11 มกราคม 2550 21:31 น.
แก้วกาญจนา
ซาซากุสาวเท้าก้าวเดินฉับ ๆ ออกมาอย่างรีบร้อน ดั่งเท้าสัมผัสพื้นนั้นร้อนรนยิ่งกว่าไฟ หากในใจเขาคิดยาวไกลกว่านี้ เขาจะอยู่ในปราสาทเซอราตาพินต่อไปไม่ได้แล้ว
กว่าสติจะอยู่กับตัวก็เมื่อพาร่างตัวเองเดินมาถึงประตูปราสาทชั้นนอก มีทหารในชุดเครื่องแบบสีฟ้าบ่งบอกถึงความเป็นนักรบชาวการาลาซยืนเฝ้าประตูอยู่เพียงลำพัง
ซาซากุคิดจะเดินผ่านนายทหารไปให้เงียบที่สุด แต่ทันทีที่ก้าวพ้นประตูปราสาทไปนั้น นายทหารที่ยืนนิ่ง ๆ เหมือนไม่สนใจก็เอ่ยทักขึ้นว่า
อ้าว ท่านซาซากุ เขาหันไปตามเสียงเรียก จะไปไหนเสียล่ะ
ซาซากุนิ่งเงียบเฉย ปล่อยให้คนทักพูดต่อไป
เราชนะแล้ว หรือว่าท่านยังไม่รู้ ตอนนี้ทุกคนกำลังจัดงานเลี้ยงฉลองอยู่ในห้องโถงข้างใน พูดแล้วข้าอยากจะเสนอหน้าเข้าไปบ้างจังเลย แต่ดันมีหน้าที่ต้องเฝ้าประตูหน้าอีก ท่านมีโอกาสน่าจะเข้าไปร่วมงานนะ ไม่น่าออกมาเลย บอกตามตรงข้าเสียดายแทน
คนเล่าถือโอกาสร่ายยาวเรื่อยเปื่อย หากซาซากุไม่ได้สนใจฟังเลยแม้แต่น้อย กำลังครุ่นคิดหาทางปฏิเสธอย่างนุ่มนวลที่สุด สำหรับการออกไปจากปราสาทอย่างไม่มีหวนคืนมา คำไหนคงไม่ดีเท่ากับ.
ข้าขอโทษด้วย กับสิ่งที่ผ่านมา
เขาเอ่ยคำนี้ออกไป ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจดี ยังไงนายทหารผู้นี้ต้องไม่เข้าในความหมายของเขาแน่ แต่มันสายเสียแล้ว เขาต้องไปให้ทันกาลก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้ไป เขารีบเดินจากบริเวณหน้าประตูนั้นมา ระหว่างนั้นยังได้เสียงตะโกนอย่างงง ๆ ไล่หลังมาเป็นเสียงแห่งความทรงจำสั้น ๆ ก่อนเลือนหายไป
เฮ้ย อะไรกันเนี่ย
เขาเดินดุ่ม ๆ บนถนนลาดด้วยก้อนกรวดมาตลอดทาง จนถึงกรวดก้อนสุดท้ายบนทางเดิน ต่อไปเบื้องหน้าของเขาคือป่าไผ่ ในบรรยากาศสลัว ๆ ท่ามกลางแสงจันทร์สาดส่องลงมาพอให้เห็นทางเดิน
ซาซากุเดินมาหยุดอยู่ใกล้ต้นไผ่ต้นหนึ่ง ล้อมรอบไปด้วยกอไผ่เล็ก ๆ เตรียมงอกขึ้นเป็นต้นใหม่ในเวลาต่อมา บริเวณนี้ดูสว่างกว่าที่อื่น ๆ ใกล้ ๆ กัน เขาจึงหยุดยืนไม่กล้านั่งลงตรงกอไผ่ พลางคิดถึงแผนการของตัวเขาเองอย่างเงียบ ๆ
ภารกิจแรกของเขาเสร็จสิ้นลงแล้ว แต่ความเสียใจและผิดหวังยังคงฝังแน่นอยู่ในใจ ภาพลูกค้ารายแรกเดินทางมาพบเขาในสำนักงานผุดขึ้นในความคิดอีกครั้ง ภารกิจแรกในชีวิตของเขา ลอบสังหารกษัตริย์แอกาแมนแห่งราชวงค์เมลูเวท แลกกับค่าจ้างมูลค่าถึงสามพันเหรียญ เงินจำนวนมากที่เขาไม่มีโอกาสได้เห็นหรือสัมผัสมันมาก่อนเลย ค่าตอบแทนนี้เอง ทำให้เขามีแรงจูงใจในการปฏิบัติภารกิจนี้ให้ดีที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้
แต่แล้ว เมื่อวันนั้นมาถึง ทุกอย่างกลับไม่เป็นอย่างที่เขาคิด ภารกิจแรกจบลงอย่างไม่ราบรื่น กษัตริย์แห่งเมลูเวทตายจริง แต่ไม่ใช่ฝีมือเขา หากเป็นรีทแมน หัวหน้ากบฏฝ่ายการาลาซสังหารเป้าหมายต่อหน้าเขา ความหวังในเงินก้อนนั้นชักเลือนลาง เพราะความคิดบ้า ๆ ที่ว่าตัวเขาคนเดียวคงทำไม่ได้แน่ ถึงได้ยอมสวามิภักดิ์กับคนมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน และยอมให้มันช่วงชิงไป และตัวเขาล่ะ เขายอมอยู่เป็นพวกเดียวกัน แล้วต่อมาก็หลบหนีไปให้พ้นจากอำนาจมืดของเจ้ารีทแมนเสียที
ซาซากุถอนใจเฮือก แค่งานแรกก็ไม่สำเร็จแล้ว ในใจของเขาตอนนี้คิดอยู่เรื่องเดียว จะบอกลูกค้าของเขาอย่างไรดีถึงจะรักษาเงินก้อนนั้นไว้ได้
เวลาประมาณเก้าโมงเช้าจนถึงสิบเอ็ดโมง ลูกค้าจะรอพบเขาอยู่ที่โรงแรมในเมืองแดรป ใจจริงแล้วซาซากุก็ไม่อยากไปที่นั่นนักหรอก หากเขาฝืนใจ ทำทุกอย่างก็เพื่อเงินสามพันเหรียญค่าจ้างของเขาเอง
ตลอดระยะทางท่ามกลางแสงสลัว ๆ ในป่าไผ่นั้น ความในใจของซาซากุยังคงล่องลอยอยู่ไหนสักแห่ง ทิ้งร่างเดินไปตามทางเดินที่เต็มไปด้วยหญ้าต้นเล็ก ๆไปจนถึงดอกหญ้าสูงท่วมเอว สองขาก็ยังคงก้าวเดินแหวกกอหญ้าต่อไป ไม่รู้สึกเจ็บ ๆ คัน ๆ จากใบหญ้าเหล่านั้น
แต่บางครั้งสติก็ถูกดึงกลับเข้าร่างวูบ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับปีศาจเจลหลากสีสัน อย่างที่เขาเคยเห็นตอนเริ่มหัดเดินเตาะแตะ นานแล้วแต่ก็ยังจำได้ดี มันมีทั้งตัวสีเขียว สีแดง สีฟ้า สีเหลือง หลาย ๆ ตัวยืดหยุ่นอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนั้น
เขาลืมตาขึ้นมองมันอีกครั้ง ปีศาจเจลตัวนี้เป็นสีฟ้า ไม่ยากถ้าจะฆ่ามันนั้นง่ายนิดเดียว เขาสงบจิตใจไล่ความฟุ้งซ่าน ชักดาบซามูไรออกมาจากฝัก ตั้งท่ายกดาบฟันกลางลำตัวปีศาจเจลเลือดสีฟ้ากระฉูดในพริบตา
ไปตายซะไอ้พวกปีศาจ รำคาญ
ซาซากุสบถออกมาอย่างเหลืออด เขาฆ่าปีศาจเจลเป็นตัวที่สิบแล้ว โชคดีเหลือเกินที่ใกล้ตัวเขามีป้ายบอกทาง แผ่นไม้สลักลูกศรชี้ตรงไป อีกแผ่นชี้ย้อนหลัง ข้างหน้าเป็นทางไปเจ็นแรน ส่วนเบื้องหลังเป็นปราสาทเซอราตาพินที่เขาสู้อุตส่าห์หลบหนีออกมาและรอดพ้นอย่างหวุดหวิด
ผ่านมาหนึ่งชั่วโมงนั้น เขาเกือบเดินหลงไปถนนจีบาซู ด้วยสติที่ล่องลอยหนีหายเกือบทำให้เขาต้องเดินทางกลับไปรับโทษที่ประเทศเมลูเวทเสียแล้ว เส้นทางต่อไปข้างหน้าจะไม่มีการหลงทางเข้าดินแดนต้องห้ามอีกแน่นอน
เมื่อเข้ามาถึงเขตเจ็นแรน ป่าไผ่เริ่มลดจำนวนลง กลายเป็นต้นไม้ชนิดอื่นขึ้นแซมระหว่างต้นไผ่ตลอดสองข้างทาง ในที่สุดก็ออกจากป่าไผ่และมุ่งหน้าเข้าสู่ป่าสนสัญลักษณ์ของเขตเจ็นแรนในเวลาตีหนึ่งสิบห้านาที เริ่มต้นวันใหม่ได้หนึ่งชั่วโมงกว่า ๆ
มีต้นสนฉัตรสูงใหญ่ขึ้นขวางทางเดิน เขาต้องเบี่ยงกายเดินตามทางแคบ ๆ ระหว่างต้นสนต้นอื่น ๆ กับลำต้นขนาดเท่าคนสี่คนโอบล้อมได้พอดีออกมาอย่างทุลักทุเล เขารีบเดินต่อไปโดยไม่ทันสังเกตทาง จนสะดุดกับของแข็งบางอย่างคล้ายท่อนไม้บนทางเดิน
โอ๊ย เสียงร้องดังขึ้นพร้อมกัน เสียงหนึ่งนั้นเป็นเสียงซาซากุ อีกเสียงหนึ่งนั้นแหลมเล็กคล้ายเสียงร้องของผู้หญิง
ซาซากุกวาดสายตามองไปรอบ ๆ หาเจ้าของเสียงไม่พบ เขาหันหน้ากลับมาที่เดิน เผลอเหลือบมองลงล่าง เห็นเจ้าของเสียงนอนอยู่แทบเท้าเขาอย่างอ่อนแรง
ไม่ต้องหันไปหรอก ข้าเองแหละ
เจ้าของเสียงเป็นหญิงสาวตัวเล็ก ๆ หูแหลมยาวเหมือนเทพธิดาที่เขาเคยเห็นที่ไหนมาก่อน หรือว่านางเป็นชาวบ้านจากหมู่บ้านเจ็นแรนใกล้ ๆ นี่เอง
ไม่ทันที่ซาซากุจะถามชื่อของหญิงสาวแปลกหน้า แม่นางก็พลันบอกลาหนีหายไปดื้อ ๆ
ท่าทางนางรีบร้อนจังนะ
เขาเก็บความสงสัยไว้ในใจ รอไปหาตัวแม่นางคนนั้นในหมู่บ้านเจ็นแรน เขายืนอยู่ห่างจากจุดนั้นเพียงสองเมตร แต่เมื่อเดินเข้าไปถึง หมู่บ้านเจ็นแรนก็อันตรธานหายไป เหลือเพียงสนามหญ้าอดีตที่ตั้งของกระท่อมอันเป็นจุดศูนย์กลางของหมู่บ้าน ล้อมรอบไปด้วยต้นสนใบเล็ก ๆ ที่ร่วงหล่นลงมา
ซาซากุไม่สนใจแล้ว เงินสามพันเหรียญรอเขาอยู่ข้างหน้า เรื่องเล็กน้อยของแม่นางเทพธิดาในเจ็นแรนแค่นี้ ไม่มีความสำคัญเท่ากับเงินก้อนโตหรอก
เขาเดินไปถึงไหนไม่รู้ หูทั้งสองเกิดได้ยินเสียงขู่คำรามของสัตว์บางอย่าง มันดังจนปลุกเขาจากการวาดฝันใหญ่โต เขานึกเสียดาย แอบสบถด่าเจ้าบ้านั่นอยู่ในใจ
ใครมันบังอาจทำลายฝันของข้า
ระหว่างการวาดฝันอย่างมีความสุข ซาซากุนั้นเผลอหลับตาไปอย่างลืมตัว เมื่อลืมตาขึ้นโพลง ตอนนี้ตนเองกำลังยืนอยู่บนสนามหญ้า เบื้องหน้ามีต้นปาล์มใบใหญ่สีเขียว เมื่อใบกระทบกับแสงจันทร์ส่องลงมาเป็นมันระยับ แต่ใบสีเขียวที่ว่ากำลังจะถูกทำลายลงด้วยฝีมือของมังกรสีเขียวตัวร้าย เจ้าของเสียงขู่คำรามที่เขาได้ยินในตอนแรก
ตายซะเถอะ ไอ้มังกรงี่เง่า เขาถือดาบไว้ในมือตลอดเวลา ค่อย ๆ ยกดาบขึ้นสูงเหนือหัวเดินเข้าไปหายเจ้าตัวร้ายอย่างไม่กลัวตาย
มังกรสีเขียวตัวนั้นมันไม่โง่อย่างที่ซาซากุคิด มันเหลือบมองมาทางเขาเล็กน้อย ก่อนหันกลับไปหาต้นปาล์ม อ้าปากพ่นไฟออกมา ทันทีที่เปลวไฟพุ่งออกมาสัมผัสใบ ไฟลุกไหม้ลามไปทั่วต้น แสงไฟของมันวูบวาบราวกับต้นไม้เพลิง กลิ่นใบไม้ไหม้ไฟลอยเข้าจมูกจนเผลอจามออกมา ชั่วพริบตาเดียวต้นไม้ผู้น่าสงสารที่เหลือแต่กิ่งก้านแห้ง ๆ สีน้ำตาลไหม้ ทิ้งซากใบเหลือแต่ขี้เถ้ากองอยู่ใต้ต้นของมันอย่างหดหู่
ต้นปาล์มก็ตายไปแล้ว แต่ข้าจะไม่ยอมให้มังกรสัตว์ชั้นต่ำมาฆ่าตัวข้าได้หรอกเว้ย
การต่อสู้ระหว่างคนกับสัตว์ชั้นต่ำในความคิดของซาซากุก็เริ่มขึ้น และมันก็จบลงอย่างง่ายดายที่มังกรต้องเป็นผ่ายพ่ายแพ้ ทิ้งซาซากุนั่งลงอย่างหมดแรงที่ใต้ต้นปาล์มสีน้ำตาลแก่ตายสนิท
ใครฆ่าต้นไม้ของข้า
เสียงคุ้นหูดังขึ้น ปลุกซาซากุที่เผลอนอนหลับใต้ต้นไปนานเท่าไรไม่รู้ เขาล้วงนาฬิกาพกออกมาจากเสื้อนอก ขณะนี้เวลาตีสองเศษ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียง เขาตาสว่างทันทีเมื่อเห็นว่าเป็นใคร
แม่นางที่เขาเห็นใต้ต้นสนฉัตรไม่นานมานี้เอง..
อะไรหรือแม่นาง เขาถามอย่างงุนงง
แม่นางหูแหลมยาวตะเบ็งเสียงใส่
หรือว่าเจ้าเป็นคนทำร้ายต้นปาล์มสีเขียวของข้า
ซาซากุสั่นหัว สีหน้าตื่นตระหนก อยู่ดี ๆ ก็มีคนโยนความผิดให้เขา
เปล่านะแม่นาง ข้าไม่ได้ทำ
นางได้แต่ส่ายหน้าช้า ๆ
จะอะไรก็เถอะ ยังไงข้าก็ระแวงมนุษย์อยู่ดี พวกเจ้ามันไม่เคยรักษาธรรมชาติ หรือแม้กระทั่งเคารพเจ้าแม่ไจล่าเลย
ซาซากุไม่เคยได้ยินเรื่องของเจ้าแม่ไจล่าผู้นี้มาก่อนเลย
เจ้าแม่ไจล่า ข้าไม่เคยรู้มาก่อน เขายอมรับตรง ๆ ไม่อ้อมค้อม
เจ้านี่ไม่รู้อะไรเลย ข้าชื่อโคคุ มาจากหมู่บ้านเจ็นแรน พวกเราจะนับถือเจ้าแม่ไจล่า เป็นเจ้าแห่งธรรมชาติ เมื่อเจ้าฆ่าต้นไม้ก็เท่ากับฆ่านาง รู้บ้างไหม
ซาซากุฟังเหมือนตั้งใจ หากแอบส่ายหน้าอย่างเอือมระอาเต็มทน เบื่อที่จะต้องฟังการสาธยายในสิ่งที่เขาไม่ได้ก่อขึ้นเลยแม้แต่น้อย
พอ พอเถอะแม่นางโคคุ ซาซากุยกมือร้องห้ามไม่ให้พูดต่อไป ข้ารู้ว่าตัวเองมันเลวบัดซบ แต่ขอให้แม่นางฟังข้าเสียหน่อย ข้าไม่ได้ฆ่าฆ่าต้นปาล์มของเจ้าแม่ไจล่าเลยนะ
ของข้าหรอกเจ้ามนุษย์น้อย นางสวนขึ้นทันควัน เจ้าแม่ไจล่าท่านเป็นผู้ดูแลรักษาเฉย ๆ
ซาซากุเล่าเหตุการณ์น่าหดหู่เมื่อครู่ให้แม่นางโคคุฟังโดยตลอด นางพยักหน้าเนือย ๆ เป็นบางครั้งอย่างยอมรับและเชื่อเขาในที่สุด
ข้าเชื่อแล้ว ว่าแต่เจ้าจะไปไหน
ซาซากุยิ้มน้อย ๆ ด้วยความสบายใจขึ้นมามากกว่าที่ผ่านมา
เมืองแดรป เขาตอบสั้น ๆ ไม่อยากให้ใครรู้มากนัก
สีหน้าของแม่นางดูคลายความกังวลลง ปรากฏรอยยิ้มพราวบนใบหน้าแทน
เจ้าชื่ออะไรหรือ
เงียบ.ไม่มีคำตอบจากซาซากุ
ไม่เป็นไร เจ้าไม่อยากเปิดเผยตัวให้ใครรู้ก็ตามใจเจ้า แม่นางหยั่งลึกลงไปเหมือนรู้ทันในความคิดของเขา
เจ้าคงเหนื่อยมากละสิ ให้ข้าฟื้นพลังให้เจ้าไหมล่ะ
ซาซากุพยักหน้า สักพักเขาก็รู้สึกสดชื่น หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง
ข้ารู้สึกดีจริง ๆ เมื่อได้คุยกับเจ้า ข้าคงต้องไปเสียแล้วล่ะ
ซาซากุถือโอกาสนี้บอกลา เขาไม่มีความรู้สึกกับแม่นางโคคุอย่างนั้น ตรงข้ามเขาได้แต่คิดหาทางบอกลานางมากกว่า
งั้นข้าขอลาเช่นกัน
ซาซากุเดินแยกออกมาโดยไม่รอฟังคำอำลาของแม่นางโคคุให้เสียเวลา หากเสียงแหลมเล็กของนางดังกระทบใบหูทั้งสองข้างอย่างชัดเจน
ข้าจะไปหาเจ้าอีก
29 พฤศจิกายน 2549 20:15 น.
แก้วกาญจนา
วันหนึ่ง... ข้าหวังที่จะกลับไป...
ลมเอื่อย ๆ พัดผ่านหมู่ไม้ ใบไผ่เรียวเล็กโบกพลิ้วไหวรับลม
ก่อนถึงคราวนั้น ข้าต้องเรียนรู้
เสียงทุ้มแฝงความเด็ดเดี่ยว มุ่งมั่น กล้าหาญของคนพูดดังผ่านสายลมนั้นไป
เพื่อความเศร้าภายในจิตใจของเรานั้น
น้ำเสียงอันเด็ดเดี่ยวมีพลังดุจลำไม้ไผ่นั้นยิ่งหนักแน่นขึ้นเรื่อย ๆ
คือตัวของเจ้าจากคำสาบานในความเงียบงัน
ทำไมข้ามีเจ้ากรรมนายเวรอะไรกันหรือ ถึงต้องลิขิตเส้นทางชีวิตอันเดียวดายให้ข้าอย่างนี้ ข้าเองก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เสียที
ซาซากุเฝ้าถามตนเองวันแล้ววันเล่า หากไม่มีคำตอบใด ๆ ที่น่าเชื่อถือ พอจะทำให้ชีวิตในวงล้อแห่งกรรมของเขาดีขึ้นได้
แต่ช่วงเวลาต่อมานั้น ข้าได้เรียนรู้ถึงการอยู่โดดเดี่ยว บัดนี้ ข้ามาอย่างนักดาบผู้เดียวดาย เป็นนักรบผู้มีเอกราชในตัว
หากชีวิตที่ผ่านมาเป็นเวลาถึงยี่สิบสามปีของซาซากุนั้น เขาเริ่มคิดถึงข้อดีข้อนั้นได้แล้ว อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องเป็นทาสของใคร
.เป็นนักรบที่ทุกคนจะไว้เนื้อเชื่อใจในที่สุด เพื่อชีวิตของพวกเขาเอง
25 พฤศจิกายน 2549 09:22 น.
แก้วกาญจนา
ในร้านขายกาแฟโบราณเก่า ๆ แห่งหนึ่งในซอยเล็ก ๆ ลึกเข้าไปจากถนนใหญ่ประมาณสองเมตรเห็นจะได้ ที่นี่เป็นศูนย์รวมของคนบ้าหวยทั้งบนดินและใต้ดินมาชุมนุมกันเป็นประจำทุกวันแรกและวันที่ 15 ของเดือนเป็นประจำ ไม่มีใครไม่ว่างในวันนี้ ต่อให้งานยุ่งขนาดไหนก็ต้องจัดการให้เสร็จก่อนถึงวันหวยออก ฟังดูน่าขำ แต่สำหรับคนบ้าหวยแล้วถือเป็นเรื่องใหญ่เลยทีเดียว
วันนี้คงฤกษ์ดี 1 มิถุนายน คนบ้าหวยจากทุกซอกมุมของซอยก็มารวมกลุ่มตามปกติ พากันไปนั่งเบียดเสียดชุมนุมกันอยู่ที่โต๊ะตัวใหญ่กลางร้านจนเก้าอี้แทบไม่พอนั่ง บางคนยังอุตส่าห์ไปยืนข้างวิทยุใส่ถ่านต้นเสียงที่ทุกคนเงี่ยหูตั้งใจฟังจนถูกออกปากไล่ให้ไปห่าง ๆ เพราะยืนบังจนแทบไม่ได้ยินเสียงอะไรออกมา และก็เป็นจริง เสียงในวิทยุค่อย ๆ ชัดขึ้นจนได้ยินชัดทั่วถึงกัน ทุกคนตั้งใจฟังอย่างใจจดจ่อ ในใจลุ้นแต่จะให้เสียงที่ได้ยินตรงกับตัวเลขของตนเองเท่านั้น
เลขท้ายสองตัว... เสียงผู้ประกาศรางวัลเงียบหายไปนานพักใหญ่ คนที่ยืนเริ่มกระสับกระส่ายด้วยความเมื่อย คนอื่น ๆ พาเข้าใจว่าวิทยุโนเนมเครื่องนี้เสียไปแล้ว แต่ไม่มีข้อสันนิษฐานใดถูก เสียงนั้นกลับมาอีกครั้งโดยไม่ขาดตอน เลขที่ออก สาม ห้า อีกครั้ง สาม ห้า จบประโยค เสียงไชโยของคนกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่หน้าโต๊ะไม้สำหรับชงกาแฟกับอาโกเจ้าของร้านดังขึ้นเหมือนดีใจสุด ๆ ตามมาด้วยเสียงถอนใจเฮือกใหญ่ของคนส่วนมากจากโต๊ะกลางอย่างไม่เกรงใจใคร
ชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ใกล้กับตู้แช่น้ำอัดลมบริการเสริมสำหรับคนเกลียดกาแฟ เขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น มือขวารีบยกกระป๋องน้ำอัดลมขึ้นซดอึกใหญ่ เขานั่งอยู่ใกล้วิทยุพอที่จะได้ยินว่าตัวเลขที่ประกาศเป็นเลขอะไร แล้วมันก็เหมือนเดิม
อีกแล้วโว้ย ไม่เคยถูกซักที มันเป็นอย่างนี้เหมือนเดิมมาหลายครั้งแล้ว หยิบสลากที่ซื้อมาเป็นตัวเลขเฉียดไปเพียงตัวเดียว สาม สี่ น่าเจ็บใจจริง ๆ ไอ้วันชัย ทำไมเอ็งมาซวยอย่างนี้
วันชัยเดินผ่านกลุ่มผู้หญิงเจ้าของเสียงไชโยเมื่อสักครู่ ได้ยินพวกเธอพูดคุยกันท่าทางดีใจสุด ๆ เดาออกว่าที่ผ่านมาพวกเธอไชโยออกไปเพราะอะไร
ใกล้ ๆ กัน เสียงอาโกเจ้าของร้านร้องถามลอยมากลบเสียงพูดคุยชั่วขณะหนึ่ง ไม่มีคำตอบใด ๆ หลุดจากปากเขาเลยแม้กระทั่งเสียงลมหายใจ เขาเดินออกไปอย่างไม่รับรู้อะไรรอบตัวเลย กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีก็นั่งอยู่ในรถแท็กซี่ของเขาซึ่งจอดไว้นอกซอย ด้วยเหตุที่ขับเข้าไปในซอยเล็กแห่งนี้ไม่ได้ นอกจากจักรยานที่พอจะปั่นเข้าไปในตรอกซอยแคบ ๆ ได้อยู่
เขาสูดลมหายใจลึก ๆ มือหมุนลูกกุญแจ ก่อนออกรถไปเพื่อเริ่มงานช่วงบ่ายต่อไป ตลอดเวลาที่ผ่านมาเกือบทั้งวัน เขาหาผู้โดยสารดี ๆ ไม่ได้เลย มีผู้ชายคนหนึ่งแต่งตัวโทรม ๆ โบกมือเรียกให้เข้ามาพร้อมกับบอกที่หมายเสร็จสรรพเหมือนกับมีเงินจ่ายจริง ๆ
ตอนแรกเขาไม่รู้หรอกว่ามันไม่มีเงิน ไปรู้ตอนที่กระโดดลงรถแล้วบอกหน้าตาเฉยว่าไม่มีเงินติดตัว หลอกนั่งรถฟรีเห็น ๆ เห็นท่าทางอย่างนั้นน่าจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่ามันไม่มีเงินไม่ต้องรับมันขึ้นมาบนรถให้เสียเวลาเปล่า
แต่แค่ถูกหลอกนั่งรถฟรีนั้นก็ยังไม่เท่ากับที่มีผู้ชายท่าทางภูมิฐานดูแล้วต้องมีเงินจ่าย แต่ไม่นึกเฉลียวใจเลยว่าผู้โดยสารบอกให้ไปส่งในซอยเปลี่ยวแห่งหนึ่งชื่ออะไรขับเข้าไปไม่เห็นมีป้ายบอกเลยแม้แต่น้อย ไปถึงกลางซอยผู้ชายนั่งอยู่เบาะหลังบอกให้จอดแล้วเปิดประตูลงไป พลางเรียกให้เขาลงมารับเงินค่าโดยสารข้างล่าง เมื่อลงไปตามคำบอก ปลายมีดคัตเตอร์ในมือของผู้ชายที่โดยสารมานั้นจ่อเข้าที่คอหอยของเขาแทบขยับไม่ได้ พร้อมกับขู่กรรโชกให้ส่งเงินมา เขาทำท่ายอมแพ้จนฝ่ายตรงข้ามประมาทเผลอลดปลายมีดลงจากคออยู่ในระดับหนึ่ง ๆ จึงค่อย ๆ ถอยออกห่าง มือควานหาอาวุธ เจอไม้ท่อนหนึ่งจึงคว้าฟาดลงกลางกระหม่อมล้มลงนอนแน่นิ่ง เขายังไม่แน่ใจ จึงฟาดอีกครั้งลงตรงขาทั้งสองข้าง ก่อนรีบขึ้นรถขับหนีออกไปอย่างรวดเร็ว
เกือบตายอีกแล้ว วันชัยนึกด่าตนเองที่ไม่รอบคอบ รับผู้โดยสารแต่ละครั้งต้องดูให้ดี โจรสมัยนี้ไม่จำเป็นต้องหน้าตาเหี้ยมโหด ไว้หนวดเครารุงรัง แต่งตัวไม่เรียบร้อย คนหน้าตาดี แต่งตัวภูมิฐาน ใครจะไปรู้ว่ามันนี่แหละโจร ได้ข้อคิดใหม่อีกข้อแล้ววันชัยเอ๋ย
เขาถอนใจยาวด้วยความโล่งอก ครั้งหนึ่งจำได้ว่ามีวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งโบกเรียกให้รับขึ้นมาตอนกลางดึกของคืนหนึ่ง ในตอนแรกเขาไม่คิดจะรับผู้โดยสารเนื่องจากดึกมากแล้วคิดที่จะกลับไปพักผ่อน แต่ถ้าไม่รับก็คงชวดเงินไปหลายร้อย แต่สิ่งที่เขาได้รับกลับไม่คุ้มค่าอย่างที่คิด ไม่ว่าจะถูกทำร้ายปางตาย เงินที่ถูกขโมยยังเหลือไว้ให้ไม่ถึงร้อย โชคดีที่มันไม่ได้เอารถไปด้วย จนมีคนมาพบแล้วพาเขาส่งโรงพยาบาล วันนั้นค่ารักษาขึ้นหลักพันกว่าจะหามาจ่ายได้ก็แทบหมดตัว เขาจึงจำไว้ตั้งแต่นั้นมาว่าจะไม่รับผู้โดยสารท่าทางไม่น่าไว้ใจอย่างนั้นอีก แต่ครั้งนี้ก็พลาดจนได้
เวลาล่วงเลยเข้าวันที่ 8 ของเดือนมิถุนายน วันนั้นวันชัยเจอแต่ผู้โดยสารไม่ดีเกือบทั้งวัน แต่เขาปลอบใจตัวเอง คิดเสียว่ายังดีกว่าเจอโจรในคราบผู้โดยสารอย่างที่เขาเพิ่งเจอมาได้หลายวันก่อน เขาหยุดคิดเมื่อเห็นใครคนหนึ่งยืนโบกมือเรียกรถอยู่ที่ต้นไม้ข้างทางเท้า ขับรถเข้าไปจอดใกล้ ๆ พอเห็นว่าเป็นหญิงชราผมขาวสวมเสื้อคอกระเช้ากับผ้าถุงก็เปิดประตูเข้ามาทันที
ไปไหนหรือยาย วันชัยใช้สรรพนามแทนหญิงแก่ว่ายาย เขาเห็นท่าทางของยายแล้วใจคอไม่ดี ไม่มีเงินแน่
ที่หมายของยายคือตลาดแห่งหนึ่ง ระหว่างทาง วันชัยตัดสินใจถามยายอย่างไม่คำนึงถึงมารยาทของคนขับที่ดีเท่าไรนัก กลัวอย่างเดียวคือไม่ได้เงินจากผู้โดยสารรายนี้
ยาย ๆ นั่งรถผมเนี่ยมีเงินจ่ายหรือเปล่า เขาพูดรัวลิ้นพันฟังไม่ออก แต่ดูเหมือนยายจะฟังรู้ความหมาย อยู่ดี ๆ ก็ชะโงกหน้าจากเบาะหลังมาตอบจนวันชัยเกือบเบรกหัวทิ่ม
ไม่มีแล้วจะนั่งหาสวรรค์วิมานอะไรวะ วันชัยโล่งใจ แต่นึกขึ้นได้ ยายไม่ได้ถือกระเป๋าอะไรมาเลย จะเอาเงินไว้ที่ไหนกัน แต่พูดเป็นมั่นเป็นเหมาะขนาดนี้แล้วว่ามีก็ต้องมี เออ วันนี้ตอนเที่ยงกว่า ๆ ข้าไปต่อคิวดูดาวศุกร์แถวสนามหลวงมา รวดซื้อหวยเลข 080647 มาซะหน่อย ไม่ถูกที่หนึ่งก็เผื่อเลขท้ายนั่นแหละ
ยายคุยฟุ้งไปเรื่อย ๆ เขาฟังบ้างไม่ฟังบ้าง พยักหน้าเหมือนเห็นด้วย ไม่ใช่เพราะสนใจ แต่กลัวจะหาว่าไม่มีมารยาทต่างหาก มีอยู่เรื่องหนึ่งที่น่าสน ช่วงเช้าเขาก็ขับรถผ่านไปแถวสนามหลวง เห็นลานกว้างมีอุปกรณ์สำหรับดูปรากฏการณ์ในรูปแบบใหม่ ไม่ได้สนใจอะไรมาก แต่ไม่นึกว่ายายจะไปดูกับเขาด้วย
ถึงหน้าตลาดที่หมาย ยายรีบเปิดประตูลงรถไปเหมือนจะไม่ให้เงินอย่างที่คิดไว้ตอนแรก วันชัยตกใจรีบหมุนกระจกรถรั้งผู้โดยสารคนล่าสุดเพื่อทวงค่ารถ
เงินล่ะยาย ไหนบอกว่ามีจ่าย 60 บาทนะยาย เขาเรียงประโยคผิด ๆ ถูก ด้วยความรีบร้อนกลัวยายจะเดินหนีไปก่อน
หญิงแก่หันมามอง เดินกลับมาที่รถเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้
เอาจริงข้าลืมไป เอ้านี่ล็อตเตอรี่ แกล้วงกระเป๋าเสื้อคอกระเช้าของแกหยิบกระดาษคล้าย ๆ สลากรางวัลออกมา ใช้มือฉีกแบ่งครึ่งหนึ่งให้วันชัยแล้วอีกครึ่งหนึ่งเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อตามเดิม
เขารับมาแล้วยัดใส่กระเป๋าเสื้ออย่างงง ๆ และยิ่งงงเข้าไปอีกเมื่อแกพูดต่อไป แบ่งกันคนละครึ่ง เลข 080647 เหมือนกัน เอาไปเถอะ คิดซะว่าเป็นค่าแท็กซี่ละกัน
ยายเดินจากไปแล้ว ทิ้งให้วันชัยนั่งเจ็บใจปนงง ๆ อยู่ภายในรถตามลำพัง เขาสลัดความเจ็บใจออกไปจากหัวสมอง หมุนลูกกุญแจเตรียมสตาร์ทรถออกไปเพื่อเริ่มงานของเขาต่อไป
ถึงวันที่ 15 มิถุนายนแล้ว วันที่ทุกคนรอคอย แต่วันชัยไม่ได้สนใจอะไรเลย ลืมไปแล้วด้วยซ้ำสำหรับตัวเลขบนสลากครั้งก่อน ป่านนี้ร้านกาแฟโบราณของอาโกคงมีลูกค้าเต็มร้านคับคั่ง ทั้งหน้าเก่าและใหม่ที่มาตรวจสลากของตนกับวิทยุโนเนมเครื่องนั้นอย่างใจจดจ่อไม่สนใจใคร
เขารู้ดีมากว่าอะไรจะเกิดขึ้น เมื่อเสียงที่ทุกคนรอคอยประกาศดังออกมานั้น เสียงเฮและเสียงถอนหายใจก็ดังขึ้นมาตามลำดับ รู้เลยว่าเป็นใคร ไอ้ที่ถูกรางวัลก็หน้าเดิม ๆ ไอ้คนโดนกินก็หน้าซ้ำซาก เขาเองก็เป็นหนึ่งในกลุ่มหลัง หน้าเดิม ๆ ตลอด
ส่วนมากคนถูกรางวัลก็ได้ปล่อยเฮกัน ถือโอกาสเลี้ยงฉลองโอเลี้ยงคนละแก้ว แล้วจ่ายของใครของมัน เขาไม่ได้กินเลี้ยงอะไรกับเขาหรอก ไม่เคยถูก อาโกก็เล่นหวยกับเขาเหมือนกัน เท่าที่เห็นก็ถูกบ้างโดนกินบ้าง ส่วนมากถูกเลขท้ายแล้วยังได้กำไรจากขายเครื่องดื่มในร้านอีกสองต่อ
เขาไม่ได้ดวงเฮงเหมือนอาโกสักหน่อย อะไรไม่เคยถูกเลยมีแต่โดนกินตลอด ตั้งแต่นี้ไป เขาตั้งปณิธานไว้ว่า จะเลิกซื้อสลากนับตั้งแต่งวดที่ผ่านมาไปตลอดชีวิต
วันชัยหยุดคิด วันนี้เขาขับรถออกจากบ้านตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยง รู้สึกว่าวันนี้โชคดีเป็นพิเศษ ตั้งแต่เช้าก็ได้ผู้โดยสารหลายคน ครึ่งวันก็ได้เงินเป็นพันแล้ว ตอนแรกเขาคิดว่าจะไปร้านกาแฟโบราณเพื่อไปเยี่ยมทักทายอาโกต่อ แต่นึกถึงเงินที่ได้ช่วงเช้าแล้ว เขาเกิดเปลี่ยนใจ เดินออกจากร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทางที่แวะเข้าไปนั่งกินรองท้องตรงไปหารถ ขับออกไปเพื่อหาผู้โดยสารรายแรกของช่วงบ่ายอย่างตั้งใจ
เขาเห็นผู้โดยสารรายแรกแล้ว ยืนอยู่บนทางเท้ากวักมือเรียกรถ มองเห็นไม่ชัดว่าเป็นใคร แต่ท่าทางคุ้น ๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ขับเข้าไปใกล้ ไม่ทันจอดสนิท คนที่ที่เคยเจอกันใครวันที่ผ่านมาได้ไม่กี่วันก็ขึ้นรถแล้วรีบปิดประตู
ยาย วันชัยพูดไม่ทันขาดคำ ยายก็ขัดขึ้นมาเหมือนกับไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ไถ่ถามอะไรเกี่ยวกับตัวแก
ไม่ต้องถามอะไรมากหรอก เอ็งไปส่งข้าที่กองสลากอย่างเดียวก็พอ เงินตอนนี้ไม่มีหรอก แต่ขากลับน่ะมีแน่ โว้ย ไม่ต้องห่วง
เขาส่ายหน้าแทนคำตอบ พลันก็หยุดชะงักคิดขึ้นมาได้ ส่งยายที่กองสลาก ไปที่นั่นทำไม แกถูกรางวัลอะไรหรือนี่ แต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรมากไปกว่านี้ รีบออกรถไปอย่างรวดเร็ว ขับรถผ่านที่ไหนเจอสัญญาณไฟเขียวผ่านตลอดทาง ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงที่หมาย
เอ้า ลงมาซิ ยายเปิดประตูรถลงไป เขาตั้งใจว่าจะรอค่ารถจากแกอยู่ข้างนอก ได้ยินที่แกพูดนั้นเขาถึงกับอึ้งไปด้วยความตกใจ
ลง ลงไปทำไม เขาถาม แต่แกไม่ตอบ ได้แต่พูดสาธยายถึงโชคลาภของแกไปเรื่อย
ดาวศุกร์ให้โชคเว้ย จำได้ไหม วันที่ข้าบอกเอ็งว่าไปดูดาวศุกร์ที่สนามหลวง แล้วซื้อหวยเลข 080647 มาด้วย ที่ข้าซื้อมาก็เพราะเห็นว่าความหมายมันดี แบบว่าคนขายมันสาธยายซะจนน่าซื้อว่ะ 08 มันบอกว่าตรงกับวันที่แปด 06 ตรงกับเดือนมิถุนายน ส่วนไอ้ 47 มันบอกว่าตรงกับปีนี้ ปี 47 คนขายมันบอกจะมีโชคลาภ แล้วมันก็มีจริงโว้ย
ยายถูกรางวัลอะไร วันชัยเปิดประตูลงจากรถ
ที่หนึ่ง ข้าถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง แกบอกด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นจนเขานึกอิจฉาที่แกได้รางวัลนี้
รวยแล้วอย่าลืมแบ่งเงินให้ผมบ้างล่ะ เขานึกอยากได้ส่วนแบ่ง
ยายส่ายหัวด้วยท่าทางเหมือนกับอยากเก็บเงินไว้คนเดียว แต่คำตอบกลับมาของแกตรงข้ามกับที่เขาคิดไว้
พูดหยั่งกับเอ็งไม่ถูกงั้นน่ะ วันชัยงง มือขวารีบล้วงกระเป๋าเสื้อ เขาพบสลากแบ่งครึ่งอยู่ในนั้น คลี่ออกดูตัวเลข ตัวเดียวกับที่แกซื้อไม่มีผิด
วันชัยเริ่มลำดับเหตุการณ์ที่ผ่านมาอย่างช้า ๆ ตั้งแต่ที่เขาพบกับยายครั้งแรก แกให้สลากแบ่งครึ่งใบหนึ่ง เขาไม่ได้สนใจอะไร พอจะจำได้ว่ารีบยัดลงใส่กระเป๋าเสื้อ ตัวเดียวกับที่เขาใส่วันนี้แหละ ท่าทางจะลืมซักเสื้อตัวนี้ สลากจึงอยู่ในสภาพเดิม
เขาจำทุกอย่างได้แล้ว เหมือนมีปาฏิหาริย์ ถ้าเสื้อตัวนี้โยนลงตะกร้าซักก่อนถึงวันนี้ เขาก็คงได้แต่เงินค่ารถจากยายหรือไม่ได้อะไรเลยก็เป็นได้
งั้นผมก็ถูก
แกพยักหน้าตอบรับ ทำเอาวันชัยดีใจแทบตัวลอย
ก่อนอื่นน่ะข้าอยากขอโทษเอ็งที่หลอกนั่งรถตอนนั้น ข้ารู้ว่าชีวิตคนหาเช้ากินค่ำอย่างพวกเรามันลำบากขนาดไหน แต่ตอนนั้นข้าเหลือเงินแค่สิบบาทเอง ก็เลยไม่จ่าย ไม่งั้นไม่มีเงินกินข้าวแน่ ขอโทษด้วยนะพ่อหนุ่ม แกถอนใจนิดหนึ่ง ก่อนพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงผิดกับตอนแรก แต่ตอนนี้เอ็งกับข้าถูกรางวัลคนละครึ่ง ได้เงินล้านห้าแล้วเอ็งจะเอาไปทำอะไร
ผมคิดไม่ออกหรอก อยู่ดี ๆ เงินก็ลอยมาหาผมอย่างนี้ เมื่อก่อนนี้ผมก็ซื้อ ไม่เคยถูกเลย แปลกนะ ผมมันดวงไม่ดี แต่พอผมได้เจอเรื่องร้าย ๆ ที่ผ่านมาตั้งแต่ต้นเดือนจนถึงวันนี้ ผมก็เพิ่งถูกหวยกับเค้าคราวนี้เองแหละ
วันชัยกับยายพากันเข้าไปข้างในกองสลากเพื่อนำสลากนำโชคนั้นไปขึ้นเงิน เขากับแกอยู่ภายในนั้นนานพักใหญ่จึงกลับออกมาพร้อมกับธนาณัติมีค่าสามล้านได้คนละล้านห้า พร้อมที่จะไปแลกเป็นเงินสดจริง ๆ ต่อไป
เอ้าเงินค่ารถ ยายยื่นเงินค่ารถให้เขาทั้งครั้งที่แล้วและคราวนี้จนครบ ไม่มีอะไรค้างคากันอีก ไปล่ะพ่อหนุ่ม
ยายเดินออกไปข้างนอกตามลำพัง เขามองตามไป แกออกไปยืนอยู่บนทางเท้า โบกรถคันหนึ่งเปิดประตูเข้าไปนั่ง เขามองดูจนรถแล่นลับสายตาไป
วันที่ 8 มิถุนายน 2547 หรือวัน 080647 กันแน่ที่ให้โชคกับเรา
เขาคิด ไม่รอคำตอบจากฟ้าหรือดิน รีบเดินตรงไปที่รถ เปิดประตูขึ้นนั่งขับออกไป ทิ้งทุกสิ่งที่ผ่านมาเป็นทางพาเขามาสู่โชคลาภ
080647