เว้นวรรค .....ช่องว่างระหว่างความเหงา ด้วยการเติมเต็มสิ่งดีๆให้ตัวเอง หากไม่มีช่องว่าง นั่นหมายถึงชีวิตของคุณเต็มไปด้วยเงื่อนไขและเวลา อกคงหนัก ใจคงเหนื่อย ขาคงไร้เรี่ยวแรงที่จะก้าวเดิน เถอะค่ะ.....เรามาจรรโลงใจ แล้วรับมอบสิ่งดีๆให้กัน ต่อไปนะคะ ตราบใดที่สองขายังมีแรงก้าว ตราบใดที่ลมหายใจยังไม่แผ่วเบา ตราบใดที่คนยังได้ยินเสียงคุณพูด ตราบนั้นอย่าสิ้นฝัน และสิ้นหวัง ก่อนหน้านี้ไม่นาน ข้าพเจ้าได้ไปบ้านพี่สาวอย่างไม่เป็นทางการ เหตุใดจึ่งพูดคำนี้ เพราะว่า ปกติแล้ว เราจะนัดกันรวมญาติพี่น้อง เฮฮาปาร์ตี้ทุกวันหยุด สุดแล้วแต่ว่าใครว่างที่จะไป หลายครั้งที่ข้าพเจ้าอิดออด เพราะอยากนอน ติดละคร ติดหนังเกาหลีบ้าง แต่วันนั้น พี่บอกว่า ให้แวะมาเอาอาหาร แม่และพี่ที่อุบลฯฝากมาให้ " ได๋...ค่ะ อาบน้ำแปบ...เดี๋ยวไปนะคะ" ... เมื่อไปถึง น้องม๊ะหมา สี่ขา วิ่งกรูกันลงมารับ โนริ ยากิ โซบะ โชหยุ อีกซูชิ แจ่ม อีกที่เหลือมาไม่ได้ เพราะถูกจำกัดพื้นที่เฉพาะกิจให้อยู่ในกรง ก็ดุนักนี่นา สมน้ำหน้า อิ.. แปลกนะ พอจะเขียนถึงบทสนุกๆ งานมาแล้วค่ะ อยากโม้ต่อ อิ งั้นชมภาพที่เตรียมมาฝากเพื่อนๆกันดีกว่านะคะ ขอบคุณทุกท่านค่ะ อ้อ ลืมไปว่า อาหารและผักที่แม่ฝากมา แม่แก้วลืมถ่ายภาพไว้ให้ชมกัน มีแต่ภาพบรรยากาศบ้านพี่สาว เนื้อที่ไม่มากนัก แต่พี่จัดสรรได้ลงตัว ผักไม่ต้องซื้อ ที่นั่นกลับกลายเป็นที่ลูกๆ หลานๆ อยากแวะเวียนไปเสมอ เพราะมีแต่ความสุข แวดล้อมด้วยธรรมชาติค่ะ ต้นโกงกางปลูกในกระถาง ต้นไม้ริมรั้ว ดูแล้วสบายตา สบายใจจังค่ะ เอ๊.....เจ้ารูปปั้นนั่น น่ารักดีนะคะ พี่สาวกำลังเก็บดอกแค ดอกข่าให้แก้วฯเอากลับมาทานที่บ้านค่ะ เห็นอะไรมั้ยคะ ปลากำลังฮุบเหยื่อ เหยื่อที่ให้คือยอดโสม ที่คนเอามาลวกจิ้มน้ำพริก หรือเอามาผัดกันนั่นแหละค่ะ พี่โรยเม็ดมะเขือลงข้างรั้ว แต่มันกลับโต มีลูกให้กิน เกิดง่ายจังเลยนะมะเขือนะ หลังคาปกคลุมด้วยต้นตำลึงและต้นบอระเพชร มีใครเคยเห็นดอกนี้บ้างหรือเปล่าคะ เขาเรียก "ค้างคาวดำ" ค่ะ ม๊ะหมาสี่ขา คิดว่าเป็นพรมซะอีก อิ พี่เอามาะม่วงมาจากอุบลฯ เยอะค่ะ เลยจะทำแช่อิ่มให้น้องๆไว้ทานเล่นกัน ช่วยกันปอกเปลือกมะม่วง หั่นบางๆ ขยำน้ำเกลือ ล้างออก ตามด้วยละลายน้ำปูนใส อันนี้พี่บอกว่าจะทำให้มะม่วงกรอบ อร่อยค่ะ แล้วทิ้งไว้สักพัก ต้มน้ำเชื่อมให้เย็น แล้วเอามะม่วงลงไปแช่ 1 คืน ตักน้ำเชื่อมที่อยู่ในมะม่วงออกมาอุ่น แล้ว แช่เหมือนเดิม 2 คืน ชิมดู หากชอบเปรี้ยวหวาน ก็พอเท่านั้น แต่หากชอบหวานมาก ก็ตักน้ำเชื่อมมาอุ่น ปล่อยให้เย็นแล้วเชื่อม จนกว่าจะพอใจค่ะ แต่บังเอิญว่า พอทำเสร็จ มันอร่อยมากค่ะ ไม่ค่ะ ..ไม่ต้องรอให้ถึงคืนพรุ่งนี้หรอก ...ไม่กี่ชั่วโมง หมดเกลี้ยงเลย อิอิ ขอนำเสนอเพียงเท่านี้ก่อนนะคะ หวังว่าคงทำให้เพื่อนๆมีความสุข กับธรรมชาติในเมือง ไม่มากก็น้อยค่ะ
หลายวันก่อน ข้าพเจ้าได้พูดคุย ไต่ถามความทุกข์สุขระหว่างเพื่อนกับเพื่อน ครูพิมได้ชวนข้าพเจ้าไปจังหวัดชัยภูมิเพื่อพบหมอแสง เอายาสมุนไพรมารักษา แล้วแต่อาการของแต่ละคน แต่การทำงานและวันหยุดของข้าพเจ้าไม่เหมือนเพื่อนๆ ตรงที่วันเสาร์ยังต้องทำงาน หลายครั้งที่ป้ากันนาเทวี โทรบอกข่าวว่า "ป้าจะมากรุงเทพฯ วันนี้นะ " แต่เราก็ไม่ได้พบกัน นั่นเพราะว่า เวลาไม่ตรงกันเสียที ใช่ว่าคนน่ารัก (อิ) จะเล่นตัวอะไรหรอกนะคะ ผ่านไปสามปี เป็นการรอคอยที่นานพอสมควร ที่ข้าพเจ้าก็ยังได้รับความเมตตาจากผู้ใหญ่ท่านนี้ จนได้พบปะกัน เมื่อวาน ( 06 เมษายน 2555 ) ข้าพจ้าได้บอกคุณกิ่งล่วงหน้าว่า อยากไปงานหนังสือ และพบเพื่อนๆด้วย เนื่องจากวันเสาร์ต้องมานั่งทำงาน จะไม่ได้พบเพื่อนๆ ที่จอดรถเต็มมาก คุณกิ่งวนหลายรอบ สุดท้ายไปจอดที่โรงพยาบาลใกล้ๆกับโรงงานยาสูบ และนั่งรถสองแถวรับส่งฟรีเข้ามาในงาน ป้ากันนาฯ ให้เราไปหาที่ห้องโลตัส ซึ่งเป็นห้องจัดสัมนาภายในศูนย์ประชุมศิริกิตย์ เมื่อเจอกันครั้งแรก ช่างแปลกนัก นั่งอยู่ด้านหลัง แอบมองป้ากันฯก่อนเลยค่ะ อิ ๆ นั่นป้ากันนาฯเหรอ ทำไมดูยังสาว หน้าใสมากๆ และแล้ว ความก็แตก เพราะคุณกิ่งโทรเข้ามือถือข้าพเจ้า ป้ากันนาฯหันขวับมา จะหลบที่ไหนละ หลบไม่ได้แล้ว เขินอะ อิๆ ตัดบท... พอได้เวลา คุณกิ่งพาพวกเราไปทานข้าว ด้านล่าง มีร้านอาหารแบบบุฟเฟห์ ตกหัวละ 389- อาหารเยอะแยะไปหมด รู้สึกแม่แก้วฯ ทานแบบไม่เกรงใจเพื่อนฝูงเลยค่ะ อร่อยทุกอย่าง แต่ดูเหมือนว่า ครูพิม ป้า และน้องครูอีกท่าน ขอพระอภัยมณีนะคะ จำชื่อไม่ได้ แฮ่ะๆ ทานกันน้อยมาก อาจจะเขินป่าวน๊า อิ สรุป เมื่อทานอาหารเสร็จ ป้ากันนาฯกับครูพิมต้องเข้าห้องสัมนาต่อ ส่วนแก้วฯกับกิ่งโศกก็ไปหาซื้อหนังสือต่อค่ะ หนังสือที่อยากได้มีหลายเล่ม เขียนรายการเตรียมไปเยอะแยะ แต่ผลสุดท้าย หนังสือที่ตั้งใจไปซื้อ กลับหาไม่เจอ ได้แต่ของ กุดจี่ ผู้ชายอารมณ์ดี พร้อมลายเซ็นต์กลับมาบ้านค่ะ เวลาแม้จะนานแสนนาน การพูดคุยผ่านสื่อ บางครั้งใช้ระยะเวลาไม่กี่วัน ก็พูดคุยเข้าใจกัน บางครั้งพูดคุยกันเป็นเวลานานหลายปี หากแต่ไม่มีความเข้าใจกัน รั้งแต่คำว่ามิตรภาพจะสลายไปในที่สุด ซึ่งข้าพเจ้า- ไม่ปรารถนาให้เป็นเช่นนั้น ในโลกใบนี้ หลับตาวาด มันช่างสวยงามเหลือเกิน ดอกไม้เบ่งบ่าน กลิ่นหอมในยามเช้า เสียงเพลงเบาๆที่ข้างบ้านเปิดแล้วเราได้ยินด้วยก็พลอยมีความสุขตาม เสียงนกร้องทักทายลูกๆ เสียงคนพูดคุยกัน เสียงหัวเราะ หากแต่ว่า วันใด ที่คุณได้ยินเสียงหัวเราะ กลับเป็นเสียงร้องไห้ เสียงปรบมือ กลายเป็นเสียงขว้างปาสิ่งของ ภาพที่คุณจินตนาการว่าสวยงาม แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น คุณยังคิดว่า ทุกอย่างยังสวยงามอยู่หรือไม่ ? สำหรับข้าพเจ้า ....วางใจในทุุกสิ่งที่ได้พบ... และจะเก็บความทรงจำที่ดีๆนี้ไว้ตลอดไปค่ะ ขอบคุณมิตรภาพที่อวบอวลไปด้วยกลิ่นไอแห่งความอบอุ่นและรอยยิ้ม แก้วประภัสสร 07/04/2555
ข้าพเจ้าไม่ได้เลือกให้ไปเป็นแขกของคู่บ่าว-สาว แต่ไปในฐานะคุณน้าจอมป่วน ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง เดินไป เดินมา ถ่ายรูป แชะๆ คนเหนื่อยน่าจะเป็น พ่อ-แม่ ของทั้งคู่ ส่วนข้าพเจ้า นั่งคุยจ้อ กับญาติคนโน้นที คนนี้ที ขณะที่กำลังนั่งคุยกับญาติทางฝ่ายพี่เขย ก็มีอีกคนสะกิดจะคุยด้วย แล้วก็เกิดอาการงอน ไม่พูดกับอีกคนหนึ่ง แล้วบอกว่า อีกฝ่ายพูดมาก ปลดเกษียร ขี้เหงา ขี้โม้ เอ่อ..คุณพี่คะ คุณพี่ลืมไปหรือเปล่าว่า คุณพี่เองก็ปลดเกษียรแล้ว อยากโม้บ้างละสิ อิๆ หมายกำหนดการพิธีเช้า ด้วยนิมนต์พระสงฆ์มาสวดเจริญพระพุทธมนต์ ตามด้วยถวายอาหารเช้า เสร็จแล้วตั้งขบวนแห่ขันหมาก ที่หน้าโรงแรม ลืมบอกไปค่ะ งานจัดที่โรงแรม สยามซิตี้ ใกล้ๆกับสถานีรถไฟบีทีเอส พญาไท ตอนร้องโห่ ฮิ้ว โห่ เล่นเอาแขกเหรื่อที่มาพักในโรงแรมที่อยู่ด้านบน ชะโงกหน้าออกมาดู บางคนยังอยู่ในสภาพผ้าขนหนูผืนเดียว ช่วงแห่ขันหมาก ข้าพเจ้าถือพานขนมหวาน เลยไม่มีภาพสวยๆมาฝากค่ะ บรรยากาศช่วงเช้า เป็นแบบสบายๆ สถานที่สำหรับรดน้ำสังข์ จัดตรงลานกว้างๆ มีต้นไม้ มีสวนหย่อม อาหารเช้าเป็นแบบง่ายๆ ก๋วยเตี๋ยว ขนม แซนวิช กาแฟ ได้ฤกษ์ส่งตัว ภายในห้องที่ทางโรงแรมจัดไว้ให้ ชั้น 22 พี่สาวข้าพเจ้า ให้พรลูกทั้งสอง จนทำให้ญาติๆที่ยืนถ่ายรูปอยู่ ถึงกับน้ำตาไหล บางคนกอดคอกันร้องไห้ ตอนนั้นตากล้องตัวจริงยังขึ้นมาไม่ถึง ข้าพเจ้าเอง เดิมทีจะขอตัวกลับไปพักก่อน เหตุเพราะเกิดอาการเหมือนจะเป็นลม เพราะท้องเสียอย่างรุนแรง ก่อนจะไปร่วมงานแล้ว จึงต้องสวมวิญญาณตากล้องจำเป็นไปก่อน ส่วนงานเลี้ยงตอนกลางคืน แขกประมาณ 400 กว่าคน ด้านหน้างาน ถูกตกแต่งอย่างสวยงาม ตามความต้องการของเจ้าบ่าว-เจ้าสาวค่ะ มีรูปในวัยเด็ก เริ่มโต เข้าถึงวัยเรียน จบปริญญา ดูแล้วก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ แขกในงานมาเยอะเกินกว่าที่คาดคิดไว้ จนต้องใช้โต๊ะเสริม ในนั้นมีดารา นักร้องมาหลายคน แต่ข้าพเจ้าไม่มีแรงพอจะลุกไปขออถ่ายรูปใครมาฝากเพื่อนๆค่ะ ที่มองเห็น มีคุณก้อง ปิยะ ซึ่งเป็นเจ้านายหลานสะไภ้ มีคุณสนนักร้อง ครูสลา คุณวุฒิ กอไก่ ไผ่ พงศธร และดาราน้องใหม่อีกหลายคน อาหารเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ เยอะแยะมากมาย มีมุมขำๆ ระหว่างพี่น้องมาเล่าสู่กันฟังค่ะ พวกเราเด็กๆ หาโต๊ะไม่เจอ เดินๆ เจอโต๊ะ ติดป้ายเยอะแยะไปหมด เจอโต๊ะวีไอพีสำหรับ"เพื่อนคุณพ่อเจ้าบ่าว" ก๊าก เสร็จพวกเรา นั่งหน้าตาเฉยเลยค่ะ อิๆ ประธานเปิดงานและให้เกียรติขึ้นเวทีอวยพรคู่บ่าวสาวคือ อดีตปลัดกระทรวงเกษตร หลังจากนั้นพิธีกร ซึ่งเป็นเพื่อนเจ้าสาวก็เริ่มสัมภาษณ์ทั้งคู่ ก็ได้เสียงหัวเราะกันไป สนุกสนานกันทุกคนค่ะ งานยังคงดำเนินต่อไป ถึงตอนตัดเค๊ก เจ้าสาวเดินมาอย่างช้า สวยเหมือนนางเฟ้าจริงๆ ท่ามกลางควันสีขาวๆที่พวยพุ่งออกมา กับแสงสีสาดส่องจับภาพไปที่คู่บ่าวสาว แขกทุกคนมองอย่างปลิ้มปิติไปด้วย อะค่ะ ขอจบการรายงานข่าวไว้เพียงเท่านี้แล้วกันนะคะ ครอบครัวเราได้ต้อนรับแขกพิเศษ ต้องบอกว่า เขาพิเศษจริงๆ อิ ไปร่วมงานนี้ด้วย ข้าพเจ้าถามเขาว่า " คุณมั่นใจแล้วนะว่าพร้อม หากไม่พร้อมอย่าเพิ่งไป เพราะขี้เกียจตอบคำถามญาติๆ" เมือเขามั่นใจว่า " ผมพร้อมแล้วครับ " เราจึงได้ภาพคนพิเศษ ที่คุ้นตาเพื่อนๆมาฝากกันด้วยค่ะ ชีวิตข้าพเจ้าเกิดมา หาได้โรยด้วยกลีบกุหลาบไม่ ผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านเรื่องราวมามากมายไม่ต่างกับอีกหลายๆชีวิต- บนโลกใบ นี้ เมื่อมีใครสักคน มอบความรัก ความจริงใจ ให้มาตลอด ข้าพเจ้าก็ไม่ปรารถนาที่จะเร่งเวลาเพื่อให้ตนเองสมหวังเพียงผู้เดียว หากวันใดที่คนพิเศษของข้าพเจ้าพร้อมจริงๆ วันนั้นเราทุกคนคงได้คำตอบ และไม่ต้องนั่งลุ้นกันอีกต่อไป ขอบคุณเพื่อนๆ ที่ให้กำลังใจกันเสมอมาค่ะ ***** แขกเริ่มทะยอยมาแต่เช้าเลยค่ะ ++++++++++ สังเกตุ คุณแม่เจ้าสาวยกหีบสิคะ หนักอึ้งเลย อิ นั่งรอรดน้ำสังข์ค่ะ รวมญาติเพียงบางส่วนค่ะ ตอนส่งตัว พี่สาวพูดซะซึ้งขนาดหนัก เล่นเอา ญาติๆ เช็ดน้ำตากันยกใหญ่ -------- เริ่มงานเลี้ยงตอนกลางคืน เห็นเสือยิ้มยากมั้ยคะ คนไว้หนวดคือคุณพ่อเจ้าสาว ผู้ดูแลศิลปินค่ายแกรมมี่ทั้งหมดค่ะ อดีตปลัดกระทรวงเกษตร เพื่อนพี่เขยให้เกียรติเป็นประธานในพิธีค่ะ เธอสวย เก่ง นิสัยดี เหมือนนางฟ้าตัวน้อยๆ สมาชิกใหม่ของบ้านเราค่ะ สังเกตุภาพสุดท้าย ตอนนั้นวงแขนคนพิเศษยังว่างเปล่า เพราะแม่แก้วฯไม่รู้งาน ว่าต้องคล้องแขน 555 ขอตัวทำงานก่อนแล้วค่ะ ช่วงนี้งานเยอะมากมายจริงๆค่ะ แต่ก็อดคิดถึงเพื่อนๆไม่ได้
วันศุกร์ที่ 16 ที่่ผ่านมา หาซื้อกางเกงใหม่ฝั่งตรงข้ามเดอะมอล์ท่าพระ มองเห็นเป้าหมายอยู่ข้างหน้า " กางเกงตัวเท่าไหร่คะ" แก้วฯถาม " 169 บาทค่ะ สวยๆทุกตัว ใส่ไม่ได้เอามาเปลี่ยนได้่ค่ะ" แม่้ค้าคนสวยพูดจาไพเราะตอบพร้อมรอยยิ้มหวานๆ ข้างๆ แก้วฯมองเห็นตำรวจหนุ่มน้อยหน้่าใหม่ใสกิ๊ก( หล่อด้วย อิ) เขากำลังพูดวอกับอีกคน คาดว่าคงเป็นตำรวจรุ่นพี่ ได้ยินเขาพูดว่า "หน้าที่ผมต้องทำอะไรบ้างพี่ ยืนอยู่ตรงนนี้และคอยดูแล หรือว่าอะไรครับ" แน่นอนเขามาใหม่ เพราะปกติหน้าเดอะมอล์จะมีตำรวจเจ้าประจำที่ถือโทรโข่งคอยบ่นเรื่องรถจอดไม่ตรงป้่ายอยู่ประจำ แก้วฯได้ยินเพื่อนๆคุยเล่นๆกันว่า ตำรวจใหม่ หากได้ยินคำว่า " ของหาย" "โจรปล้น" " รถชน " " วิ่งราว" "ยาบ้า" ฯลฯ พวกเขาจะตั้งใจฟังเป็นพิเศษ เหมือนจะความโชคดีเข้าข้างแก้วฯ เลือกๆกางเกงยีนส์อยู่ ก็เห็นหนึ่งตัว ด้านหลังกระเป๋ากางเกงมีปักหมุดเพชรแวบๆ แก้วฯเลยพูดเสียงดังๆ กะว่าแกล้งตำรวจใหม่เล่นๆ อิ " โห ..มีเพชรตั้งหลายเม็ดอะ เพชรหายไปสักเม็ดทำไงเนี่ย " ... คุณเชื่อปะคะ เชื่อเต๊อะ ไปถามตำรวจท่านนั้นเองก็ได้น๊า เขายืนอยู่ตรงนั้นแหละ ทุกเย็น คุณตำรวจรูปหล่อ หน้าใสหันขวับมา ส่งยิ้มหวานจ๋อยแล้วพูดว่า " สวัสดีครับ มีอะไรให้ผมรับใช้และช่วยเหลือบอกได้เลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ " ก้าก....เข้าทางแม่แก้วฯ 55555 " ช่วยได้จริงปะคะ.." แกล้งต่อ " แน่นอนครับ บอกมาได้เลยครับ " เขายืดอกตอบอย่างมั่นใจ แน่นอนเพราะคำว่า "เพชรหาย" ทำให้เขารู้สึกอยากทำงาน " พี่่ตำรวจใจดี ช่วยต่อราคาให้หน่อยดิ แม่ค้าคนสวยไม่ยอมลดราคาให้ ช่วยหน่อยดี๊ " แล้วตำรวจหน้าใสก็ทำหน้าเขินๆ แล้วตอบว่า " อิๆ อันนี้ต้องคุยกันเองนะครับ ผมคงช่วยไม่ได้ครับ " 55555 แม่ค้า แฟนแม่ค้า แก้วฯ หัวเราะกันอย่างชอบใจ เอิ๊กๆๆ โธ่ ตะกี้ยังพูดอยู่เล้ย ว่าจะช่วย 5555 สุดท้าย ได้กางเกงกระเป๋าเพชรตัวนี้มา ด้วยราคา 160 จากราคา 169 - ก่อนออกจากร้านก็แกล้งแซวตำรวจหน้าใสไปว่า " หากเอากางเกงใส่เครื่องปั่นแล้วเพชรหายไป จะมาแจ้งความนะพี่ตำรวจใจดี แฮะๆ
กี่วัน กี่เดือน ไม่ทราบได้ แต่รู้ว่า หลังเลิกงานชอบไปนั่งที่ๆหนึ่ง ที่นั่นลมพัดเย็นๆ มีผู้คนเดินผ่านมามากหน้าหลายตา บางคนมารอคนรัก บางคนมานั่งคุยโทรศัพท์หาเพื่อนบ้าง บางคนแวะเพียงทานอาหาร เสร็จก็ลุกเดินจากไป บางคนก็จูงลูก จูงหลานมาเดินเล่น พาน้องหมามายึดเส้น สะบัดขา เกาแกรกๆ ตามท่าที่ชอบ สามวันที่ผ่านมา ฉันได้พบกับหญิงชายคู่หนึ่งมานั่งตรงนั้น เวลาเดิม เขาสองคนพูดคุยกันอย่างออกรส และมีเสียงหัวเราะเป็นระยะ ฉันก็พลอยยิ้มไปด้วย วันก่อนก็เช่นกัน ฉันแวะไปนั่งรับลมเย็นๆก่อนกลับบ้าน หยิบนิตติ้งขึ้นมาถัก แกว่งขาเล่นๆอย่างสบายอารมณ์ เวลาเป็นเวลาของฉัน เป็นเวลาที่สบายๆ ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องหน้านิ่ว คิ้วขมวด นั่งอยู่สักพัก เสียงหัวเราะของคนทั้งสองก็ดังขึ้นอีก แต่การหัวเราะครั้งนี้ ไม่ได้เกิดจากการสนทนากัน ฉันหันไปยิ้มให้คนทั้งสองและเธอก็ชี้ให้ฉันดู ฉันละสายตา จากการถักนิตติ้ง นับ นิต นับเพิล แล้วก็ปล่อยก๊าก แบบไม่ต้องอายใคร 55555 " น้องดูสิ กองขี้หมาอะ ทีแรกพี่เห็นมัน ไม่รู้จะทำยังไง เลยเอาทรายมากลบไว้ รอให้แม่บ้านมาเก็บทิ้ง ใครเดินผ่านมาก็เตะ 5555" เออ.แฮะ จริงๆด้วย หากเดาไม่ผิดขี้หมาเพิงจะถูกกลบด้วยทราย เพราะยังมีกลิ่นทรายที่ปลิวมากับสายลมปะทะจมูกเล็กน้อย พี่แกปล่อยหัวเราะดังลั่น คนที่มานั่งแถวนั้น บางคนก็เอามือปิดปากหัวเราะ บางคนก็หัวเราะจนตัวโก่ง ผ่านไปทุกอย่างเงียบ สองคนก็ยังหันหน้าคุยกันต่อ ส่วนฉันก็แกว่งขาเล่น ถักนิตติ้งต่อ สักพัก " ว๊าย....ปะป๊า..ปะป๊าเตะขี้หมาๆๆ 55555 " เสียงเด็กตัวเล็กๆ ที่เดินมากับคุณพ่อพูดซะดัง หนูน้อยหัวเราะดังลั่น " ปะป๊า เหยียบขี้หมา 555 " เธอหัวเราะชอบใจ ส่วนผู้เป็นพ่อ ก็ยกมือทำท่าแขกหัวลูกสาว แล้วก็หัวเราะตามไปด้วย " มาหัวเราะป๊า ป๊าไม่เห็นอะ " พ่อลูกหัวเราะไม่หยุด พลอยทำให้ฉันผสมโรงไปด้วย แล้วฉันก็หันไปคุยกับพี่ผู้หญิงที่นั่งข้างๆว่า " พี่คอยดูนะ หนูว่า กว่าแม่บ้านจะมาเก็บ ต้องมีอีกหลายคนเตะ หากระดาษมาเสียบไม้เขียนได้ดีปะ ว่า ขี้หมานะเฟร้ย 5555 " อีกแล้ว ทีนี้ไม่ใช่ขี้หมา แต่หัวเราะเพราะคำพูดของฉัน ยังไม่ทันจบการสนทนา ก็มีผู้ชายคนหนึ่ง ฉันเห็นเขาคุยโทรศัพท์ หันซ้ายหันขวา เหมือนมองหาใครสักคน สักพัก " โผละ " เตะกองขี้หมาอย่างจัง คราวนี้ลมพัดทรายที่กลบมาทางเรา รู้สึกเหม็นนิดๆ แต่ดูเหมือนทุกคนก็ยังหัวเราะ โดยไม่ได้ออกอาการรังเกียจ- ขี้หมาก้อนนั้นเลยแม้แต่นิด เมื่อทุกอย่างสู่ปกติ ฉันนั่งมองกองขี้หมาที่ถูกกลบด้วยทรายกองนั้น แล้วพูดกับตัวเองในใจว่า อ้อนี่เองที่คนมักจะพูดบ่อยๆว่า " แค่เรื่องขี้หมา" บางครั้งแค่เรื่องขี้หมาก็ทำให้หลายๆคนหัวเราะได้ บางครั้งก็เรื่องขี้หมาอีกนั่นแหละที่ทำให้ผู้คนถึงกับลุกขึ้นมาทะเลาะกัน บาดหมางกัน จนบางครั้งแทบไม่อยากมองหน้ากันก็มี แต่ฉันกลับขอบคุณเจ้าหมาตัวนั้น ถึงมันถ่ายผิดที่ ผิดทางไปหน่อย แต่มันก็ทำให้ผู้คนหัวเราะ มีความสุข ไม่มากก็น้อย กลิ่นขี้หมาแม้จะถูกลมพัดมาปะทจมูก นั่นมันก็แค่ชั่วคราว เดี๋ยวลมก็พัดพาไปที่อื่นเอง หรือไม่ก็หายไปกับกาลเวลา แต่สิ่งที่ยังอยู่คือความรู้สึกของผู้คนได้พบ ได้เห็น ได้หัวเราะ แหละฉันเชื่อว่า แม้จะผ่านเวลาไปนานสักเพียงไหน " แค่ขี้หมาก้อนเดียว" ก็ยังจะคงอยู่ในความทรงจำของทุกคนเสมอ แล้วคุณละคะ.. มีความทรงจำที่ดีในแต่ละวันหรือเปล่า ? *แก้วประภัสสร*