หลังจากได้รับทราบข่าว จากเพื่อนหลายคนๆ ว่าไม่สบาย เป็นโน่น เป็นนี่กันหลายคน หนึ่งสาเหตุที่ทำให้คนกรุงฯอย่างพวกเรา เจ็บป่วยบ่อยขึ้น เพราะอากาศไม่ถ่ายเท สภาพการทำงานอย่างเร่งรีบ เกิดภาวะความเครียด ซึ่งบางครั้งมันมาแบบเราก็ไม่รู้ตัว อาหารก็เป็นปัจจัยหนึ่ง ที่คุณหมอมักจะบอกคนไข้เสมอๆ ห้ามโน่น ห้ามนี่ แต่ความอยาก บางครั้งก็ทำให้ห้ามใจลำบาก อย่าว่าแต่คนอื่นเลยค่ะ แก้วฯเองก็เช่นกัน หมอสั่งงด เครื่องดื่มมึนเมา อันนี้ไม่แตะอยู่แล้ว ผ่านค่ะ หมอสั่งให้ลดปริมาณ กาแฟ ชงให้แข้มข้นน้อยที่สุด อันนี้รับได้ แต่ก็ยังต้องดื่ม ส่วนอาหารทะเล บางชนิด ที่ไปกระตุ้นฮอร์โมน และเพิ่มคอเรสเตอรอน เช่นปลาหมึก ..โห...หมอมาสั่งห้ามไม่ให้ทานญาติตัวองได้ยังไงคะ เจ้าปลาหมึกย่างร้อนๆ จิ้มน้ำจิ้มซีฟู๊ดนี่ ของโปรดเลยละคะ ไปที่ไหนที่ชอบๆ ( อันนี้จำมาจากคุณอัลฯ อิ ) เป็นต้องสั่งทุกครั้ง เมื่อหมอห้าม เพราะหวังดีต่อคนไข้ เราๆ ก็ควรจะฟังหมอบ้าง เอาเถอะค่ะ จะอย่างไรก็ตาม ก็พยายามทานเนื้อสัตว์ให้น้อยลง เคลื่อนไหวร่างกายให้มากขึ้น วันนี้แก้วฯออกไปตลาดแต่เช้า นึกๆๆ ว่าจะทำอะไรทาน ที่ไม่หนักท้องเกินไป เอาละได้การ วันนี้ของเป็น ส้มตำข้าวโพด กับผักบล๊อกเอครี่ใส่กุ้งแห้ง สองเมนูนี้ตั้งใจทำเพื่อฝากทุกๆท่านค่ะ มาดูเมนูแรกกันเลยนะคะ * ส้มตำข้าวโพดใส่แครอท * เตรียมเครื่องปรุง ข้าวโพดข้าวเหนียว ฝานเอาเนื้อ แครอทสับเหมือนเส้นมะละกอ พริกขี้หนู กระเทียม มะนาว น้ำมะขาม น้ำตาลปิ๊บ น้ำปลา กุ้งแห้ง ถั่วลิสงคั่ว หากใครชอบทานปู จะตำแบบส้มตำปูก็ได้นะคะ ตามใจเราค่ะ เมื่อเตรียมของเรียบร้อยก็ลงมือตำเลยค่ะ แก้วฯจะตำพริกขี้หนู กระเทียม ถั่วลิสง น้ำตาลปิ๊ก ลงก่อน แล้วบีบมะนาว น้ำมะขาม ค่อยใส่มะเขือเทศ ตามด้วยน้ำปลา จากนั้นก็เอาข้าวโพดกับแครอท ลงไปตำ ชิมตามใจขชอบค่ะ เสร็จแล้ว เมนูง่ายๆ รับรองไม่ผิดหวัง แอ่น แอ่น แอ้นนน ..คณะเกษทิพย์ภูมิใจเสนอ......ส้มตำข้าวโพด...อิ ************************************************************************ มาดูเมนูที่สองกันค่ะ อันนี้ ง่ายมาก แถมประโยชน์มากมายจริงๆค่ะ * ผักบล๊อกเคอรี่ใส่กุ้งแห้ง * เตรียมเครื่อง ผักบล๊อกเคอรี่ 1 หัว ( แช่น้ำไว้สักครึ่งชั่วโมงด้วยผงฟู โซเดี้ยมไบคาร์บอเนต 1 ช้อน เพื่อกำจัดสารเคมีที่ตกค้าง และแมลงที่มากับผัก ผลไม้ ) กุ้งแห้ง เพิ่มความหวานให้กับผัด และให้แคลเซี่ยมต่อร่างกาย กระเทียม ลดคอเรสเตอรอล น้ำมันหอย ซีอิ้วขาว น้ำตาลเล็กน้อย น้ำมันพืช สองช้อน สำหรับผัดค่ะ ลงมือกันเลยค่ะ ตั้งกะทะ พอร้อน ใส่น้ำมันลงไป ตามด้วยกระเทียม แล้วใส่ผักบล๊อกเบอรี่ กุ้งแห้ง เทน้ำซุปลงไปอย่าให้แห้งเกิน หากไม่มีน้ำซุป ก็น้ำดื่มบ้านเฮานี่แหละค่ะ ใส่ลงไปนิดหน่อย ผัดด้วยความเร็ว ใส่น้ำมันหอย ซีอิ้วขาว น้ำตาลเล็กน้อย หากใครอยากเพิ่มรสชาดด้วยแม๊กกี้ก็เหยาะลงไปได้ค่ะ สำคัญ พอผักสุก เอาขึ้นเลยค่ะ หากผัดนาน ผักจะไม่กรอบ สีซีด ไม่น่ารับประทานค่ะ แอ่น แอ่น แอ๊นน คณะและญาติโยมวัดป่าบ้านกลอน.. ขอเสนออออออ... ผัดบล๊อกเคอรี่กุ้งแห้ง ค๊า...55555 ไปก่อนนะคะ พอดีเมื่อวานโทรหาใครบางคน เธอพูดถึงตุ๊กตาที่แก้วฯทำ " ฉันห่วงใยเธอเสมอ แต่เผลอลืมทำตุ๊กตาให้เธอ " ลืมได้ยังไงหว่า .. ไปทำตุ๊กตาต่อแล้วค่ะ ใครรู้ตัวว่า จะได้เป็นเจ้าของตุ๊กตาพ่อกับแม่ รอรับนะคะคนดี ไม่เกินสองวัน เธอจะต้องหายป่วยจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลาย พวกเราทุกคนในที่นี่ รักและห่วงใยเธอเสมอ
เมื่อก้าวเท้าลงบันใด จุดหมายคือบ้านพี่สาว เพื่อพบปะ ระหว่างญาติพี่น้อง อาทิตย์นี้ เรามีแขกพิเศษมาร่วมโต๊ะอาหารและวงสนทนาเพิ่มขึ้น สองท่าน เพื่อมาคุยเรื่องงานแต่งงานของหลานชาย เมื่อทั้งสองฝ่ายแนะนำตัวกันเรียบร้อย พวกเราให้เกียรติสำหรับแขกผู้มาเยือน ซึ่งอีกไม่นานก็จะมาเกี่ยวดองกัน เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน แรกๆ การคุยเหมือนยังเกรงๆ ไว้เชิงกัน เนื่องจากเป็นการพบปะญาติฝ่ายหญิงครั้งแรก เมื่อการสนทนาเริ่มขึ้น ความเป็นกันเองก็ทำให้อีกฝ่ายหนึ่ง รู้สึกสัมผัสได้ว่า เขาและเราไว้ใจและเชื่อใจกัน หลังจากคุยเวลาและสถานที่ หาฤกษ์หายามแต่งงานเรียบร้อย คุณแม่ของว่าที่หลานสะไภ้ก็ได้เล่าย้อนประวัติของตนเองให้ทุกคนๆฟัง ชีวิตของเธอ ไม่ต่างกับนิยาย หรือละครหลายเรื่องที่เราๆ ท่านๆได้ชมกัน จากหญิงสาว ที่มีชีวิตอยู่ในรั้ว ในวัง เป็นลูกหลานข้าราชการบริวารมาก่อน เธอเล่าว่า ชีวิตที่ผ่านมา หาโรยด้วยกลีบกุหลาบ ต้องทำงานทุกอย่าง ไม่ต่างกับคนรับใช้ มีช่วงหนึ่งที่เธอเล่าพร้อมน้ำตา ว่าจะไปงานเลี้ยงแต่ไม่มีชุดสวยๆใส่ ลูกสาวของญาติให้เธอยืมชุด เธอสวมชุดนั้นอย่างมีความสุข แต่ความสุขก็อยู่กับเธอได้ไม่นานนัก เมื่อแม่ของญาติที่ให้เธอยืมชุดใส่มาเห็นเข้า และสั่งให้เธอถอดชุดนั้นออก เธอเล่าพร้อมน้ำตาที่พรั่งพรูออกมา ..ฉันหยิบกระดาษทิชชู่ให้เธอแล้วบอกว่า พวกเรายินดีรับฟังทุกอย่างที่เธออยากจะเล่า " หนูคิดว่าพี่รับสัมผัสพวกเราได้ พี่ระบายออกมาเถอะค่ะ อย่าเก็บไว้คนเดียว " ฉันยื่นมือไปจับมือของเธอ มือที่ยังเปรอะเปื้อนคราบน้ำตาอยู่ เธอเคยเดินทางด้วยเท้าเปล่า เพื่อไปขอพักอาศัยชั่วคราวบ้านญาติ เมื่อคราที่ชีวิตเจอมรสุม เนื่องจากแยกทางกับสามีและลูกยังเล็ก เธอไม่มีทางออก ถึงขนาดคิดสั้น เอาลูกและตัวเองแขวนคอ หวังลาโลกไปพร้อมกัน แต่แล้วสติก็ทำให้เธอหยุดคิดสั้น เมื่อมองเห็นรอยยิ้มของเด็กไร้เดียงสา ผู้ที่ขึ้นชื่อว่า"ลูก" เธอลุกขึ้นมาสู้ชีวิตอีกครั้ง เดินหางานทำจนมีคนเมตตาให้ทำงาน แต่รายได้ก็ไม่พอใช้จ่าย ต้องอาศัยทำงานกลางคืนเพื่อเพิ่มรายได้เลี้ยงลูก ด้วยการทำงานเป็นพีอาร์เชียร์แขกในร้าน และก็ได้พบกับสามีคนปัจจุบัน แรกๆทั้งสองก็ต้องทำงานหนักเนื่องจากมีลูกคนที่สอง เธอเล่าถึงตอนที่ เหลือเงินในกระเป๋าอยู่ห้าบาท ไม่มีเงินซื้ออาหารให้ลูกกิน เอาเงินห้าบาทนั้นไปซื้อผักคะน้ามาผัด ผัดทั้งน้ำตา เพราะสงสารลูก เมื่อลูกสาวคนโตพูดกับเธอว่า " คุณแม่ขา อาหารมื้อนี้อร่อยและวิเศษที่สุดเท่าที่ลูกเคยกินมา" เธอและสามีถึงกับอึ้ง และแอบกอดคอกันร้องไห้ คำพูดของลูกทำให้มีกำลังใจมาถึงทุกวันนี้ น้ำตาที่ไหลออกมา ด้วยเธอเก็บไว้มานานหลายปีกับความลับที่เธอบอกว่า ไม่เคยเล่าให้ญาติๆฟังเพราะกลัวการดูถูก เหยียดหยามจากวงค์ตระกูล น้ำตาของผู้หญิงคนหนึ่ง กับเรื่องเล่าเพียงบางเสี้ยวของชีวิต ทำให้ฉันรู้สึกว่า หัวใจอ่อนล้าที่ไร้เหตุผลของฉันทุกวันนี้ มันไม่ได้ทุกข์เท่ากับเศษเสี้ยวชีวิตของคนอีกหลายคน วันนี้เขาและเธอ โชคดีมากค่ะ ที่มีลูกสาวคนละสามี แต่เด็กทั้งสองรักกันมาก เธอยื่นมือไปบีบมือสามีและเอ่ยปากขอบคุณเขา ขอบคุณที่ให้ชีวิตใหม่เธอกับลูกสาว ขอบคุณที่ให้ลูกสาวที่น่ารักอีกคน ขอบคุณที่อยู่ข้างๆกันและคอยเป็นกำลังใจ จากวันที่ไม่มีข้าวกิน จากวันที่หัวใจอ่อนล้า มาเป็นผู้ญิงที่แข้มแข็งในวันนี้ ฉันฟังเรื่องราวจนจบแล้วลุกขึ้นไปยืนมองท้องฟ้าในเวลาค่ำคืน ท้องฟ้าวันนี้ไม่สว่าง เพราะสายฝนกำลังโปรยปรายลงมากระทบหลังคาดังเปาะแปะ ฉันหันไปมองต้นชวนชมที่กำลังออกดอกบานเต็มต้นในกระถาง ฉันหันไปมองปลาที่กำลังว่ายอย่างช้าๆอยู่ในสระเล็กๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอีกครั้ง... วันนี้ท้องฟ้าปิด มองไม่เห็นเดือน และดาว แต่ความสว่างกลับเกิดขึ้นที่ใจฉัน และเกิดขึ้นกับแขกใหม่ผู้มาเยือนบ้าน ความสว่างที่เกิดขึ้นถึงแม้ต่างเหตุผล แต่ฉันเชื่อว่า เราต่างเข้าใจความหมายของคำว่า "แบ่งปันความรู้สึก"ได้ดี ขอขอบคุณ ..จากฉันผู้รับฟัง .. ขอขอบคุณ..เธอผู้ถ่ายทอดเรื่องราว ... แก้วประภัสสร 19/07/2011
เห็นคนอื่นไปดูหิ่งห้อย ไอ้เราก็ได้แต่ทำหน้าละห้อย ไปตลาดน้ำอัมพวาก็หลายหนแล้วค่ะ แต่ไม่เคยไปนอนพัก และแล้ว สิ่งที่ปรารถนาก็เป็นจริง " คุณ เตรียมโปรแกรมหรือยังว่าไปอัมพวาแล้วจะไปไหนบ้าง ไปดูหิ่งห้อยกัน ลองปรึกษาพี่เล็กดูครับว่าไปพักที่ไหน " " เจ้......" แก้วฯก๊อปข้อความไปวางให้พี่อ่าน " 5 5 5 คุณกิ่งไปค้างที่อื่นได้เหรอ .." เจ้แซว " ได้สิๆๆ รีบตอบแทนเลย ก่อนที่จะไม่ได้ไปดูหิ่งห้อย" เช้าวันที่ 04 มิถุนายน 2554 แก้วฯยังต้องมานั่งทำงานถึงบ่ายโมง ขณะที่คุณกิ่งก็เตรียมตัวหาที่พัก และรอเวลามารับไปเที่ยว " คุณ....ผมหาไว้สองสามแห่ง ลองดูตามลิงค์นะครับ" หลังจากเปิดเข้าไปดู " บ้านนก" " ว้าวๆๆ คุณเอานี่แหละคะ เค้าจะเอาบ้านนกแก้ว หรือไม่ก็บ้านนกนางนวล สวยดีค่ะ" ปรากฏว่าคุณกิ่งโทรไปถามรายละเอียด เหลือเพียงหนึ่งห้อง ก็เลยต้องหากันใหม่ค่ะ สรุป แก้วฯเลือก บ้านสวน สายน้ำ พอเข้าไปดูบรรยากาศ และกิจกรรมที่เขาแนะนำแล้ว รู้สึกชอบ ดูร่มรื่น และสงบ ที่สำคัญอยู่ริมแม่น้ำ หนึ่งละ พอเข้าไปในบ้านสวน มีจักรยานให้ปั่นชมรอบๆสวนได้ค่ะ สอง อยู่ติดริมน้ำ จากการที่ดูภาพแล้ว วิวสวยมาก สาม มีตักบาตรเช้า สี่ นี่สำคัญ เขานำเสนอว่า มีลิ้นจี่ ( แต่ทำใจไว้แล้วว่า ลิ้นจี่คงหมดฤดูเขาแล้วอาจจะไม่มี ) ห้า มีเครื่องดื่ม กาแฟ โอวันติน อาหารเช้าให้ทานด้วยค่ะ หก สำคัญไม่ได้อยู่ใกล้ตลาดอัมพวา จึงคิดว่าต้องน่าอยู่ และเป็น ธรรมชาติแน่นอน เราออกเดินทางจากกรุงเทพฯประมาณ บ่ายสองโมง หลังจากให้คุณกิ่ง ติดต่อ คุณสันติ ซึ่งเป็นเจ้าของได้แล้ว ก็โอนเงินไปมัดจำล่วงหน้า หนึ่งพันบาท ส่วนที่เหลือ ไปชำระที่นั่นค่ะ อ้อ ลืมบอกไปว่า ตอนคุณกิ่งโทรจอง เขาบอกหลังละ 1000 บ้านสองหลังติดกัน พอไปถึง เขาแนะนำว่า บ้านริมน้ำอีกหลังว่างพอดี แต่เพิ่มอีก สามร้อย ไม่ต้องคิดมากเลยค่ะ สองสีพี่น้องเลือกบ้านน้ำทันใด ส่วนคุณกิ่ง ก็ต้องหยวนๆ นอนบ้านหลังถัดไปในสวน แต่ก็อยู่บริเวณเดียวกัน หลังจากเอากระเป๋าเสื้อผ้าเก็บเรียบร้อย ก็ได้เวลาไปหาอะไรทาน เพราะท้องเริ่มร้องกระจองอแงแล้ว เจ้าของบ้านแนะนำ ร้านน้องอุ้ม ซึ่งอยู่ไม่ไกลมากนัก ห่างจาก อุทยาน ร.2 สามารถขับรถหรือเดินไปไม่ไกลเท่าไหร่มากนัก ช่วงเวลาที่เราไปถึงโชคดีได้ที่นั่งที่ยื่นออกไปในแม่น้ำ รับลมเย็นๆ อาหารที่นี่อร่อย ถูกปาก แกงส้มหน่อไม้ดองใส่ปลาดุกทะเลอันนี้เคยทานมาหลายที่ รู้สึกอาหารร้านนี้รสกลมกล่อมดีค่ะ ไม่ผิดหวังค่ะ ทั้งกุ้งอบวุ้นเส้น ปลากระพงทอดน้ำปลา ปลาดุกทะเลผัดฉ่า หลังจากท้องอิ่ม เราก็ไปวนกลันไปหาที่จอดรถเพื่อไปชมหิ่งห้อยกัน ขับไปสักพัก ก็มีคนมาโบกให้จอดหน้าบ้านใครก็ไม่ทราบ " จอดได้เหรอ หน้าบ้านคนอื่นเค้านะ" "จอดได้ครับ บ้านนี้ เขาไม่สบาย เขาไม่ออกมาหรอก อีกนานนนถึงจะหาย" .......? พอหาที่จอดรถได้ ก็ซื้อตั๋วนั่งเรือชมหิ่งห้อย คนละ 60 บาท เรือออกเที่ยวเวลา หนึ่งทุ่มตรง ยังมีเวลาอีกนิดหน่อย ก็เลยไปถ่ายภาพเล่นๆกัน หลังจากได้เวลา ก็ลงเรือเพื่อชมหิ่งห้อย สวมเสื้อชูชีพซะก่อน ว่ายน้ำไม่เก่ง กลัวสิ้นชีพค่ะ อิ ว้าวววว เกิดมาไม่เคยเห็น หิ่งห้อยเหมือนในหนังและเหมือนที่เขาเล่ากันเลย แสงกระพริบๆๆ แก้วฯไม่ทราบว่า คนอื่นที่เคยไปชมมา จะเห็นเยอะแค่ไหน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ไปชม เยอะมากๆ แสงของหิ่งห้อยตัวน้อยๆ พอรวมกัน กระพริบๆ ช่วงสวยเหลือเกิน เรือพาไปชมถึงครึ่งทาง สักพัก ก็มีโทรศัพท์ถึงคุณกิ่ง " คุณ ..เรือกำลังจะออกแล้วนะ คุณมาถึงหรือยัง" เจ้าของเรือโทรหา " ผมอยู่บนเรือแล้วครับ " เหวอ...แล้วเมื่อกี้ ที่เขาให้เราลงกันมา เขาลืมแล้วเหรอ มาถึงครึ่งทางแล้วครับพี่ อิ หลังจากชมหิ่งห้อยเสร็จ เราก็เดินชมตลาดต่อ " คุณ เค้าอยากกินไอสครีมอะ หวานๆ" แวะเข้าไปร้านไอสครีม โอ้ เยอะแยะไปหมดเลยค่ะ สุดท้ายเลือกรสอัญชัญมะพร้าวอ่อน คุณกิ่งบอกสอง คือเหมือนกัน ส่วนเจ้เลือกมะยมพริกเกลือ เอามาชิมๆๆ ไรหว่า..แปลกๆเนาะเจ้ เหนียวๆ มีพริกเกลือโรยอยู่ด้วย หลังจากชมตลาดน้ำกันพอสมควรก็เดินทางกลับที่พัก อาบน้ำ อาบท่า และก็ออกมานั่งจิบไมโล กาแฟกันตรงที่ระเบียงริมน้ำ อยากจะบอกว่า อากาศดีมากๆเลยค่ะ หากเพื่อนๆกำลังจะ หรือจะไป แนะนำที่นี่เลยนะคะ เจ้าของบ้านเป็นกันเอง และเครื่องดื่ม น้ำแข็ง จาน ช้อน เขามีวางให้ตรงระเบียง ช่วยเหลือตนเอง ทานเสร็จจะวางไว้ หรือจะล้างให้ก็ได้ค่ะ เราสามคนออกมานั่งคุยกัน แก้วฯกับคุณกิ่ง นั่งต่อโคลงกันคนละสามบท ส่วนเจ้ก็นั่งอ่านหนังสือ แบบชิวๆ อืม....ชีวิตนี้คงไม่มีอะไรที่ดีมากไปกว่านี้แล้วละค่ะ มีคุณพ่อ คุณแม่ผู้ให้กำเหนิดที่แสนประเสริฐ มีพี่ๆ ที่คอยให้กำลังใจน้องเสมอๆ มีเพื่อนที่เข้าใจ ถึงแม้บางครั้งจะแง้งๆใส่กันเหมือนพุดเดิ้ล อิ มีคนที่รักเรา ( หรือเปล่าหว่า อิ )อยู่ข้างๆ เขียนประโยคนี้ออกไป มะรู้จะมีคนนั่งหัวเราะหรือเปล่าน๊า ..อิ ห้าทุ่ม เริ่มง่วงนอน บอกบายบายคุณกิ่ง ต่างคนต่างแยกย้ายไปนอน เจ้หิวน้ำ เอาน้ำแข็งใส่แก้วเอาไว้กินให้ห้อง " คุณนายยย จะนอนข้างในใช่มั้ย ด้านข้างหัวเตียง " " แม่นแล่ววว ถูกต้องเด้อค่ะ " ขี้กลัว ยอมรับค่ะ ว่าขี้กลัว อิ แปรงฟัน ปะแป้ง ทิ้งตัวลงบนเตียง หันไปมอง เจ้หลับไปแล้ว เหวอออ...เค้ายังไม่หลับเลย หลับก่อนได้ยังไงว้า... กลอกตา ขึ้นๆ ลงๆ ซ้ายๆ ขวาๆ สักพักก็ผลอยหลับด้วยความเพลีย " กร๊องงงง " ตกใจตื่นทันที เสียงดังอยู่ข้างๆหู ใจเต้นระรัว เหมือนกลอง แต่ไม่เป็นจังหวะ เมื่อกี้เสียงนั้น......เสียงอะไร ...ข้างหู .. พ่อเจ้า แม่เจ้า ช่วยลูกด้วย...อย่ามาหลอกหลอน มาแกล้งลูกเลย ลูกมาขออาศัยพักผ่อนเพียงคืนเดียวก็จะลาแล้วเจ้าค่ะ เอื้อมมือไปเปิดไฟที่หัวเตียง มองรอบๆ ก็ไม่มีอะไร นอกจากความเงียบ กับเสียงหายใจของเจ้ ยังไม่ทันจะปิดไฟ ทันใดนั้น " กร๊องงง " เอ้อ......เสียงน้ำแข็งละลายหล่นลงก้นแก้ว 555555 จะบร้าตายยย ...นอนต่อ... นาฬิกาปลุกตีห้าครึ่ง เตรียมตัวเพื่อไปตักบาตรเช้า แก้วฯให้ทางบ้านพักจัดเตรียมอาหารให้ เขาคิดชุดละ 50 บาท มีครบค่ะ ข้าว น้ำ ขนม แกง หลังจากตักบาตร เรียบร้อย ก็มาทานข้าวต้มที่เขาจัดเตรียมไว้ให้ ก็ต่างคนพักผ่อนตามอัธยาศัย แก้วฯเลยไปปั่นจักยานชมสวนกัน แล้วกลับมาเตรียมตัว อาบน้ำ เช๊คเอ๊า เพื่อเดินทางไปทำบุญที่วัดบางแคน้อย และวัดทุ่งเศรษฐีกันต่อ เราจบทริปนี้ด้วยทานอาหารร้านครัวแม่อุไร ร้านนี้เสี่ยงไปกันเอง ( ไม่อร่อยค่ะ สั่งตั้งเยอะ อิ) ท้ายนี้ ขอนำภาพมาให้ชมกันนะคะ ตามคำแนะนำของเฌอมาลย์ ขอภาพใหญ่ขึ้น หากเข้ามาเปิดดูภาพได้ช้า ขอร้องงง อย่าเพ่อเปลี่ยนหน้านะคะ สุดท้ายคนที่ลืมไม่ได้ ที่จะกล่าวขอบคุณ คือ คุณกิ่ง ขอบคุณมากค่ะที่พาไปเที่ยว ทำบุญ กลับมาด้วยพร้อมพลังที่จะทำงานในวันนี้ บรรยากาศบ้านสวน สายน้ำ ริมระเบียง โปร่งโล่ง ให้นั่งเล่นกัน ดอกไม้สวยๆ บริเวณสวน แวะทานอาหารกลางวันที่ร้านน้องอุ้ม เมนูที่สั่งมา อร่อยทุกอย่างค่ะ อิ่มหนำสำราญท้องแล้ว ก็เดินทางไปตลาดน้ำอัมพวาค่ะ หลังจากนั่งเรือชมหิ่งห้อยแล้ว ก็มานั่งจิบเครื่องดื่มที่ระเบียง คุยกัน เห็นคนสวมแว่นมั้ยคะ นั่นแหละค่ะ กิ่งโศก อิ ตักบาตรตอนเช้า 06.00-07.00 ทานข้าวต้มมื้อเช้ากัน ปั่นจักรยานเล่น ชมสวนกันค่ะ หลังจากนั้น เดินทางไปมำบุญที่วัดบางแคน้อย และวัดทุ่งเศรษฐี ผีเสื้อบินเข้าไปในรถ เชิญออกก็ไม่ยอมออกไปค่ะ ส่วนที่เหลือ แหม....เธอนอนสบายจังเลยนะ ร้อนมั้ยนั่น อิ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชมค่ะ แก้วประภัสสร 06/06/2544
วันที่ 15 พฤษภาคม 2554 ข้าพเจ้าตั้งใจจะไปขอรับพระบรมสารีริกธาตุที่วัดสังฆทาน จังหวัดนนทบุรี ซึ่งได้รับการบอกกล่าวจากลูกค้าที่สนิทว่า ให้นำบัตรประชาชนเพื่อไปรับมาบูชา เส้นการเดินทาง ข้าพเจ้าได้นั่งเรือด่วนเจ้าพระยา เริ่มต้นที่ท่าน้ำสี่พระยา ค่าโดยสารคนละ 14 บาทเองค่ะ สองฟากฝั่งของแม่น้ำ สายลมเย็นๆปะทะร่าง ทำให้รู้สึกสดชื่นมาก นานแล้วสินะ ที่ไม่เคยเดินทางทางเรือแบบไกลๆเช่นนี้ หลังจากเดินทางถึงท่าน้ำนนฯ เหมือนจะเป็นความโชคดีของข้าพเจ้าหรือไม่ ก็ไม่ทราบค่ะ เพราะไม่ทราบล่วงหน้ามาก่อนว่า วันนี้ ( 15 พฤษภาคม ) จะมีพิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ที่ทางวัดสังฆทาน ได้นำมาตั้งไว้ให้ประชาชนกราบไหว้บูชา ที่อาคารเอนกประสงค์ท่าน้ำนนท์ เพื่อนำไปประดิษฐานที่วัด พิธีอัญเชิญประกอบไปด้วย ช้างเก้าเชือก รถขบวน พระสงฆ์จากวัดต่าง และประชาชน ต้องเดินจากท่าน้ำไปที่วัดสังฆทาน ก่อนพิธีจะเริ่ม ข้าพเจ้าได้เดินทางไปที่วัดเพื่อขอรับพระบรมสารีริกธุตุมาบูชา แล้วนั่งรถที่ทางวัดจัดเตรียมไว้ให้ญาติโยมเดินทางเข้ามาท่าน้ำนนฯ เพื่อร่วมพิธีอีกครั้ง ข้าพเจ้าได้ถ่ายภาพงานพิธี จึงขอนำภาพบางส่วนมาให้ทุกท่านชมค่ะ พระบรมสารีริกธาตุ พระพุทธรูปบริเวณวัดสังฆทาน รูปปั้นสิงโตคู่ รูปปั้นช้าง คล้ายพระสีมา ต้นเสาแกะสลักสวยงามมาก ศาลากลางน้ำ จุดที่เดินขึ้นไปขอรับพระบรมสารีริกธาตุจากพระค่ะ เป็ดสามตัว ที่อยู่ภายในวัด กำลังจะชวนกันเดินส่ายก้นไปไหนก็ไม่ทราบค่ะ เดินทางกลับมาที่ท่าน้ำนนฯอีกครั้ง เพือร่วมพิธีอัญเชิญ นักเรียน นักศึกษามาร่วมเดินขบวนอัญเชิญ ช้างเก้าเชือกอัญเชิญพระบรมฯขึ้นบนหลัง โชคดีสองครั้ง คือถ่ายภาพพระพุทธรูปองค์เดียวกัน แต่สองสถานที่ค่ะ บนรถ กับที่วัด ขบวนแห่ ตีฆ้อง บนรถ พระเดชพระคุณหลวงพ่อสนอง กตปุญโญ เจ้าอาวาสวัดสังฆทาน ประชาชนหลั่งไหลมาร่วมพิธี ก่อนเดินทางกลับบ้าน ภาพดอกไม้สวยๆค่ะ ถ่ายภาพดวงจันทร์ขณะนั่งอยู่บนเรือด่วน เวลาประมาณ ห้าโมงครึ่ง สวยจริงค่ะ ภาพนี้ ไม่แน่ใจว่า ถ่ายสะพานพระรามแปด หรือ สะพานพุทธ นะคะ เวลาพระอาทิตย์ตกแล้ว เมื่อเรือมาถึงท่าน้ำสี่พระยา เดินแวะไปชมนก ซึ่งเขาจัดงานอนุรักษ์นก ที่ริเวอร์ไซด์ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชมภาพค่ะ + แก้วประภัสสร +
เช้านี้เดินไปตลาดมาค่ะ นึกครื้มอก ครื้มใจ หยิบกางเกงขาสั้น มาใส่ ก็ไม่สั้นมากหรอกนะคะ เลยหัวเข่าขึ้นไปหน่อยเดียว พี่สาวบอกว่า " เมื่อกี้เธอรู้มั้ย มอเตอร์ไซด์ คันไหนผ่านมา ก็เหลียวมามองขาหล่อน" " ฮ้า จริงเหรอเจ้ มังมองอะไร ไม่เคยเห็นหรือไง หรือว่ามันสั้นไป ก็เจ้บอกว่า ใส่แบบนี้น่ารักดีออก เค้าถึงใส่ไปไง " " ก็หล่อนไม่เคยใส่ไง พวกเขาเลยมองดูแปลกตา ไม่เคยชิน เขาคงชินภาพ ยัยเฉิ่มแต่งตัวกางเกงขายาว กระโปรงยาวมาตลอดอะนะ " ตะแง่วววว หมดกัน... อิ วันนี้ เสนอ เมนู ยำวุ้นเส้นใส่หมูยอค่ะ เตรียมเครื่อง ..ชะแลง ตะแกง ตะปู ไม่ต้องเตรียมนะคะ เพราะเราจะทำยำ ไม่ได้ทำบ้านค๊า 555555 หมูยอ หั่นเฉลียงๆ เอ้ย ไม่ใช่ ลืมไปว่าไม่ได้ทำบ้าน แฮ่ะๆ ให้หั่นเฉียงๆ พอคำ นำไปลวกน้ำร้อน วุ้นเส้น แช่ให้นิ่มก่อน นำไปลวกพอนิ่ม หมูสับไปรวน เผื่อน้ำไว้ ใส่ยำด้วยค่ะ หอมใหญ่ซอยๆ ใช้พริกเหลืองและพริกขี้หนูแดง ตำให้ละเอียด ผักชี และใบคื่นช่าย หั่นโดยประมาณ กุ้งแห้ง มะเขือเทศ กระเทียมดองและใช้น้ำด้วยค่ะ มะนาว น้ำปลา น้ำตาลเล็กน้อย ลงมือทำกันได้เลยค่ะ ก่อนอื่น วุ้นเส้น หมูยอ หมูสับ เทน้ำหนูสับลงไปหน่อยค่ะ ตามด้วยพริกที่ตำ น้ำและเนื้อกระเทียมดอง น้ำมะนาว กุ้งแห้ง ค่อยใส้น้ำปลา ตามด้วยผักที่เตรียมไว้ ใช้ทัพพีซ่อม คลุกอย่างเบาๆ ชิมรส ตามใจชอบ สำหรับแก้ว ไม่ใส่ชูรส ก็ตัดรสเปรี้ยว เค็ม ด้วยน้ำตาล แต่จริงๆแล้ว น้ำกระเทียมดองก็ออกรสหวานอยู่แล้วค่ะ จบแล้วตักใส่จานพร้อมเสริฟได้เลยค่ะ ขอนำภาพมาให้ชมกันนะคะ ขอให้มื้อกลางวันในวันหยุดของทุกท่าน อิ่ม อร่อย สุขใจจ้า แก้วแบม เตรียมหมูยอ วุ้นเส้น พริกเหลือง พริกขี้หนูแดง ตำๆๆ หอมหัวใหญ่ ผักชี ใบคื่นช่าย มะเขือเทศ มะนาว กุ้งแห้ง หมูสับรวน กระเทียมดอง ทำเสร็จแล้ว หน้าตาก็ออกมาเป็นแบบนี้ค่ะ น่าอร่อยเนาะค่ะ อิ แบมมีเคล็ดลับเล็กน้อยๆในการเก็บพริกไว้ได้นานๆ คือเวลาเราซื้อพริกมา ส่วนมากแม่ค้า หากซื้อน้อย ห้าบาท เขาจะไม่อยากขายให้ บอกว่าแพง ก็ไม่เป็นไร เขาขายเริ่มเท่าไหร่ก็ซื้อมาเถอะค่ะ เพราะเราจำเป็นต้องใช้ หากใช้ไม่หมด แนะนำ หยิบมาล้างพอที่จะใช้ทำอาหาร ส่วนที่เหลือใส่ถุงพลาสติก และห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์เก็บไว้ จะทำให้พริกไม่เน่าเสีย และเป็นการประหยัดกระเป๋าได้พอสมควร ขอบคุณทุกท่านที่เข้าเยี่ยมชมค่ะ