23 มิถุนายน 2548 11:44 น.
แก้วนีดา
กรรมเก่า กรรมใหม่
ระยะ ทอดสายตามองผู้อ่อนวัยกว่าด้วยความเข้าใจ
แม้สาวน้อยตรงหน้าจะมีธรรมะแค่ไหน
ใจส่วนหนึ่งก็ยังคงเป็นสาวน้อยที่รักแรง เกลียดแรง
ได้เหมือนคนทั่วไปอยู่ดี พร้อมกับได้เอ่ยถามสาวน้อยตรงหน้าว่า
หนูดาว เห็นว่าอย่างไรหละ ความเลวเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
ดาวชะงัก พร้อมกับนึกถึงพฤติกรรมที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็น
หลังมือของ นายตะ ที่เจ้าชู้จีบผู้หญิงไปทั่วไม่เลือกว่าใครเป็นใคร
และชอบทำให้เธอต้องเสียใจอยู่ตลอดมา นับตั้งแต่คบเป็นแฟนกัน
แต่ปัจจุบัน นายตะ ได้เปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่ ด้วยเพราะว่า
กลัวจะต้องสูญเสียเธอไป เพราะนายตะรู้แล้วว่าเธอ คือผู้หญิงคนเดียว
ที่นายตะ รักมากที่สุด และจะไม่ยอมสูญเสียเธอไปให้กับผู้ชายคนไหน
แล้วหนูดาวก็ตอบว่า ไม่เที่ยงจริงๆค่ะ
แต่ อคติทำให้ใจหนูดาวรู้สึกว่าเที่ยงใช่ไหม ?
เด็กสาวนิ่งไปครู่ ก่อนเอ่ยตอบแบบแผ่วเบาว่า ค่ะ
ไม่อายที่จะยอมรับ เพราะเมื่อถูกจี้ให้เห็นอคติเป็นจุดมืดมัวกลางใจ
จุดมืดนั้นก็แตกสลายหายไป แปรเป็นความสว่างเบาแทน
จิตที่สบายแล้วย่อมไม่มีอุปสรรคในการยอมรับตามจริง
และ ระยะ ก็ยิ้มละไมอย่างพึงใจที่เด็กสาวขจัดสิ่งกีดขวางได้เร็ว
เขาอธิบายต่อไปว่า ในชาติเดียวกัน คนเรายังกลับไปกลับมา
ระหว่างเลวกับดีได้หลายร้อยหลายพันครั้ง แล้วข้ามชาติ
ข้ามภพมาจะหาความแน่นอนอะไรได้ ? ถ้าหนูดาวตัด
อคติทิ้ง เห็นตามจริงว่าทุก ๆ คนต่างก็มีที่มาที่ไปในการก่อกรรม
ใจก็จะเป็นกลาง ไม่ต้องทุรนทุรายเรียกหาความยุติธรรม
เมื่อเห็นคนน่าหมั่นไส้ยังอยู่ดีมีสุข และไม่ต้องมืดหม่น
กับความสะใจสมน้ำหน้าเมื่อเห็นศัตรูประสบทุกข์ปางตาย
ระยะ ยังได้อธิบายต่อไปอีกว่า การเป็นผู้ชนะกิเลสในทางใดทางหนึ่ง
ได้ตลอดชีวิต คงเส้นคงวาไม่หวั่นไหว แม้ถูกทดสอบหนักหนาเพียงใด
นั่นแหละจะกลายเป็นนิสัยติดตัวข้ามภพข้ามชาติในระยะยาวได้
นัยน์ตาของเด็กสาวทอประกายแจ่มแจ้ง
พร้อมกับตอบรับว่า เข้าใจแล้วค่ะ แล้วเธอก็ปรายตามาทาง นายตะ
เด็กสาวคิดว่า เธอพร้อมแล้ว ที่จะให้อภัยในการกระทำที่ไม่ดี
ของนายตะ ที่ได้กระทำต่อเธอมา เพราะเธอคิดว่า ถ้าเรื่องใหญ่ที่สุด
ยังอภัยให้ได้ ชีวิตที่เหลือก็ไม่มีเรื่องไหนทำให้เธอผูกจิตอาฆาตพยาบาทได้อีก
นิสัยรักการสละพยาบาทจะติดตัวข้ามชาติต่อไป ไม่ต้องเป็นทุกข์
เพราะการจองเวรมากเท่าคนอื่น ใช่ไหมค่ะ คุณระยะเด็กสาวถาม
ระยะยิ้มให้กับเด็กสาวตรงหน้าพร้อมกับพยักหน้ารับ ใช่ครับ
กรรมย่อมเกิดจากการกระทำ
สรรพสิ่งนำ รายล้อมรอบตัวเรา
พิตรพินิจด้วยจิต คิดเลือกเอา
ปลดปล่อยกรรมเก่าติดตัวมา
สรรพสิ่งใดใดในโลกมิเที่ยง
มีหมุนเวียนตามกาลเวลา
กรรมเก่าอาจย้อนส่งผลนำพา
ชีวิตเกิดมาชดใช่กรรมเวร
หนึ่งคนอาจมีทำดีหรือชั่ว
ขึ้นอยู่ที่ตัวแห่งจิตคิดมั่น
วันนี้คิดว่าทำดีที่สุดแล้วนั้น
รุ่งขึ้นอีกวัน คิดใหม่กลายชั่ว
อคติ แห่งจิตที่คิด อุปสรรค
นิสัย ลด เลิก ละ จะช่วยไว
หยุดคิด หยุดติด ต้องตัดให้ได้
อคติ คำเดียวติดใจ ได้ทุกข์ทน
หยุดด้วยสิ่งซึ่งแห่งการกระทำ
หนึ่งคำมีความหมายมากคุณค่า
ส่งผลหยุดกรรมเก่าที่ย้อนมา
คือ หนึ่งคำว่า ขออโหสิกรรม นั่นแล.
21 มิถุนายน 2548 15:17 น.
แก้วนีดา
.. โลกการเมือง ..
การเมืองเป็นอย่างไร..ไม่อาจรู้
ต่างต่อสู้เพียงไหน..ไม่อาจเห็น
เราก็ยังเป็นเรา..อยู่เช้าเย็น
เราผู้เป็นข้าชาติ..ทาสแผ่นดิน
ข้าวปลาแต่ละมื้อ..คือความหมาย
กินกันตายเรื่อยไป..ไม่รู้สิ้น
มีกินบ้าง อดบ้าง..อย่างเคยชิน
จำต้องดิ้นรนอยู่..สู้ชีวิต
ยิ่งยามแล้งแห้งน้ำ..ยิ่งลำบาก
ทนทุกข์ยากย่ำแย่.แพ้วิกฤติ
จะหาน้ำใสสะอาด..เกินคาดคิด
มีน้ำติดแอ่งดิน..กินกันตาย
แปลงสินทรัพย์เป็นทุน..กี่รุ่นแล้ว
ไร้วี่แววสำเร็จสม.....อารมณ์หมาย
ช่างโยกโย้ ยืดยาว..วาดลวดลาย
ผิดเจ้านาย พูดเสียงดัง..เคยสั่งการ
ชีพคนจนอยู่อย่าง.....บัวร้างน้ำ
เหี่ยว เฉา คล้ำ กร้านกรอบ..จนรอบด้าน
จึงชาชินกับภาวะ.....ทรมาน
ฝืนทำงานเท่าที่.....พอมีแรง
โลกการเมือง เรื่องของใคร..ไม่อาจรู้
ขอเชิดชู คนทำดี..ที่กล้าแกร่ง
แต่กับคนทุจริต..คิดพลิกแพลง
ขอสาปแช่ง..ให้ฉิบหาย ทุกรายไป.
กลอนบทนี้แต่งโดย สามัญชน คนครองธรรม เป็นข้าราชการครูบำนาญ ที่มาบ่นเรื่องการเมืองของประเทศไทยในปัจจุบัน นำมาลงในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ พร้อมกับยินดีที่จะให้เผยแพร่ได้ เลยนำมาลงให้เพื่อนๆในบ้านกลอนได้อ่านกันค่ะ. ที่บ้านคุณพ่อก็รับราชการ...และยังมีญาติพี่น้องอีกที่ทำงานราชการ.....เลยพอจะทราบชีวิตของข้าราชการดีพอสมควรค่ะ....ถึงแม้ว่าจะมิใช่ข้าราชการครูก็ตาม....
16 มิถุนายน 2548 10:15 น.
แก้วนีดา
อาลัย ชบา มะลิ ที่อาลัย
ชบา ใครคงคิดว่าคือ ดอกไม้..แต่ ชบา ที่อยู่ในใจแก้วนีดา
เจ้าคือ เพื่อนยาของพี่ชายข้า.เจ้าคือ ตัวแทนแห่งความห่วงหา
เจ้าคือ ชบาปลาทองงามโสภา...ชบาจ๋า แก้วนีดาแสนอาลัย
วันหนึ่งได้รับข่าวเรื่องเศร้าสะเทือนใจ
พี่ชายบอกชบาจากไปน้องดาน้ำตาไหลริน
สุขเถิดหนอชบาเอยตู้ปลาที่คุ้นเคยอนุสรณ์
ที่อยู่ ที่กิน และที่นอน..ของเจ้าบังอรน้อง ชบา
ขอบุญที่ข้าเคยทำช่วยส่งนำทางน้องชบา
สู้สวรรค์ในชั้นฟ้า.ด้วยเถิดหนาข้าวอน
แต่แล้ววันหนึ่งก็มาถึงอีก..วันที่ซึ่งหัวใจมันหวั่นไหว
ไม่คิดคาดไร้ปรารถนาใด..ข่าวน้องมะลิทำให้ตกใจเบื้อใบ้หา
นี่เราหมดสิ้นวาสนากันหรือไร..ชบาและมะลิจึงทิ้งแก้วนีดาจากลาจร
สุขเถิดหนอมะลิน้อย
เจ้าปลาทองของพี่ชาย
แก้วนีดาน้ำตารินไหล
ข่าวสุดท้ายน้องมะลิลา
ผลบุญที่เกิดก่อแต่กาย
ขอน้อมนำให้น้องมะลิหนา
พาสู้สุขคติในภพหน้า
น้องชบามะลิจ๋าพี่อาลัย
และนี้คือกลบทที่พี่ชายเขียนไว้อาลัยให้กับปลาทอง
ชบาและมะลิของพี่ชาย ในวันที่เข้าเอ็มมาบอกข่าวร้าย
เรื่องของ มะลิ พี่ชายเขียนขึ้นแบบสดๆไม่ได้มีการแต่งรูปแบบ
ให้ถูกฉันทลักษ์ของกลอนแต่อย่างใด.แต่เป็นกลบท ที่มีขึ้นในอารมย์
ณ เวลานั้นของพี่ชาย ที่มีให้กับ น้องชบา และ มะลิ
แล้ววันหนึ่งวันนี้ก็มาถึง วันที่ซึ่งหัวใจมันหวั่นไหว
ไม่คิดคาดไร้ปรารถนาใด ได้แต่นั่งเบื้อใบไร้อารมณ์
ไร้ประโยชน์ใดใดหัวใจเอ๋ย วันที่เคยได้ใกล้ใจห่อห่ม
วันที่ทุกข์ร้อนอ่อนอารมณ์ เคยนั่งคุยนั่งชมระทมนัก
ชบาจ๋ามะลิจ๋าน้องลาแล้ว เหลือแต่แววอารมณ์ที่หน่วงหนัก
นี่หรือไม่ที่เรียกว่าอารมณ์รัก สุดจะห้ามใจหักยามรักลา
ไร้ซึ่งพีธีการหรือพิธีกรรม แต่ทุกความทรงจำยังพร่ำหา
ถ้าคนเราหวังวาดถึงสวรรค์ชั้นฟ้า พี่ก็หวังปรารถนาอย่างมากหนัก
ให้น้องทั้งสอง นะน้องรัก จักได้อยู่บนสวรรค์ ชั้นนั้น
พี่ชายบอกน้องดาว่า หลายปีที่ผูกพัน กับชบาและมะลิ มันมากกว่าเพื่อนแก้เหงา
วันที่พี่เจ็บปวดที่สุด คือวันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน ในตอนเช้า ตื่นขึ้นมา แล้วพบว่า น้องมะลิ
ลาจากไปแล้ว พี่ชายคิดแล้วว่า มะลิ คงทนได้ไม่นาน เพราะเขาทั้งสองโตมาพร้อมกัน และ
คงยากจะทำใจกับการพลัดพรากจากไปก่อนหน้านั้นแล้วของน้อง ชบา
น้องดาคิดไม่ถึงจริงๆว่าน้องมะลิจะมาจากไปอีกตัว
เพราะพี่ชายบอกว่ามะลิแข็งแรงขึ้นแล้ว ว่ายน้ำเก่งแล้ว
น้องดายังบอกว่าให้พี่ชายระวัง เพราะว่าน้องมะลิติดเชื้อ
อย่าวางใจ แต่ถ้าวายน้ำเก่งแล้ว คงรอดแล้ว น้องดาดีใจ
กับพี่ชายเรื่องน้องมะลิรอดแล้ว.แต่อนิจจา ไม่กี่วันต่อมา
พี่ชายมาบอก ข่าวน้องมะลิสบายแล้วน้องดายังดีใจแต่..
แต่พี่ชายบอกว่าน้องมะลิ สบายเช่นเดียวกับน้องชบา
พี่ชายจ๋า น้องดาพูดไม่ออกเลย..
หมายเหตุ
น้องชบาและน้องมะลิ คือ ปลาทอง สองตัวของพี่ชาย
พี่ชาย คือ พี่แทนคุณ แทนไท
13 มิถุนายน 2548 15:19 น.
แก้วนีดา
ทิ ว า วุ่ น รุ่ ง อ รุ น สั บ ส น
ใกล้รุ่งแสงทองเรืองรองจับท้องฟ้า
สกุณาอีกไก่ป่าส่งเสียงขับขาน
ผีเสื้อโบยบินพากันหาน้ำหวาน
ดอกไม้สดชื่นบานรับอรุณรุ่ง แห่งทิวา
ชีวิตของวันใหม่เริ่มอีกครา
บนกาลเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผัน
ชีวิตต่างดิ้นรนหาทางรอดกัน
ในโลกปัจจุบันที่สับสนวุ่นวาย
เด็กน้อยต่างรีบตื่นแต่เช้าตรู่
ผู้ใหญ่ก็รับรู้เร่งรีบขมีขมัน
อาบน้ำแต่งตัวออกเดินไปพร้อมกัน
ชีวิตเริ่มต้นอีกวันที่วุ่นวาย
นี่หละหนอชีวิตมนุษย์สุดประเสริฐ์
ถือกำเนิดเกิดจากกรรมนำหนุน
วิริยะอุตสาห์พาจิตให้คิดกันวุ่น
ขอผลบุญนำส่งตรงสิ่งที่คิดด้วยจิตดี
พอบ่ายคล้อยแดดอ่อนชีวิตเหนื่อย
สายลมเฉื่อยต้องกายให้ห่วงหา
ใกล้พบค่ำหมดอีกวันแห่งแสงสุริยา
หยุดเวลาสับสนวุ่นวายในหนึ่งวัน
ตกราตรีท้องฟ้ามีจันทราสดใส
เดือนและดาวพร้อมหน้าฟากฟ้าไกล
ส่งแสงพราวราวส่งยิ้มแสนห่วงใย
ทุกชีวิตสุขอุราให้นิทราสุขารมณ์.
หลับเถิดหนอชีวิตวุ่นวาย
ขอเพียงมีไออุ่นแอบกายฉัน
โอบกอดด้วยสายใยรักผูกพัน
คืออ้อมอกอุ่นละมุนฝันฉันขอจากเธอ
หนึ่งคำแสนหวานที่เธอบอก
จะไม่ลวงไม่หลอกเจ้าจอมขวัญ
ขอแค่นี้ในอ้อมกอดมีให้กัน
หนึ่งคืนฝันในนิทราสุขารมณ์
หนึ่งคำรักขอฟังจากที่รัก
หนึ่งคำเฟ้อที่เธอมีให้ฉัน
หนึ่งคำเรียงร้อยถ้อยบอกกัน
หนึ่งคำรำพันฉันรักเธอเสมอนิรันดร์
รักเธอนะแม่เพื่อนรัก.......ยายฟ้าสีโครมคราม
แม่หวานใจของแก้วนีดา.....แม่ดอกฟ้าของใจ
แก้วนีดาแสนห่วงใย.....นำรักมากมายมามอบให้กับเธอ
ฟ้าสีคราม........ดูแลสุขภาพนะจ๊ะที่รัก.
สุดท้ายคิดถึงพี่ชายที่แสนดี..............
10 มิถุนายน 2548 11:07 น.
แก้วนีดา
ร า ต รี นี้ เ พ้ อ ห า
ทิวานี้ตลอดราตรีมิมีดาว
เคยทอแสงระยิบพราว
เต็มท้องฟ้าดาราราย
คืนนี้เศร้าขาดดาวและเดือน
เสียงหริ่งเรไรทำให้คิดทวน
ชีวิตครั้งเก่าอดีตมิหวน
ดังสายน้ำมิเคยไหลทวน
เช่นเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไป
ก่อนเคยสนุกลุกเล่นวิ่งไล่
เด็กน้อยมิเคยคิดถึงสิ่งใด
ดวงจิตผ่องใสมิต้องห่วงใย
ครุ่นคิดวุ้ยวายสิ่งใดไหนเลย
ครั้นพอเจ้าเติบโตพบสิ่งใหม่
จากโลกที่เคยสดใสสีชมพู
เด็กน้อยเริ่มรู้เขียนอ่านจากครู
ชีวิตใช่หรูต้องต่อสู้ดิ้นรน
กาลผ่านล่วงจนเจ้าเติบใหญ่
มีสิ่งใหม่หมุนเวียนเปลี่ยนเข้ามา
ผู้คนมากหน้าต่างจิตมิตรคบหา
สนุกเฮฮาตามประสาวัยเรียน
ครั้นเป็นผู้ใหญ่ชีวิตก็เปลี่ยน
การงานต้องมีหน้าที่ต้องทำ
ชีวิตระกำดิ้นรนแต่เช้ายันค่ำ
ทำงานหน้าดำให้ได้เงินเดือน
เวลามินานจากวันเป็นเดือน
ชีวิตลอยเลื่อนความเหงาเข้าหา
จากที่เคยสุขลุกนั่งเฮฮา
กลับเปลี่ยวกายาฝันหาดวงใจ
จะมีใครหนอเดินผ่านเข้ามา
ให้เจ้าค้นหาอุราหวั่นไหว
จากดวงจิตทีมิคิดถึงใคร
กลับเป็นรักใคร่ห่วงใยเขาจัง
ค่ำคืนนี้เขาคิดถึงเราไหม
หรือว่าไม่เขามิเคยคิดถึงใคร
เฝ้าถามฟ้าบอกผ่านสายลมไหว
หนึ่งคำ รัก มีให้จะรับไว้ไหมเธอ
ราตรีนี้ท้องฟ้าเงียบเหงา
ขาดดาวเป็นเพื่อนเช่นเคย
ใครคนนั้นจะรู้ไหมเอ่ย
แก้วนีดาส่งใจไปหาตลอดราตรี.
คิดถึงจึงออกมานั่งมองท้องฟ้า
ในราตรีที่ผ่านมา....แต่ท้องฟ้ากลับไม่มีเพื่อนยา
เจ้าดวงดาราแม้แต่ดวงจันทรา....ต่างพากันหายไป
เช่นดังเธอ....คนไกลตา...จะรู้ไหมว่า...แก้วนีดา...มานั่งคอยเธอ
ณ ตรงที่เก่า....เพื่อเฝ้ามองจันทรา....แต่แล้วเธอกลับไม่มา
ปล่อยให้เราต้องเหว่าหว้าเหงาเศร้าเดียวดาย...ณ ตรงที่เดิม.