11 มกราคม 2550 21:31 น.
แก้วกาญจนา
ซาซากุสาวเท้าก้าวเดินฉับ ๆ ออกมาอย่างรีบร้อน ดั่งเท้าสัมผัสพื้นนั้นร้อนรนยิ่งกว่าไฟ หากในใจเขาคิดยาวไกลกว่านี้ เขาจะอยู่ในปราสาทเซอราตาพินต่อไปไม่ได้แล้ว
กว่าสติจะอยู่กับตัวก็เมื่อพาร่างตัวเองเดินมาถึงประตูปราสาทชั้นนอก มีทหารในชุดเครื่องแบบสีฟ้าบ่งบอกถึงความเป็นนักรบชาวการาลาซยืนเฝ้าประตูอยู่เพียงลำพัง
ซาซากุคิดจะเดินผ่านนายทหารไปให้เงียบที่สุด แต่ทันทีที่ก้าวพ้นประตูปราสาทไปนั้น นายทหารที่ยืนนิ่ง ๆ เหมือนไม่สนใจก็เอ่ยทักขึ้นว่า
อ้าว ท่านซาซากุ เขาหันไปตามเสียงเรียก จะไปไหนเสียล่ะ
ซาซากุนิ่งเงียบเฉย ปล่อยให้คนทักพูดต่อไป
เราชนะแล้ว หรือว่าท่านยังไม่รู้ ตอนนี้ทุกคนกำลังจัดงานเลี้ยงฉลองอยู่ในห้องโถงข้างใน พูดแล้วข้าอยากจะเสนอหน้าเข้าไปบ้างจังเลย แต่ดันมีหน้าที่ต้องเฝ้าประตูหน้าอีก ท่านมีโอกาสน่าจะเข้าไปร่วมงานนะ ไม่น่าออกมาเลย บอกตามตรงข้าเสียดายแทน
คนเล่าถือโอกาสร่ายยาวเรื่อยเปื่อย หากซาซากุไม่ได้สนใจฟังเลยแม้แต่น้อย กำลังครุ่นคิดหาทางปฏิเสธอย่างนุ่มนวลที่สุด สำหรับการออกไปจากปราสาทอย่างไม่มีหวนคืนมา คำไหนคงไม่ดีเท่ากับ.
ข้าขอโทษด้วย กับสิ่งที่ผ่านมา
เขาเอ่ยคำนี้ออกไป ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจดี ยังไงนายทหารผู้นี้ต้องไม่เข้าในความหมายของเขาแน่ แต่มันสายเสียแล้ว เขาต้องไปให้ทันกาลก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้ไป เขารีบเดินจากบริเวณหน้าประตูนั้นมา ระหว่างนั้นยังได้เสียงตะโกนอย่างงง ๆ ไล่หลังมาเป็นเสียงแห่งความทรงจำสั้น ๆ ก่อนเลือนหายไป
เฮ้ย อะไรกันเนี่ย
เขาเดินดุ่ม ๆ บนถนนลาดด้วยก้อนกรวดมาตลอดทาง จนถึงกรวดก้อนสุดท้ายบนทางเดิน ต่อไปเบื้องหน้าของเขาคือป่าไผ่ ในบรรยากาศสลัว ๆ ท่ามกลางแสงจันทร์สาดส่องลงมาพอให้เห็นทางเดิน
ซาซากุเดินมาหยุดอยู่ใกล้ต้นไผ่ต้นหนึ่ง ล้อมรอบไปด้วยกอไผ่เล็ก ๆ เตรียมงอกขึ้นเป็นต้นใหม่ในเวลาต่อมา บริเวณนี้ดูสว่างกว่าที่อื่น ๆ ใกล้ ๆ กัน เขาจึงหยุดยืนไม่กล้านั่งลงตรงกอไผ่ พลางคิดถึงแผนการของตัวเขาเองอย่างเงียบ ๆ
ภารกิจแรกของเขาเสร็จสิ้นลงแล้ว แต่ความเสียใจและผิดหวังยังคงฝังแน่นอยู่ในใจ ภาพลูกค้ารายแรกเดินทางมาพบเขาในสำนักงานผุดขึ้นในความคิดอีกครั้ง ภารกิจแรกในชีวิตของเขา ลอบสังหารกษัตริย์แอกาแมนแห่งราชวงค์เมลูเวท แลกกับค่าจ้างมูลค่าถึงสามพันเหรียญ เงินจำนวนมากที่เขาไม่มีโอกาสได้เห็นหรือสัมผัสมันมาก่อนเลย ค่าตอบแทนนี้เอง ทำให้เขามีแรงจูงใจในการปฏิบัติภารกิจนี้ให้ดีที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้
แต่แล้ว เมื่อวันนั้นมาถึง ทุกอย่างกลับไม่เป็นอย่างที่เขาคิด ภารกิจแรกจบลงอย่างไม่ราบรื่น กษัตริย์แห่งเมลูเวทตายจริง แต่ไม่ใช่ฝีมือเขา หากเป็นรีทแมน หัวหน้ากบฏฝ่ายการาลาซสังหารเป้าหมายต่อหน้าเขา ความหวังในเงินก้อนนั้นชักเลือนลาง เพราะความคิดบ้า ๆ ที่ว่าตัวเขาคนเดียวคงทำไม่ได้แน่ ถึงได้ยอมสวามิภักดิ์กับคนมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน และยอมให้มันช่วงชิงไป และตัวเขาล่ะ เขายอมอยู่เป็นพวกเดียวกัน แล้วต่อมาก็หลบหนีไปให้พ้นจากอำนาจมืดของเจ้ารีทแมนเสียที
ซาซากุถอนใจเฮือก แค่งานแรกก็ไม่สำเร็จแล้ว ในใจของเขาตอนนี้คิดอยู่เรื่องเดียว จะบอกลูกค้าของเขาอย่างไรดีถึงจะรักษาเงินก้อนนั้นไว้ได้
เวลาประมาณเก้าโมงเช้าจนถึงสิบเอ็ดโมง ลูกค้าจะรอพบเขาอยู่ที่โรงแรมในเมืองแดรป ใจจริงแล้วซาซากุก็ไม่อยากไปที่นั่นนักหรอก หากเขาฝืนใจ ทำทุกอย่างก็เพื่อเงินสามพันเหรียญค่าจ้างของเขาเอง
ตลอดระยะทางท่ามกลางแสงสลัว ๆ ในป่าไผ่นั้น ความในใจของซาซากุยังคงล่องลอยอยู่ไหนสักแห่ง ทิ้งร่างเดินไปตามทางเดินที่เต็มไปด้วยหญ้าต้นเล็ก ๆไปจนถึงดอกหญ้าสูงท่วมเอว สองขาก็ยังคงก้าวเดินแหวกกอหญ้าต่อไป ไม่รู้สึกเจ็บ ๆ คัน ๆ จากใบหญ้าเหล่านั้น
แต่บางครั้งสติก็ถูกดึงกลับเข้าร่างวูบ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับปีศาจเจลหลากสีสัน อย่างที่เขาเคยเห็นตอนเริ่มหัดเดินเตาะแตะ นานแล้วแต่ก็ยังจำได้ดี มันมีทั้งตัวสีเขียว สีแดง สีฟ้า สีเหลือง หลาย ๆ ตัวยืดหยุ่นอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนั้น
เขาลืมตาขึ้นมองมันอีกครั้ง ปีศาจเจลตัวนี้เป็นสีฟ้า ไม่ยากถ้าจะฆ่ามันนั้นง่ายนิดเดียว เขาสงบจิตใจไล่ความฟุ้งซ่าน ชักดาบซามูไรออกมาจากฝัก ตั้งท่ายกดาบฟันกลางลำตัวปีศาจเจลเลือดสีฟ้ากระฉูดในพริบตา
ไปตายซะไอ้พวกปีศาจ รำคาญ
ซาซากุสบถออกมาอย่างเหลืออด เขาฆ่าปีศาจเจลเป็นตัวที่สิบแล้ว โชคดีเหลือเกินที่ใกล้ตัวเขามีป้ายบอกทาง แผ่นไม้สลักลูกศรชี้ตรงไป อีกแผ่นชี้ย้อนหลัง ข้างหน้าเป็นทางไปเจ็นแรน ส่วนเบื้องหลังเป็นปราสาทเซอราตาพินที่เขาสู้อุตส่าห์หลบหนีออกมาและรอดพ้นอย่างหวุดหวิด
ผ่านมาหนึ่งชั่วโมงนั้น เขาเกือบเดินหลงไปถนนจีบาซู ด้วยสติที่ล่องลอยหนีหายเกือบทำให้เขาต้องเดินทางกลับไปรับโทษที่ประเทศเมลูเวทเสียแล้ว เส้นทางต่อไปข้างหน้าจะไม่มีการหลงทางเข้าดินแดนต้องห้ามอีกแน่นอน
เมื่อเข้ามาถึงเขตเจ็นแรน ป่าไผ่เริ่มลดจำนวนลง กลายเป็นต้นไม้ชนิดอื่นขึ้นแซมระหว่างต้นไผ่ตลอดสองข้างทาง ในที่สุดก็ออกจากป่าไผ่และมุ่งหน้าเข้าสู่ป่าสนสัญลักษณ์ของเขตเจ็นแรนในเวลาตีหนึ่งสิบห้านาที เริ่มต้นวันใหม่ได้หนึ่งชั่วโมงกว่า ๆ
มีต้นสนฉัตรสูงใหญ่ขึ้นขวางทางเดิน เขาต้องเบี่ยงกายเดินตามทางแคบ ๆ ระหว่างต้นสนต้นอื่น ๆ กับลำต้นขนาดเท่าคนสี่คนโอบล้อมได้พอดีออกมาอย่างทุลักทุเล เขารีบเดินต่อไปโดยไม่ทันสังเกตทาง จนสะดุดกับของแข็งบางอย่างคล้ายท่อนไม้บนทางเดิน
โอ๊ย เสียงร้องดังขึ้นพร้อมกัน เสียงหนึ่งนั้นเป็นเสียงซาซากุ อีกเสียงหนึ่งนั้นแหลมเล็กคล้ายเสียงร้องของผู้หญิง
ซาซากุกวาดสายตามองไปรอบ ๆ หาเจ้าของเสียงไม่พบ เขาหันหน้ากลับมาที่เดิน เผลอเหลือบมองลงล่าง เห็นเจ้าของเสียงนอนอยู่แทบเท้าเขาอย่างอ่อนแรง
ไม่ต้องหันไปหรอก ข้าเองแหละ
เจ้าของเสียงเป็นหญิงสาวตัวเล็ก ๆ หูแหลมยาวเหมือนเทพธิดาที่เขาเคยเห็นที่ไหนมาก่อน หรือว่านางเป็นชาวบ้านจากหมู่บ้านเจ็นแรนใกล้ ๆ นี่เอง
ไม่ทันที่ซาซากุจะถามชื่อของหญิงสาวแปลกหน้า แม่นางก็พลันบอกลาหนีหายไปดื้อ ๆ
ท่าทางนางรีบร้อนจังนะ
เขาเก็บความสงสัยไว้ในใจ รอไปหาตัวแม่นางคนนั้นในหมู่บ้านเจ็นแรน เขายืนอยู่ห่างจากจุดนั้นเพียงสองเมตร แต่เมื่อเดินเข้าไปถึง หมู่บ้านเจ็นแรนก็อันตรธานหายไป เหลือเพียงสนามหญ้าอดีตที่ตั้งของกระท่อมอันเป็นจุดศูนย์กลางของหมู่บ้าน ล้อมรอบไปด้วยต้นสนใบเล็ก ๆ ที่ร่วงหล่นลงมา
ซาซากุไม่สนใจแล้ว เงินสามพันเหรียญรอเขาอยู่ข้างหน้า เรื่องเล็กน้อยของแม่นางเทพธิดาในเจ็นแรนแค่นี้ ไม่มีความสำคัญเท่ากับเงินก้อนโตหรอก
เขาเดินไปถึงไหนไม่รู้ หูทั้งสองเกิดได้ยินเสียงขู่คำรามของสัตว์บางอย่าง มันดังจนปลุกเขาจากการวาดฝันใหญ่โต เขานึกเสียดาย แอบสบถด่าเจ้าบ้านั่นอยู่ในใจ
ใครมันบังอาจทำลายฝันของข้า
ระหว่างการวาดฝันอย่างมีความสุข ซาซากุนั้นเผลอหลับตาไปอย่างลืมตัว เมื่อลืมตาขึ้นโพลง ตอนนี้ตนเองกำลังยืนอยู่บนสนามหญ้า เบื้องหน้ามีต้นปาล์มใบใหญ่สีเขียว เมื่อใบกระทบกับแสงจันทร์ส่องลงมาเป็นมันระยับ แต่ใบสีเขียวที่ว่ากำลังจะถูกทำลายลงด้วยฝีมือของมังกรสีเขียวตัวร้าย เจ้าของเสียงขู่คำรามที่เขาได้ยินในตอนแรก
ตายซะเถอะ ไอ้มังกรงี่เง่า เขาถือดาบไว้ในมือตลอดเวลา ค่อย ๆ ยกดาบขึ้นสูงเหนือหัวเดินเข้าไปหายเจ้าตัวร้ายอย่างไม่กลัวตาย
มังกรสีเขียวตัวนั้นมันไม่โง่อย่างที่ซาซากุคิด มันเหลือบมองมาทางเขาเล็กน้อย ก่อนหันกลับไปหาต้นปาล์ม อ้าปากพ่นไฟออกมา ทันทีที่เปลวไฟพุ่งออกมาสัมผัสใบ ไฟลุกไหม้ลามไปทั่วต้น แสงไฟของมันวูบวาบราวกับต้นไม้เพลิง กลิ่นใบไม้ไหม้ไฟลอยเข้าจมูกจนเผลอจามออกมา ชั่วพริบตาเดียวต้นไม้ผู้น่าสงสารที่เหลือแต่กิ่งก้านแห้ง ๆ สีน้ำตาลไหม้ ทิ้งซากใบเหลือแต่ขี้เถ้ากองอยู่ใต้ต้นของมันอย่างหดหู่
ต้นปาล์มก็ตายไปแล้ว แต่ข้าจะไม่ยอมให้มังกรสัตว์ชั้นต่ำมาฆ่าตัวข้าได้หรอกเว้ย
การต่อสู้ระหว่างคนกับสัตว์ชั้นต่ำในความคิดของซาซากุก็เริ่มขึ้น และมันก็จบลงอย่างง่ายดายที่มังกรต้องเป็นผ่ายพ่ายแพ้ ทิ้งซาซากุนั่งลงอย่างหมดแรงที่ใต้ต้นปาล์มสีน้ำตาลแก่ตายสนิท
ใครฆ่าต้นไม้ของข้า
เสียงคุ้นหูดังขึ้น ปลุกซาซากุที่เผลอนอนหลับใต้ต้นไปนานเท่าไรไม่รู้ เขาล้วงนาฬิกาพกออกมาจากเสื้อนอก ขณะนี้เวลาตีสองเศษ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียง เขาตาสว่างทันทีเมื่อเห็นว่าเป็นใคร
แม่นางที่เขาเห็นใต้ต้นสนฉัตรไม่นานมานี้เอง..
อะไรหรือแม่นาง เขาถามอย่างงุนงง
แม่นางหูแหลมยาวตะเบ็งเสียงใส่
หรือว่าเจ้าเป็นคนทำร้ายต้นปาล์มสีเขียวของข้า
ซาซากุสั่นหัว สีหน้าตื่นตระหนก อยู่ดี ๆ ก็มีคนโยนความผิดให้เขา
เปล่านะแม่นาง ข้าไม่ได้ทำ
นางได้แต่ส่ายหน้าช้า ๆ
จะอะไรก็เถอะ ยังไงข้าก็ระแวงมนุษย์อยู่ดี พวกเจ้ามันไม่เคยรักษาธรรมชาติ หรือแม้กระทั่งเคารพเจ้าแม่ไจล่าเลย
ซาซากุไม่เคยได้ยินเรื่องของเจ้าแม่ไจล่าผู้นี้มาก่อนเลย
เจ้าแม่ไจล่า ข้าไม่เคยรู้มาก่อน เขายอมรับตรง ๆ ไม่อ้อมค้อม
เจ้านี่ไม่รู้อะไรเลย ข้าชื่อโคคุ มาจากหมู่บ้านเจ็นแรน พวกเราจะนับถือเจ้าแม่ไจล่า เป็นเจ้าแห่งธรรมชาติ เมื่อเจ้าฆ่าต้นไม้ก็เท่ากับฆ่านาง รู้บ้างไหม
ซาซากุฟังเหมือนตั้งใจ หากแอบส่ายหน้าอย่างเอือมระอาเต็มทน เบื่อที่จะต้องฟังการสาธยายในสิ่งที่เขาไม่ได้ก่อขึ้นเลยแม้แต่น้อย
พอ พอเถอะแม่นางโคคุ ซาซากุยกมือร้องห้ามไม่ให้พูดต่อไป ข้ารู้ว่าตัวเองมันเลวบัดซบ แต่ขอให้แม่นางฟังข้าเสียหน่อย ข้าไม่ได้ฆ่าฆ่าต้นปาล์มของเจ้าแม่ไจล่าเลยนะ
ของข้าหรอกเจ้ามนุษย์น้อย นางสวนขึ้นทันควัน เจ้าแม่ไจล่าท่านเป็นผู้ดูแลรักษาเฉย ๆ
ซาซากุเล่าเหตุการณ์น่าหดหู่เมื่อครู่ให้แม่นางโคคุฟังโดยตลอด นางพยักหน้าเนือย ๆ เป็นบางครั้งอย่างยอมรับและเชื่อเขาในที่สุด
ข้าเชื่อแล้ว ว่าแต่เจ้าจะไปไหน
ซาซากุยิ้มน้อย ๆ ด้วยความสบายใจขึ้นมามากกว่าที่ผ่านมา
เมืองแดรป เขาตอบสั้น ๆ ไม่อยากให้ใครรู้มากนัก
สีหน้าของแม่นางดูคลายความกังวลลง ปรากฏรอยยิ้มพราวบนใบหน้าแทน
เจ้าชื่ออะไรหรือ
เงียบ.ไม่มีคำตอบจากซาซากุ
ไม่เป็นไร เจ้าไม่อยากเปิดเผยตัวให้ใครรู้ก็ตามใจเจ้า แม่นางหยั่งลึกลงไปเหมือนรู้ทันในความคิดของเขา
เจ้าคงเหนื่อยมากละสิ ให้ข้าฟื้นพลังให้เจ้าไหมล่ะ
ซาซากุพยักหน้า สักพักเขาก็รู้สึกสดชื่น หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง
ข้ารู้สึกดีจริง ๆ เมื่อได้คุยกับเจ้า ข้าคงต้องไปเสียแล้วล่ะ
ซาซากุถือโอกาสนี้บอกลา เขาไม่มีความรู้สึกกับแม่นางโคคุอย่างนั้น ตรงข้ามเขาได้แต่คิดหาทางบอกลานางมากกว่า
งั้นข้าขอลาเช่นกัน
ซาซากุเดินแยกออกมาโดยไม่รอฟังคำอำลาของแม่นางโคคุให้เสียเวลา หากเสียงแหลมเล็กของนางดังกระทบใบหูทั้งสองข้างอย่างชัดเจน
ข้าจะไปหาเจ้าอีก