๑ เสือเขียน ๑ นักเลงหนังสือ หรือนักเขียน..มักจะค้นหา- ตำราหรือหนังสือที่ตนเองชอบ ไม่ว่าใครบอกว่า- ที่ไหนมีหนังสือดี มีจัดการศูนย์สัปดาห์หนังสือ ต่างก็จะรีบไปหามา คงไม่ต่างก็นักเลง เสือ หรือ โจร พวกเขาก็เสาะแสวงหาวิชาอาคม เพื่อมาเป็นสิ่งป้องกันตน และสร้างความมั่นใจให้กับตนเองขณะออกปล้น ชีวิตไม่เคยถูกตีหัว มีแต่ตีหัวเขา เป็นคำพูดออกจากปากเสือเขียน ซึ่งข้าพเจ้าได้นั่งพูดคุย เล่าประวัติย้อนไปเมื่อสมัยอดีตให้ข้าพเจ้าฟัง เพื่อไม่ให้เรื่องสั้นของข้าพเจ้า ส่งผลกระทบกับชีวิตประจำวันของเสือเขียน ข้าพเจ้าขอปิดชื่อจริง นามสกุลจริง และขอครูบาอาจารย์ส่งแรงใจ ให้ข้าพเจ้าเขียนเรื่องสั้นจบอย่างสมบูรณ์ แก้วประภัสสร 20 พฤษภาคม 2555 ขณะที่ผู้ชายร่างเล็กใส่กางเกงขาสั้น ไม่สวมเสื้อ นั่งอยู่ที่ม้าหินอ่อนหน้าบ้าน ขาข้างหนึ่งของเขายกขึ้นเหยียบม้านั่ง มือข้างขวายกแก้วเบียร์ขึ้นมาจิบ เขากำลังดื่มเบียร์- ในเวลาพลบค่ำกับญาติผู้น้อง ทั้งสองเสวนากันอย่างออกรส สลับกับร้องเพลง ข้าพเจ้านั่่งมองไปก็ยิ้มไป เบียร์หนึ่งขวด กับผู้ชายสองคน คนหนึ่งวัย70 อีกคน วัยเพิ่งปลดเกษียร 62 ปี ทั้งคู่ร่างเล็ก ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ เรือนแพ...สุขจริง..อิงกระแสธารา.. เขาใช้ช้อนซ่อมเคาะแทนเสียงดนตรีเป็นจังหวะ ขณะที่หันหน้ามา ข้าพเจ้ามองเห็นภาพลายสัก- ที่แผ่นหน้าอก เป็นภาพที่สวยงามมาก ในสายตาข้าพเจ้าว่ามันเป็นภาพที่ผู้สักบรรจง ลงลายศิลป์ รูปเสือได้อย่างสวยงามจริงๆ ตา..สักที่ไหนมา สวยจัง ข้าพเจ้าจับสายตา ไปที่ลายสักอย่างไม่กระพริบ ตาเอามือลูบหน้าอกลงมาถึงสะดือ กล้ามเนื้อที่แข็งแรง ไม่ได้บ่งบอกเลยว่า เขานี้อายุ 70 ปีแล้ว สักอาจารย์สุก ..สมัยตาหนีออกจากบ้าน ไปเป็นเสือออกปล้นโน่น 5555 เขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ฮ้า...ตาเคยปล้นด้วยเหรอคะ ถูกแล้ว เคยมาหมดแล้วอะไรทีว่าเลวๆนะ ตา..ขอหนูเขียนประวัติตาหน่อยได้มั้ยคะ . น่าตื่นเต้น อยากฟังว่าไปปล้นที่ไหนมาบ้าง แต่ตอนนี้จะมีผลกับคดีเก่าๆของตามั้ย โอ้ย..หมดความไปหมดแล้วละ รับโทษหมดแล้ว ตอนนี้เป็นเสือใจดีแล้ว แต่อย่าเผลอมาแหย่หนวดเสือละ 5555 เขียน เกิดปีพ.ศ 2485 ปัจจุบันอายุ 70 ปี มีพี่น้องทั้งหมด 8 คน เขียนเป็นลูกคนสุดท้อง ถูกพ่อแม่ ตามใจ จึงมีนิสัยค่อนข้างเอาแต่ใจ เกเร เมื่อเริ่มโต พี่สาวส่งให้เรียน ก็เกเร เลยถูกแม่จับให้บวชเรียน บวชแล้วบวชอีก โตขึ้นมาหน่อยก็บวชอีก สึกจากเณร ก็ไปเรียนต่อช่างไม้ พอเรียนไปสักพัก ขี้เกียจไสไม้ อยู่มาวันหนึ่งไม่เข้าเรียน แต่มานั่งเล่นที่- ร้านตัดผม มึงทำไมไม่เรียน มานั่งทำไมร้านตัดผม. เจ้าของร้านเอ่ยปากดุเขาออกไป ขี้เกียจไสไม้..วันๆ มีแต่ให้ไสไม้ ไม่เห็นสนุกเลย เขียนตอบไป มึงไม่อยากเรียน อยากจะเรียนตัดผมมั้ยกูจะสอนให้ หลังจากที่เขาเรียนตัดผมจนชำนาญ ก็ได้เช่าห้องเปิดร้านตัดผม ด้านล่างทำเป็นร้านตัดผม ส่วนด้านบนเปิดให้คนเล่นการพนัน นี่เป็นการเริ่มต้นชีวิตที่ถูกทุกคนเรียกเขาว่า เสือเขียน ขณะที่เขาตัดผมอยู่... โต๊ะการพนันชั้นบน เกิดการทะเลาะอย่างรุนแรง เขาพยายาม ที่จะไม่เข้าไปยุ่ง แต่ด้วยอารมณ์ ด้วยอยู่ในวัยรุ่น จึงเกิดโมโห คว้าปืนแล้วเดินขึ้นไปชั้นบน เขาได้เอาปืนยิงขู่ไปหลายนัด โชคดีที่กระสุนไม่ถูกใคร แต่ก็มีชาวบ้านแจ้งตำรวจให้จับเขา ร้านตัดผมต้องถูกปิด เพราะต้องหนีคดีพยายามฆ่า หลังจากนั้นเขาใช้ชีวิตด้วยเงินที่หาได้จากการตัดผม เที่ยวไปตามที่ต่างๆพร้อมกับเพื่อนสนิทอีก 2 คน เมื่อมาถึงอำเภอพิบูลย์มังสาหาร เงินหมด ที่นั่นเขากำลังจะจัดการแข่งขันต่อยมวย เขาจึงเดินเข้าไปเปรียบมวย แต่ก็เปรียบมวยไม่ได้ ท้องก็เริ่มร้องจ๊อกๆ บอกว่าพวกเขากำลังหิว และเขาก็ตัดสินใจปล้นบ้านชาวบ้านที่นั่น ได้เงินมา ห้าพันบาท ข้าพเจ้าขอเบรกและถามว่าทำไมจึงเรียกว่าเป็นการปล้น เขาตอบว่า หากการลักทรัพย์ หรือทำให้เจ้าบ้านเสียหาย ข่มขู่ด้วยอาวุธ ตั้งแต่สามคนขึ้นไปก็คงเรียกว่า ปล้น หลังจากนั้นเขาและเพื่อนอีกสองคน ถูกตำรวจจับได้ ต้องติดคุก 1 ปีกับอีก 3 เดือน เมือพ้นคดีออกมา แม่ก็ขอร้องให้กลับไปบวชเรียนอีกครั้ง เขาทำตามแม่ แต่สุดท้ายก็ร้อนผ้าเหลือง แอบสึกออกมา แล้วใช้ชีวิตเที่ยวเตร่ไปตามอำเภอต่างๆในจังหวัด เมื่อถึงอำเภออำนาจเจริญ ที่นั่นเช่นกัน เขาได้มีเรื่อง ทะเลาะกับวัยรุ่นในท้องถิ่น หมดทางสู้ จึงคว้ามีดออกมาแทงคู่อริ เกือบปางตาย เขาถูกจับอีกครั้ง คราวนี้ตัดสินจำคุก 3 ปี เขาถูกส่งตัวให้มาอยู่เรือนจำนครปฐม ที่นั่นเขาเป็นนักโทษตัวเล็กที่สุด แต่ด้วยเห็นว่าเขาเก่งด้านตัดผม ผู้คุมจึงให้เขารับหน้าที่ตัดผมให้กับผู้คุมในเรือนจำ วันหนึ่งผู้คุมได้นำเขาและเพื่อนคู่หูที่ชื่อตุ๋ย ให้ออกไปตัดผมนอกเรือนจำ เขาทั้งสองสบโอกาส ขณะที่ผู้คุมเผลอ วิ่งหนีกันอย่างไม่คิดชีวิต ทั้งสองอาศัยทางรถไฟหลบหนี ด้วยการเดินหมอบ สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นหญ้าที่สูงชันบังเขา ขณะตำรวจก็ออกไล่ล่าอย่างกระชั้นชิด ข้าพเจ้าขอแทรกเสือเขียนอีกครั้งว่า ทำไมจึงเลือกเส้นทางรถไฟในการหลบหนี เสือเขียนบอกว่า "หากหนีไปตามป่า จะไม่รู้เลยว่า ตอนนี้อยู่ที่ไหน อาจจะโผล่ไปเจอคน หรือตำรวจได้ง่าย การหนีไปตามทางรถไฟ ซึ่งสองข้างทางเป็นป่า ไม่มีบ้านคน ไม่มีคนเดินทางไปมา จึงไม่เป็นที่สงสัยของตำรวจ และรู้แน่ว่า ทางรถไฟเส้นนี้จะไปที่ไหน" ระหว่างทางหลบหนี ข้างทางเขาเห็นจักรยานของชาวบ้านจอดอยู่ ก็ขโมยมา แล้วขี่แบบงอตัว ขี่ไปตามริมทางรถไฟ ปั่นไปสักพัก รถยางแตก ต้องจูงแล้วเดินต่อ 2 คืนเต็มๆ ที่ทั้งสองเดินทาง จนเข้าจังหวัดสุพรรณบุรี ด้วยความหิวโหย ทั้งสองนอบสลบสไลอยู่ข้างทาง มารู้สึกตัวเมื่อได้ยินเสียงคนเรียก ไอ้น้อง...กำลังจะไปไหน ทำไมมานอนสลบกันอยู่นี่ ไปๆ ไปอยู่บ้านพี่ก่อน ผู้หวังดีได้พาพวกเขาไปที่บ้านหุงข้าวหาปลามาให้กิน ที่นั่นก็เหมือนจะทำให้ตกหลุมแห่งความชั่วซ้ำเข้าไปอีก ผู้หวังดีสอนขาสูบกัญชา เมื่อไม่มีเงิน ก็เอาจักรยานคันที่ขโมยมาไปขายได้เงิน 150 บาท หลังจากนั้นได้เดินทางมากรุงเทพฯ ขณะที่ตำรวจก็ยังทำหน้าที่ออกตามอยู่ เขาตัดสินใจนั่งรถไฟไป บ้านโพนทอง อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ หลบหนีด้วยการขึ้นไปนอนบนเขา อยู่บนเขาได้ 3 คืน เงินหมด หิว จึงลงมาจากเขา เดินเข้าในหมู่บ้านซึ่งกำลังจัดงานประจำปี เจอร้านก็ขโมยเหล้าติดมือ สายตา ก็มองหาเหยื่ออย่างกระหาย และแล้วสายตาเขาก็หยุดอยู่ที่คอของหญิงคนหนึ่ง ที่แขวนสร้อยทองหนัก 1 บาท ไม่รอช้า เขาเข้าไปกระชาก สร้อยหลุดติดมือ จังหวะเดียวกันที่สามีเจ้าของสร้อยหันมาเห็นเข้า เขากลัวจะร้อง หรือต่อสู้ จึงใช้ปืนยิงตาย แล้วรีบวิ่งหนีไปอยู่บนเขาอีกครั้ง ทั้งสองไม่มีความกลัวอีกต่อไปแล้ว เขานั่งกินเหล้าอย่างสบายใจ หลบตำรวจอยู่บนเขา เมื่อมีเหล้า ขาดกับแกล้ม ก็เหมือนหนุ่มขาดสาว บนเขาจะมีอะไรนอกจากต้นไม้ใหญ่ หิน และกล้วยไม้ป่า ตกกลางคืน เขาแอบเดินลงมาที่หมู่บ้าน ขโมยวัวชาวบ้าน แล้วเอาไปทุบหัวตายแหล่มิตายแหล่ ใช้มีดที่พกติดตัว แล่เอาเนื้อมากินเป็นกับแกล้ม หลังจากนั้น ทั้งสองก็ตัดสินใจลงจากเขาแล้วนั่งรถไฟ ไปที่อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร เนื่องจากได้ยินกิติศัพท์ของอาจารย์สุก ซึ่งเก่งในเรื่องสักยันต์ เวทมนต์ คาถา อยู่ยงคงกระพันพันไม่เข้า เมื่อเขาเดินทางไปถึงบ้านอาจารย์สุก ไอ้นี่ ...มึงไปฆ่าคนมาอีกแล้วใช่มั้ย อาจารย์สุกทักเขียนขึ้นมา ทั้งๆที่ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน เสือเขียนฝากตัวเป็นลูกศิษย์อาจารย์สุก อยู่ร่ำเรียนวิชา อาคม สักยันต์ อยู่ยงคงกระพัน เมื่อเรียนวิชาจนเก่งกล้า ด้วยความวัยรุ่น อยากลองของ อาจารย์ ลองของได้มั้ย เขาหันไปถามอาจารย์ มีงไม่ต้องลอง อีกสามวันก็เจอของจริง เสียงของอาจารย์มีอำนาจไม่ต่างไปกับเสียงเสือ ที่ขู่คำรามออกมา เขียนมีเพื่อนที่เป็นศิษย์รุ่นเดียวกันของอาจารย์สุก อยู่ 4 คน คือเขียน ตุ๋ย กี่ และจันทร์ เขาใช้ชีวิตอยู่ที่ตะพานหินนานพอสมควร ที่นั่นเอง ทำให้เขาได้พบรักและอยู่กิน กับลูกสาวของอาจารย์สุก วันหนึ่งเขาได้เดินทางไปกินเหล้ากับสหายที่ตากฟ้า เมื่อคนได้ยินชื่อเสียงว่าลูกศิษย์อาจารย์สุกมา ก็ติดต่อมา เพื่อจ้างให้ไปฆ่าคน โดยที่ไม่รู้จักกันมาก่อน คนจ้างเอาปืนเมาเซอร์พร้อมกระสุนเ9 นัดมาให้ ช่วงนี้ข้าพเจ้าได้แทรกบทสนทนา ถามว่าปืนเมาเซอร์ คือปืนของคนแม้วใช่มั้ย เขาตอบว่าไม่ใช่ มันเป็นปืนของญี่ปุ่นที่มีประสิทฺธิภาพ เบา และเล็งเป้าหมายได้แม่นยำ หมู่บ้านช่างเม็ง คือเป้าหมายที่ผู้ว่าจ้างให้ไปฆ่าคน เมื่อมองเห็นว่า ทางหนี ทีไล่ ไม่มี เสือเขียนจึงปฎิเสธที่จะรับงานชิ้นนี้ หลังจากออกจากตากฟ้า เขาทั้งสี่คนเดินทางไปเล่นไพ่ที่บ้านทับค้อ ตะพานหิน เล่นไพ่เสีย เงินหมด ก่อนจะเดินกลับ เขาหันไปคว้าเงินในวงไพ่อย่างหน้าตาเฉย โดยที่ไม่มีใครกล้าหือ เพราะกลัวพวกเขา ทั้งสี่ เดินมานั่งกินเหล้าอยู่หน้าโรงหนัง สักพักมีคนมาขอจุดบุหรี่กับเขา เสือเขียนเป็นคนมีไหวพริบ เขาหันไปมองตะเกียงที่วางข้างๆแล้วถามไปว่า มึงมาขอไฟทำไม ตะเกียงก็ตั้งอยู่ ทำไมมีงไม่ไปจุดที่นั่น แล้วเขาก็รู้ว่านั่นคือตำรวจนอกเครื่องแบบ สักพักก็ได้ยินเสียงตำรวจประกาศ มีผู้ร้ายบุกเข้ามาในท้องถิ่น ทุกคนห้ามเคลื่อนไหว ขอค้นตัว เขียนหันไปมองนาฬิกา เขานั่งเฉย เพือนถามว่า มึงเฉยทำเหี้..อะไรไม่เตรียมตัวหนี เขียนพอจะมีความรู้อยู่บ้าง เขาบอกเพื่อนไปว่า ตามกฎหมาย หลังหกโมงเย็น หากไม่มีหมายศาล มันไม่มีสิทธิ์ค้นตัวใครทั้งสิ้น เขาประมาทเกินไป ตำรวจมาถึงล๊อกคอสองในสี่ ศิษย์ของอาจารย์สุกไปได้สองคน คือ กี่กับจันทร์ ส่วนเขาและตุ๋ยวิ่งหนีตำรวจ เปิดทางด้วยยิง เมื่อเป็นการขัดขืน การจับกุม ตำรวจก็ยิงปืนปังๆๆ แบบสาดกระสุนใส่เขาแต่ไม่ถูกเขาสักนัด ทั้งสองวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต ด้วยการวิ่งแบบสับฟันปลา จนมาติดกำแพง ขณะที่ตำรวจก็ยังยิงไม่หยุด เขาพยายามปีนกำแพงหนี แต่ก็สุดกำลัง เพราะกำแพงสูงมาก จึงหันมาประจานหน้าตำรวจ ตายเป็นตาย เขาเห็นตำรวจ 5 คน ตัดสินใจมองหน้าตุ๋ย แล้ววิ่งสวนกระสุนตำรวจกลับมา เหตุการณ์วันนั้น ท่านว่าเขียนและตุ๋ย จะรอดชีวิต หรือถูกจับมั้ย ? หลังจากรอดตายจากการจับกุมเขากลับมาบ้านพัก แล้วหยิบปืนมาจ่อศรีษะเจ้าของบ้าน แล้วถามว่า มึงแจ้งตำรวจจับกูใช่มั้ย มึงอยู่เฉยๆ ไม่งั้นมึงตาย กูสองคนขอนอนก่อน ตีสี่ กูจะออกจากบ้านมึง เมื่อถึงตีสี่ เขียนและเพื่อนก็ทำตามคำพูด เขาออกจากบ้านนั้น หลบหนีตำรวจ ด้วยการเดินตามทุ่งนา เขาเล่าว่า ช่วงเดือนพฤษภาคม ข้าวกำลังออกรวงสีทอง อยู่ๆเขาก็คิดถึงผ้าเหลือง คิดถึงแม่ คิดถึงพี่ๆ ขณะเดินหนี เขารู้สึกว่าตัวเองเปียก เปรอะ เปื้อนเหลือเกิน ในใจคิดว่าจะมอบตัวรับใช้กรรมที่กระทำมา แล้วจะกลับไปบวชอีกครั้ง เมื่อเขาบอกตุ๋ย ซึ่งเป็นเพื่อนตายว่า เขาอยากกลับใจ หากไปด้วยกันสองคนเราอาจจะไม่รอด ทั้งสองกอดคออำลากันเป็นครั้งสุดท้าย เขียนบอกให้เพื่อนลัดไปตามทุ่งนา เมื่อถึงทางรถให้ตุ๋ยขึ้นรถไปตะพานหิน เพื่อหาอาจารย์ ส่วนตัวเขาหมดหนทางที่จะหลบหนี เพราะสองข้างทางมีแต่น้ำ เมื่อหมดแรงว่าย ตำรวจก็มาถึง ล๊อกคอเขา ดึงปืนออกจากเอว ตำรวจพาเขาไปที่โรงพัก หลังจากนั้นก็พาไปที่เรือนจำที่พิจิตร เมื่อขึ้นศาล เขารับสารภาพ และยินยอมทุกอย่าง ศาลตัดสินให้เขารับโทษ 16 ปี แต่เนื่องจากเขารับสารภาพ และให้การเป็นประโยชน์ชั้นศาล จึงลดโทษเหลือ 8 ปี ช่วงนี้ข้าพเจ้าได้ถามไปว่า ทำไมคดีฆ่าจึงสามารถลดโทษและไม่ถูกตัดสินประหารชีวิต เขาตอบว่า เมื่อก่อนเขาเหมือนคนเถื่อน ไม่มีบัตรประชาชน และด้วยเป็นคนตัวเล็ก จึงบอกตำรวจว่า อายุ 17 ปี เมื่อศาลเห็นว่าเป็นเยาวชนก็ตัดสินตามนั้น แต่จริงแล้วอายุขณะนั้น 23 ปี หลังจากนั้น เขาถูกพานั่งรถไฟเพื่อมาคุมขังที่เรือนจำนครปฐมอีกครั้ง ขณะที่นั่งรถไฟ ในใจเขาก็คิดจะกระโดดรถไฟหนี แต่ก็มองไม่เห็นลู่ทาง เพราะตำรวจและผู้คุมคุมตลอดเวลา เมื่อมาถึงเรือนจำนครปฐม ผู้คุมเห็นหน้าเขา ก็พูดออกมาทันที เอ้ย.......ไอ้แสบมันกลับมาอีกแล้วเว้ย .. แม้เขาจะถูกตัดสินจากเรือนจำพิจิตรว่าเป็นเยาวชน แต่ที่นี่เรือนจำนครปฐม ผู้คุมสั่งให้เขาไปอยู่แดนหก ซึ่งเป็นเรือนอนสำหรับนักโทษผู้ใหญ่และมอบหมายให้เขาเป็นหัวหน้าพาเด็กใหม่ไปเก็บขยะในเรือนจำ หรือแล้วแต่ผู้คุมจะพาไป ด้วยประวัติเดิมว่า เขาเป็นช่างตัดผมที่ฝีมือดี เขาจึงไม่ต้องถูกตีตรวน ล่ามโซ่ อยู่มาวันหนึ่ง นักโทษด้วยกันซ้อมมวย แล้วช๊อกตาย จึงได้ชันสูตรศพ จึงรู้ว่ากินยาเกินขนาด ข้าพเจ้าแทรกด้วยคำถาม ยาอะไรกินถึงกับตายละ เขาเรียกว่า ยา ซิกานอล หรือเหล้าแห้ง แล้วยาได้มายังไง ทำไมถึงกินได้ คำตอบที่ได้ทำให้อึ้ง ไม่ว่ายุคก่อน หรือยุคปัจจุบัน ยาเสพติดมักจะพัวพันกับหลายวงการ ไม่ว่าข้าราชการ หรือคนธรรมดา หลังจากนั้น พัศดีได้นำตัวเขามาสอบสวนเขาปฏิเสธทุกข้อ ถึงแม้จะรู้ว่าใครคือคนเอายาเข้ามาในเรือนจำ แต่เขาไม่อาจบอกได้ เขาถูกตี ตีแล้วตีอีก เพื่อจะให้รับสารภาพ เขียนก็ยังไม่รับสารภาพ จึงถูกขังเดี่ยวอยู่ห้องใต้ดินถึง 7 วัน ไม่เห็นดาวเห็นเดือน กินข้าว 2 เวลา อึ ฉี่ วันละ 2 เวลา มีอยู่วันหนึ่งผู้คุมพาเขาออกมาข้างนอกเพื่อนตัดผม เขาได้เจอนักโทษขาใหญ่ที่เคยอยู่มาก่อน นักโทษคนนั้นพูดข่มขู่ตลอด เขาทนไม่ไหว เลยเตะใส่ปลายคาง ขาใหญ่ไม่สู้ ทำให้เขากลายเป็นฮีโร่ไปทันที วันหนึ่ง มีการต่อยมวยที่เรือนจำ เขาถูกให้จับชกกับขาใหญ่คนเดิม เขียนน้ำหนัก 30 กิโลกรัม ส่วนขาใหญ่น้ำหนัก 60 กิโลกรัม เขียนไม่ได้นึกกลัวเลยสักน้อย ชกกันอยู่หลายยก ไม่มีแพ้ ไม่มีชนะ ผู้คุมก็สั่งให้เลิกชก เขาอยู่เรือนจำนครปฐมหลายปี แล้วก็ถูกส่งตัวมากับเพื่อนนักโทษอีกสามคนให้มาอยู่ที่เรือนจำราชบุรี ที่นั่น ผู้คุมต้อนรับนักโทษน้องใหม่ด้วยการฝึกแถว สั่งให้เขาหมุนหู จับขา ปั่นจิ้งหรีด ท่าหลบลูกปืน นอนกลิ้ง หากใครลุกขึ้นมาเซ ผู้คุมก็จะใช้ไม้ตะพดตี มันเป็นความเจ็บ ปวด ทุกครั้งที่ถูกตีเขาจะนึกถึงหน้าแม่ หากลูกไม่ทำชั่ว ไม่เดินทางผิด ป่านนี้คงได้มีโอกาสตอบแทนค่าน้ำนมแม่แล้ว ลูกขอกัดฟัน ก้มหน้ารับโทษต่อไป เมื่อทางการมีคำสั่งให้เหล่านักโทษทั้งหลายไปตีหิน ให้ได้คนละ 3 บุ้งกี๋ ตีหินเสร็จต้องแบกขึ้นไปบนเขางู ซึ่งมียอดเขาสูงมาก หากทำหลุดออกจากมือ ผู้คุมจะไม่นับให้ ต้องลงมาตีและแบกขึ้นไปใหม่ หากในบุ้งกี๋ไม่มีหิน ก็จะถูกผู้คุมตี ขาสองข้างถูกล่ามด้วยโซ่ตรวน แบกหินขึ้นเขา ระหว่างเดินขึ้นไป บรรดาฝูงลิงก็คอยจะแกล้ง หากใครพูดไม่ดี ลิงก็จะโยนหินลงมาใส่หัว เขาเล่าว่า แม้ช่วงนั้นจะทรมานและเจ็บปวดจากการขนหินขึ้นภูเขา เจ็บปวดจากการที่ถูกผู้คุมตี เจ็บปวดจากการที่ถูกลิงโยนหินลงใส่หัว แต่เวลาเดียวกัน เขาก็มีแต่บรรดาลิงทั้งหลายที่เหมือนเข้าใจเขามากที่สุดในเวลานั้น เขาบอกว่า แรกๆ เขาโกรธลิงที่โยนหินลงมา ทำให้เขาเจ็บ ยิ่งด่าลิงก็ยิ่งทำ จนเขาหมดหนทาง จึงหันไปบอกลิงดีๆว่า ลูกรัก อย่าเอาขาถีบหินลงมาใส่พ่อ พ่อเจ็บ เขาบอกว่า ไม่น่าเชื่อ ลิงกับฟังเขารู้เรื่อง จากที่ลิงกำลังยกหินทุ่ม มันก็กลับวางลง แล้วเดินลงมาขึ้นบ่าเขา 555555 เขาหัวเราะออกมาดังๆแล้วพูดว่า เกิดมาไม่เคยยอมคน แต่ยอมลิง หลังจากพ้นโทษออกมา เขาก็ใช้ชีวิตปกติ มีอาชีพตัดผมหาเลี้ยงชีพ เมื่อสิ้นบุญแม่กับพ่อ เขาก็ได้อาศัยบ้านพี่สาว ซึ่งเขาคารพและรักไม่ต่างกับแม่ อดีตเสือเขียนยังมีเรื่องราวอีกมากมาย ซึ่งข้าพเจ้าได้รบกวนเวลามากพอสมควร จึงยุติการสนทนาเพียงเท่านั้น แต่ก่อนจะจากมา ข้าพเจ้าเห็นเขาเดินหาพี่สาวแล้วถามว่า แม่ๆ หากผมจะบวช แม่จะอนุญาตมั้ย ชายวัย 70 หันไปลูบเท้าพี่สาว แล้วถาม อยากจะบวชก็บวช กี่พรรษาละ ผู้เป็นพี่สาวถามกลับไป บวชก็บวชตลอดชีวิตเลยละ อายุขนาดนี้จะให้สึกออกมาทำไมอีก เขาตอบที่สาว แล้วร้านตัดผมละ ลูกค้าเยอะแยะจะทิ้งลูกค้าไปเหรอ พี่สาวถามเขาอีกครั้ง คราวนี้เขาหัวเราะแล้วบอกพี่สาวว่า 55555 ไอ้อ้วนเอ้ย ทำมาถามว่าจะทิ้งลูกค้าเหรอ ไอ้อ้วนกลัวไม่มีคนแหย่จะเหงามากกว่า 5555 ไม่ให้บวชก็จะขออยู่เป็นเพื่อนพี่สาวจนตายจากกันแล้วกัน เส้นทางชีวิตของแต่ละคน ใช่ว่าฟ้าชะตากำหนดหรือลิขิต กรรมและการกระทำอยู่ที่ตัวเราเองที่เลือกว่าจะเลือกเส้นทางไหน เมื่อทำผิดก็ต้องรับโทษ ชดใช้กรรมที่ทำขึ้นมา หากสามารถกลับตัวกลับใจเป็นคนดีได้ สังคมก็พร้อมให้อภัย กรรมเห็นทันตา เสือเขียนเคยกล่าวไว้ว่า " เกิดมาไม่เคยถูกตีหัว มีแต่ตีหัวเขา" นั่นคือเรืองจริง แต่เขาก็ไม่พ้นที่ถูกลิงโยนหินทุ่มใส่หัว บางวันเลือดไหลออก เจ็บ ปวด นั่นคือหนึ่งผลกรรมที่เขาได้รับ ขอบคุณอดีตเสือเขียนที่เล่าและอนุญาตใ้ห้ข้าพเจ้าเขียนเรื่องสั้นเรื่องนี้และห้ามผู้ใดคัดลอก หรือนำไปเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาตจากข้าพเจ้า ปัจจุบันท่านผู้นี้มีอาชีพเป้นช่างตัดผม คา่ตัดผมคิดหัวละ 30 บาท หากเด็กนักเรียนเก็บหัวละ 10 บาท ข้าพเจ้าเห็นว่า ด้วยวัย 70 ร่างกายย่อมร่วงโรย ไปตามกาลเวลา ข้าพเจ้าปรารถนาที่อยากจะหารายได้ เพื่อมอบให้อดีตเสือกลับใจท่านนี้ ไว้เป็นทุนยังชีพ เมื่อร่างกายไม่สามาารถลุกขึ้นมาตัดผมได้อีก ขอคำปรึกษาเพื่อนๆ พี่ๆ แม้ท่านจะได้อ่านเรื่องสั้นเรื่องนี่ไปแล้ว หากข้าพเจ้าจะทำเป็นหนังสือออกจำหน่าย ท่าน..จะสนับสนุน หรืออุดหนุนมั้ยคะ กลัวไม่มีเงินจ่ายค่าทำเล่ม อิิอิ
"คุณแบม ตื่นๆๆๆๆ " เปิดเอ็มขึ้นมาเห็นสีเหลืองๆกระพริบ จึงรู้ว่าอัลมิตราทักมา " จ้าคุณอิม" "คุณปรางทิพย์มาเมืองไทยไปกินข้าวด้วยกันมั้ย" "วันที่ 24 แบมมีสัมนาบ่ายถึงเย็นค่ะ กลัวจะไปไม่ทัน " " ไม่เป็นไร จะรอถึงทุ่มนะ เดี๋ยวกินกันที่ ซิสเล่อ" แหมะ..จะปฏิเสธก็ยังไงๆอยู่ อิอิ หลังจากสัมนาเสร็จ รีบนั่่งรถแท๊กซี่ไปที่เซ็นทรัลพระราม 3 ดูเวลายังเหลืออีกครึ่งชั่วโมง เดินดูเสื้อผ้าชั้นล่าง ดูรองเท้าเขาเอามาลด หยิบแล้ว แต่นึกถึงคำพี่ อะไรไม่จำเป็นก็อย่าซื้อฟุ่มเฟือย เก็บเงินไว้ยามเจ็บไข้บ้าง ก็เลยวางรองเท้าลง เชอะ..ไม่อยากได้สักหน่อย แบบนี้ที่บ้านเราก็มีหลายคู่แล้ว ....แต่....เดินออกจากร้าน สายตายังชำเลืองไปที่รองเท้าสีดำ สานเป็นเส้นเล็กๆหุ้มข้อ สวยจริงๆค่ะ อิ โทรหาคุณอิมว่ามาถึงหรือยัง " คุณอิม เค้ามาถึงเซ็นทรัลแล้ว อยู่ชั้นสี่่ละ " " เดินขึ้นมาเลย นั่งรออยู่ที่ร้าน แอนนี่่แอนค่ะ " ยืนห่างๆ แอบมองพี่่ปรางก่อนเลยค่ะ 5555 ยืดอดเดินเข้าไปหา " พี่อิม พี่ปรางสวัสดีค่ะพี่ โห..พี่ปรางสวยจังเลย" และแล้ว..เราทั้งสองก็ตกเป็นของกันและกัน 55555555555 อ้อมกอดอันอบอุ่น ทำให้รู้สึกว่า พี่เป็นกันเอง ทำให้เราไม่ต้องวางตัวอะไรมาก หลังจากนั้นคุณอิมบอกว่า พี่เขามาเมืองไทย พาทานอาหารไทยๆ รสแซบๆดีกว่า เป็นร้านยำ ส้มตำ ของอร่อยลิ้นทั้งนั้นเลยคะ แต่แก้วฯไม่ได้ถ่ายภาพมาฝากกัน เราเริ่มทานไป สลับถามสาระทุกข์สุกดิบกัน โต๊ะอาหารเริ่ม หกโมงเย็น เสียงหัวเราะโต๊ะเราทำให้โต๊ะข้างๆชำเลืองมามอง ทั้งคุณอัลฯ และคุณปราง คุยสนุก แทรกมุกตลอด อารมณ์ที่ห้องสัมนาต่างจากที่โต๊ะอาหารโดยสิ้นเชิง แก้วฯมองดูเวลา สองทุ่มครึ่ง เกรงว่าจะเข้าบ้านลำบาก ใจแล้วอยากนั่งคุยต่อ เพราะยังไม่หายคิดถึง ยังอยากนั่งหัวเราะแบบนี้ไปนานๆ แต่ก็เป็นธรรมดาค่ะ พบแล้วจาก จากแล้วพบ เดี๋ยวเราก็คงมีโอกาสได้พบกันอีกแน่นอน ขอบคุณคุณอัลมิตราที่ชวนไปนะคะ หากแก้วตัดสินใจไม่ไปเมื่อวาน คงจะเสียใจมากๆค่ะ ขอบคุณคุณปรางทิพย์..พี่เอ็มคนสวย ใจดี คุยเก่ง อารมณ์ดี ที่เลี้ยงอาหารน้อง จริงๆแล้วน้องควรจะเลี้ยงพี่มากกว่านะคะ ขอบคุณของฝากจากใจค่ะพี่ เถิดนะคะ เรามามอบสิ่งดีๆให้่กัน ในวันที่เรายังมองเห็นฟ้าสีคราม ในวันที่เรายังมีเรี่ยวแรงไปมาหาสู่กันได้ แม้วันที่เราเหนื่อยล้า แต่เรายังมีเพื่อน ยังเห็นรอยยิ้ม เราก็พร้อมจะก้าวเดินต่อไปค่ะ ๑ แก้วประภัสสร๑ ป.ล.ขออภัยเจ้าค่ะ ไม้เอก ่ พิมพ์ไม่ติดหลายตัว ไม่ทราบเพราะอะไร
ที่ข้างรถตู้ใ้ห้บริการมีสติ๊กเกอร์ใสๆ บอกข้อห้ามนำสิ่่งต่างๆขึ้นมาบนรถ เด็กชายอายุประมาณสี่ขวบ ขึ้นมากับแม่ หนูน้อยเลือกนั่งริมด้านประตูทางลง เขามองเห็นสติ๊กเกอร์ใสๆติดอยู่เรียงกันเป็นแถว มีสัญญลักษณ์ตา่งๆ เกิดความสงสัย จึงตั้งคำถามกับแม่ " แม่ครับ นี่รูปอะไร" หนูน้อยชี้ไปที่สติ๊กเกอร์ " อ้อ สติ๊กเกอร์ห้ามนำอาหารเครื่องดื่มขึ้นมาบนรถลูก"แม่ตอบ "แล้วนี่น้องหมา น้องหมาทำอะไร" " อันนี้ห้ามนำสุนัขขึ้นมาครับผม"แม่ตอบพร้อมเอามือโอบลูก "นี่ืุ่ทุเรียน หนูชอบกินแม่ ห้ามทุเรียนด้วยเหรอครับ" "จ้าลูก ห้ามนำทุเรียนขึ้นมา เพราะกลิ่นของทุเรียนจะรบกวนคนอื่น" "อันนี้ห้ามนำปืนขึ้มมาใช้มั้ยครับ" หนูน้อยชี้ไปรูปปืน "ครับผม ห้ามนำอาวุธ รวมทั้งปืนขึ้นมาบนรถจ้าลูก" เด็กชายชี้ไปเรื่อยๆ แล้วเขาก็หยุดอยู่ที่รูปๆหนึ่งอย่างสงสัย " แม่ครับ แล้วรูปผู้ชายล้มทับผู้หญิง หมายความว่ายังไงครับ" แม่นิ่งไปสักพักแล้วตอบลูกว่า " อ้อลูก ..เขาห้ามคนทะเลาะกันขึ้นมาบนรถจ้า" ^__^
พิธีเช้างานแต่งที่บ้าน พี่สาวซื้อดอกไม้จากปากคลองตลาดไปทำดอกไม้ตกแต่งงานเอง แก้วฯเลยถือโอกาสเรียนไปด้วย ไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่ายเลยนะคะ ทำช่อบูเก้เอง ผมขอมีส่วนร่วมด้วยนะครับ ร้อนจัง หย่อนตัวลงแช่น้ำในกาละมังเย็นสบาย พอใจละ ไปดูใครมาบ้านเราอีกน๊า หลังจากทำดอกไม้เสร็จ พักแปบหนึ่งก่อนไปงานตอนเย็น แม่ขอมือไปดูดวงให้ค่ะ เริ่มงานเลี้ยงไปอย่างลุ้น งานกลางแจ้ง แต่ฝนตกก่อนเริ่มงานค่ะ รวมญาติบางส่วนค่ะ ที่เหลือไม่ได้ถ่ายมาอีกเยอะ เพื่อนสมัยเรียนมัธยมบอกว่าจะมากันประมาณสิบกว่าคน พอวันมา สี่คน แค่นี้ก็ขอบคุณมากแล้วจ้า นานมากไม่ได้พบเพื่อน จำหน้าแทบไม่ได้ อายจังเรา ต้อนรับไม่เต็มที่่ คงไม่ว่ากันเน้อ อากาศร้อนจัดเจ้าบ่าวเป็นลม หลบเหมือดเลยค่ะ นี่แหละเหตุฉุกเฉินที่ไม่มีใครอยากให้เกิด The show must go on. ------------------------------------- งานเลี้ยงผ่านไป ตื่นเช้ารับวันใหม่ ด้วยบรรยากาศรอบๆบ้าน เราเลี้ยงไก่ไว้กินไข่ เพราะไม่ต้องแย่งไข่กับเพื่อนๆทืี่่บ้านกลอน แย่งทีไรมาไม่ทันตากีฯ พี่ยา น้องฝน ซักที อิ อันนี้ประตู ฝีมือพี่เขย ทำแบบง่ายๆ วัสดุเหลือใช้ แต่เจ๋งจริงๆค่ะ วิเศษมาก แค่แผ่นตะแกรง 99 บาท ท่อเหลือจากสร้างบ้าน เอาไปใช้ได้ ซ้ายดอกเข็มขาวเล็กกลิ่นหอมอ่อนๆ ชื่นใจ แม่ชอบเอามาบูชาพระ แทนมะลิค่ะ รอไม่นานหันไปดูฟาร์มไก่ ไข่เพิ่มอีกแล้วสามฟอง ส่วนด้านล่าง ใครเห็นคิดว่าลูกมะพร้าว ป่าวเลยค่ะ มันคือมะม่วงหัวช้างที่บ้านแก้ว เนื้อเปรี้ยวนิด พอสุกก็หวานอร่อยค่ะ วันนี้เอามาเฉาะให้น้องๆที่ทำงานกิน ลูกเดียวเต็มจานเลย ใครทราบมั้ยคะว่าดอกอะไรเสีบไว้อยู่ในรูหู อิ มันคือดอกมะขาม ถูกแสงแดดกระทบ สวยมากๆ ซ้ายมือล่างลงแปลงปลูกเผือก เราเลือกสวนผสมค่ะ หลากหลาย เดินไปทางไหนก็หยิบ เด็ดมากินได้ นั่นแหนะเจ้าขนุน กลัวน้อยหน้า ถ่ายผมด้วยคราบพี่สาวคราบ ด้านขวามือคือผักกระโดน...โดนยังไง ไปถามลุงๆ ป้าๆ น้าๆ อา แถววนี้แหละ ้านกลอนนี่แหละค่ะ น่าจะตอบได้ อิอิ ดอกลั่นทมหน้าบ้าน กับสาวยวนชวนน่าเขกหัวเล่น อิ กับพระมารดาผู้ประเสริฐค่ะ ดอกกุหลาบเหลือจากงาน แก้วฯเอามาแซมต้นอะไรก็ไม่ทราบ พี่เอามาแช่นี้ไว้ เข้ากันได้ดีทีเดียว ใครรู้จักใบย่านางบ้างคะ ยกมือขึ้นค๊า แล้วใครเคยเห็นเมล็ดใบย่างนางบ้างคะ นี่แหละค่ะลูกใบย่านาง พี่ๆเอามาปลูกริมรั้ว ไ้ว้คั้นน้ำดื่ม ไว้คั้นใส่แกงเปรอะ ยาวิเศษ อายุวัฒนะของบ้านเราเลยค่ะ พริกเต็มสวน มะรม น้อยหน่า บวบ ไร้สารเคมี โหระพา.. เจ้ๆ หันมายิ้มหน่อยจ้า แฉะ..ยิ้มหวาน ใจดี พี่สาวคนเก่ง ขยันมากๆ มะนาว ต้นไผ่ โอ้...เยอะนะ อิ ตามด้วย ผักหวาน ส้มโอ ถ่ายรูปเสร็จ เก็บเลยเจ้ เยอะๆนะคะ เอาไปฝากเพื่อนๆ ขอจบด้วยภาพบ้านทุ่งแสนสุขแก้ประภัสสร เส้นทางที่มองเห็น ผู้คนสัญจรไปมา บ้างก็หันหน้ามามอง ผู้หญิงคนหนึ่งจะกำลังรดน้ำผัก บ้างก็เห็นมามอง ดอกไม้ที่ปลายสวน บ้างก็จอดรถลงมาขอซื้อผัก วันนี้แม้พวกเราจะไม่มีพ่อ แต่หากวิญญาณของท่านรับรู้ ท่านคงจะยิ้มอย่า่งภูมิใจในตัวลูกๆทุกคน หนูอยากบอกพ่อว่า " แม่ยังหัวเราะได้เสียงดัง พวกเรายังรดน้ำที่สวนของพ่อทุกวัน ต้นไม้ของพ่อยังเขียวชะัอุ่ม มันจะไม่มีวันตาย เพราะลูกเดินตามรอยเท้าของพ่อค่ะ" เท้าที่ย่ำดินใครว่าเจ็บ ใจที่ผ่านอุปสรรคใครว่าปวด เจ็บเสียให้พอ ปวดเสียให้มันเข็ด แล้วเช็ดเท้าให้สะอาดด้วยหญ้านุ่มๆ รักษาแผลที่ปวดด้วยธรรมชาติบำบัด คงไม่นาน อาการเจ็บและปวดจะค่อยๆเลือนหายไป ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชมภาพค่ะ นอนหลับฝันดีนะคะ @ แก้วประภัสสร @
มิกุ " แม่ สองคนนั่นมาจากไหนคะ ทำไมหนูไม่เคยเห็นหน้าเลยละ ทำไมเขาเดินไปเดินมาริืมถนน เสื้อผ้า หน้าผม รก รุงรังจังเลย คนบ้าหรือแม่" มิกุถามผู้เป็นแม่ ขณะมองเห็นหญิงชายแปลกหน้าเดินไปมาริมถนนทั้งวัน แม่บอกมิกุว่า " หนูมองและฟังดูดีๆสิ ได้ยินเสียงอะไรมั้ย" มิกุมอง " ทั้งคู่สูบบุหรี่ด้วยแม่ ท่าทางจะเมาด้วยนะคะ แม่..เขากอดคอกันร้องเพลงด้วย " แม่ยิ้มแล้วบอกว่า " ทำไมเราถึงคิดว่าเขาเป็นคนบ้าละ คนบ้าที่ไหนกอดคอกันร้องเพลง เดินริมถนน เดินมาเกือบสองปีแล้ว คนบ้าต้องโน่น.. เดินกลางถนนโ่น่น แม่พูดถูกมั้ย" มิกุเอามือลูบคางตัวเองทั้งๆไม่มีเครา "อืม จริงด้วยนะแม่้ คนบ้า คือคนไม่มีสติ แต่นี่เขาต้องมีสติเนาะ ถึงร้องเพลงไม่ผิดคีย์ แถมดูมีความสุขอีก" แม่บอกว่า เขามีบ้าน มีที่อยู่ แต่สองคนนี้ เขาชอบใช้ชีวิตแบบนี้ เดินร้องเพลง ปล่อยเนื้อตัว มอมแมม ผมเผ้ารกรุงรัง ไม่วุ่นวายกับผู้คน ถึงเวลาก็เดินกลับบ้าน แม้กระทั่งอากาศร้อน แต่ดูเหมือนว่าสองคนนั้นเย็นยิ่งกว่าอากาศเสียอีก เพราะอะไรลูกรู้มั้ย เพราะใจเขาเย็น เขาจึงเป็นสุข จึงไม่รู้คำว่าร้อน.......... พอได้ฟังแม่พูด มิกุคิดได้ทันที " แม่ขา.. หากพรุ่งนี้แม่เห็นหนูเดินอยู่ริมถนน ร้องเพลง เหมือนสองคนนั้น แม่อย่าว่าหนูนะคะ" แม่หัวเราะแล้วตอบลูกสาวว่า " ลูกอยากจะมีสุขแล้วทำเช่นพวกเขา ถามใจลูกก่อน ว่าพร้อมหรือยัง ? ผ้าชุบหน้ายังอยู่ทีแก้ม น้ำแข็งยังอมอยู่ที่ปาก เท้าลูกยังไม่แตะพื้นดินเสียด้วยซ้ำ ลูกพร้อมแล้วหรือ ?" มิกุหยุดความคิดทั้งหมด แล้วหันหน้าไปยิ้มให้แม่อย่างเหนียมอาย เธอกอดแม่ แล้วพูดว่า " ไม่เิอาแล้วค่ะ่แม่ หนูยังไม่พร้อม ขออยู่ใกล้ๆแม่ แค่นี้หนูก็เ็ย็นแล้ว" แก้วประภัสสร // คนเขียนคำคลายร้อน ลิขสิทธิ์เมื่่อผ่านสายตาทุกท่าน ขอบคุณค่ะ