตัวออกเลนขวา ซึ่งก็ได้ผล .. กว่ารถเมล์จะพาพวกเราหลายชีวิตไปถึงกรมการปกครอง ที่คลองหก ก็เสียเวลา 2 ชั่วโมง ถึงนั่นประมาณบ่าย 3 โมง ทานอาหารกลางวันกัน อาหารที่เตรียมไว้สำหรับจิตอาสา มีมากมาย หลายอย่าง แต่ความหิวอะไรก็ได้ ขอเพียงอิ่มท้อง เพราะสมองมันจดจ่ออยู่ที่ การตักทราย ยกกระสอบขึ้นรถมากกว่า อ้อ..ลืมเล่าไปนิดหนึ่งค่ะ ว่า ขณะที่นั่งอยู่บนรถเมล์ ค่าเวลา โทรหาอัลมิตรา เย้าเธอเล่นว่า ช่วยส่งข้าว ส่งน้ำมาให้หน่อย หิว .. ดูเหมือนขณะนั้น เธอเองก็กำลังแพ๊คของเตรียมแจกอยู่เช่นกัน หลังจากนั้นฉันและพี่ พร้อมจิตอาสาเป็นพันๆคน แยกย้ายกันทำงาน ภายใต้แสงแดดที่แผดเผา พื้นดินที่เฉอะแฉะ กองทรายที่ถูกเทลงมาด้วยรถกระบะ จากทั่วทุกสารทิศ เพื่อน้ำมาช่วยวิกฤตครั้งนี้ ในใจฉัน...วันนั้น 16 ตุลาคม 2554 ฉันไม่คิดว่า สถานการณ์น้ำท่วมจะรุนแรงและเกิดภัยวิบัติได้มากมายขนาดนี้ ทุกคน ไม่เว้น ชาย หรือหญิง มีแรงยกกระสอบทรายน้ำหนักหลายกิโล เรายกขึ้น กระสอบแล้วกระสอบเล่า โดยที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย สิ่งที่ฉันเห็น คือพื้นที่นั้น เต็มไปด้วยผู้คน เสื้อผ้าเลอะทราย ดิน เปื้อนไปด้วยเหงื่อที่ไหลเปียกชุ่ม ทั้งตัว แต่ใบหน้าทุกคนกลับเปื้อนด้วยรอยยิ้ม ไม่มีวันที่ฉัน จะลืมภาพนั้นลง สิ่งที่ฉันเห็น และได้ยิน เมื่อฉันเอ่ยปากให้เหล่าทหารพักทานข้าวก่อน แต่พวกเขากลับยิ้มแล้วบอกฉันว่า ขอให้งานเสร็จก่อน แล้วค่อยกินครับ... ฉันและเธอ ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เธอไปคนเดียว เราเดินทางขึ้นรถเมล์ไปคลองหกด้วยกัน แล้วมิตรภาพก็เกิดขึ้น พอได้เวลากลับบ้าน รถเมล์ทะยอยเข้าไปรับจิตอาสากลับมาที่ดอนเมือง แต่คันแล้ว คันเล่า ก็ชี้ให้รอคันหลัง เพราะคนแน่นจนล้นประตูค่ะ พลังของประชาชนที่เดินทางไปช่วย เยอะมากๆ เราจึงเดินออกมาถนนใหญ่ แล้วเรียกแท๊กซี่ จุดหมายคือ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ บนรถ นั่งกันห้าคน ช่วงเวลาเดินทางกลับ ฉันได้พูดคุย แลกเปลี่ยน ความคิดเห็นกันหลายอย่าง ทุกคนมีงานทำที่มั่นคง การสนทนาบนรถแท๊กซี่เกิดขึ้นอย่างไม่มีข้อกังขา เพราะทั้งหมดร่วมเดินทางทำงานด้วยใจ ไม่มีสี ไม่มีค่าย เมื่อถึงจุดหมายปลายทาง รถจอด..ประตูรถเปิดออก สองในห้าหันมายกมือไหว้ฉัน แล้วพูดว่า "เราดีใจและขอบคุณวันนี้ที่ได้พบพี่ประภัสสร" แล้วทั้งสองส่งยิ้มแล้วเดินจากไป ฉันอยากบอกน้องทั้งสองเหมือนกันว่า "ขอบคุณน้องเช่นกันที่วันนี้ ทำให้พี่ได้เห็นหัวใจของเด็กรุ่นใหม่ ที่เสียสละเวลาทำเพื่อส่วนรวม ขอบคุณรอยยิ้มของทุกคนที่ส่งพลังให้ทุกคนมีความสุข ขอบคุณจริงๆค่ะ" เห็นสำนวนฝรั่งพวกมังค่า เขาบอกว่าแชร์สุขสุขมากหลาย หากแชร์ทุกข์ทุกข์นั้นพลันมลาย เถิดสหายแชร์สุข ร่วมทุกข์กัน แก้วประภัสสร
เมื่อวันที่ 8-9 ตุลาคม 2554 ที่ผ่านมา แก้วประภัสสรได้มีโอกาสร่วมเดินทางไปเป็นจิตอาสาทาสีโรงเรียน ซึ่งผู้ดูแลระบบ ได้จัดทำขึ้น ตอนนี้อัลมิตรามีภาระสวมหัวใจผู้ให้อย่างเต็มตัว เธอสานงานต่อด้วยการไปช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม นับถือน้ำใจของเธอจริงๆค่ะ แม้ดิฉันเองพยายามเดินตามรอยเท้าของเธอ แต่หัวใจแห่งนักสู้ ผู้ให้ ยังทำได้ไม่เท่าครึ่ง เธอลุยไปทุกที่ ไม่มีข้อแม้ แน่นอนค่ะ การให้โดยไม่หวังผลตอบแทน ไม่ว่ากรณีใด ยิ่งในสถานะการณ์น้ำท่วมเช่นนี้ คนรับและคนมอบ ย่อมเกิดความรู้สึก ไม่โดดเดี่ยว มีพลังที่จะสู้ต่อไป สู้ๆนะคะอัลมิตรา พวกเราไทยโพเอ็มและเพื่อนๆทุกคน ให้กำลังใจเธอเสมอ ก่อนที่ดิฉันจะลงเรื่องสั้นและภาพกิจกรรมทาสี ได้บอกกล่าวเธอก่อนแล้ว คำตอบคือ ลงเลย ของเราคงอีกนาน จึงขอลงภาพบางส่วนนะคะ รายละเอียดทั้งหมด ดิฉันคืดว่า คนที่จะถ่ายทอดเรื่องราวและบทสรุปได้ดี คงหนีไม่พ้นผู้ดูแลระบบ รอให้น้ำลด เสร็จภาระกิจ คงได้ชมภาพเต็มๆ แต่ก่อนจะชมภาพ ดิฉันขอปรบมือและให้กำลังใจจิตอาสาทุกๆคน ที่ทำงานกันอย่างเหน็ดเหนื่อย ทั้งกิจกรรมทาสี และอีกหลายๆคน ที่เดินทางช่วยเหลือน้ำท่วม ไม่ว่าจะแพ๊คของ ขุด ยก กระสอบทราย บริจาคเงิน สิ่งของ เรือ และอื่นๆอีกมากมายค่ะ ทุกภาค ทุกส่วน เท่าที่ดิฉันได้ไปร่วมงาน แม้จะไม่ได้ลุยน้ำ ก็มั่นใจว่า "น้ำไหลแรงแค่ไหน ก็ยังแพ้น้ำใจจากคนไทยด้วยกัน" ขอพระสยามเทวาธิราช และพระบารมีพระเจ้าอยู่หัว และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก จงดลบันดาล ให้ทุกข์ภัยที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ผ่านพ้นได้ด้วยดีค่ะ และหวังว่า ภาระกิจจิตอาสาของพวกเราจะไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้ เช้า วันที่ 8 ตุลาคม 2554 แก้วประภัสสร และกิ่งโศก ได้เดินทางไปสมทบ กิจกรรมทาสีที่โรงเรียนวัดลิ้นช้าง ( ที่มาจากการโครงการเติมฝัน แบ่งปันน้ำใจ" และร่วมถ่ายภาพกับเพื่อนๆ เพียงพบครั้งแรกก็อุ่นใจแล้วเห็นมั้ยคะ สมาชิก พี่ๆ น้องๆบ้านกลอนไปกันหลายคนเลยค่ะ และจำนวนหนึ่งก็คุ้นหน้า คุ้นตากันพอสมควร เพราะเราเคยไปร่วมกิจกรรมกันมาหลายครั้งแล้ว ภาพจากกล้องหิ่งห้อยน้อยใจ น่าจะใช่นะคะ อิ เยอะมาก จำไม่ได้ค่ะ เริ่มซุกซนกันแล้วค่ะ เลอะไปตามๆกัน ลุ้นกันซะ เพราะเป็นการทาสีด้านนอกอาคารเรียน คนทามองไม่เห็นหรอกค่ะ พวกเรายืนเชียร์อยู่ช้างล่าง เอ้า..ซ้ายหน่อย ขวาๆๆ ปรบมือให้กำลังใจ นี่ก็หนึ่งในหนุ่มนบ้านกลอน ซึ่งตอนนี้น้ำท่วมบ้านนำไปก่อนแล้วค่ะ เก็บภาพรวมๆมาฝากค่ะ วันที่สอง เก็บงานทาสีอีกรอบ หลังงาน ลงเล่นน้ำที่ฝานกันค่ะ เย็นฉ่ำ ชื่นใจจริงๆ เอาละค่ะ ขอมอบภาพเป็นน้ำจิ้มให้ดูกันเพลินๆ ผ่อนคลายความกังวล จากเหตุการณ์น้ำท่วมไปพลางๆก่อนนะคะ ไว้รอชมภาพจากผู้ดูแลระบบแบบเต็มๆกันค่ะ นั่นแหนะ..มีคนสงสัยกันอีกว่า ใครเป็นใครกันบ้าง อยากรู้ใช่มั้ยละ อุบไว้ก่อน หากใครชี้ตัวถูก ว่าใครเป็นใคร ไม่ผิดฝา ผิดตัว แก้วฯมีรางวัลให้ค่ะ รางวัลคือ ..พาไปเก็บขยะ แพ๊กของ และกิจกรรมอื่นๆอีกมากมาย ตามสถานที่ต่างๆทั่วกรุงเทพฯ หวังว่าคงได้ไปด้วยกันนะคะ อิ