30 มกราคม 2548 19:49 น.
แก้ว กรุงเก่า
พลันความคิดพล่านพลุ่งสะดุ้งตื่น
ในค่ำคืนงดงามดั่งความฝัน
แสงเดือนเพ็ญแจ่มกระจ่างเหมือนกลางวัน
ท่ามแสงจันทร์ใจเราเหงาชอบกล
หอมไม้ป่าอบอวนชวนซาบซ่าน
ดงกันดารตื่นใจให้ฉงน
อยากหยุดวันคืนสุขซ่อนซุกซน
สัปดนไว้ประดับสัปดาห์
เล่ห์รตีลีลารดาดาษ
พิศวาสหวามจิตน่าอิจฉา
เพียงเพ่งภาพที่ถวิลจินตนา
เสน่หาฤาร้างไปห่างเรา
หลงเพลิดเพลินเดินไปกลางไพรพฤกษ์
ในยามดึกโดดเดี่ยวให้เปลี่ยวเหงา
แมกไม้เหมือนม่านคลุมตะคุ่มเงา
ผ่านใหล่เขางดงามไปตามทาง
ถึงอกเขากลมกลึงตะลึงพิศ
ชะงักนิดนวลเนินไม่เดินห่าง
ออกอายเอียงเลี่ยงลงไปตรงกลาง
ท้องทุ่งกว้างเดินหลีกคงอีกไกล
เห็นเนินผาหญ้ารกปกคลุมเข้า
เป็นโขดเขางามตาน่าสงสัย
มีรอยเคียวเกี่ยวถากเห็นรากไทร
มีร่องใหลแอ่งน้ำจึงข้ามมา
ยามกระหายได้แรงจากแหล่งน้ำ
สดชื่นยามดื่มกินถวิลหา
จวบจนสายแสบแสงแดดแยงตา
คือห้วงคำนึงก่อนจะมาเป็น...ปลาเค็ม
29 มกราคม 2548 18:29 น.
แก้ว กรุงเก่า
สายลมเย็นพลิ้วไหวล้อใบหญ้า
ราวกับว่าทวงถามความคิดถึง
ลมพัดแผ่วพรมพรำห้วงคำนึง
ใครคนหนึ่งไกลห่างยังจดจำ
กับสิ่งที่มีค่าส่งมาให้
กำลังใจคำคมอารมณ์ขำ
หลายเรื่องราวงดงามด้วยน้ำคำ
ให้ดื่มด่ำอิ่มอาบกำซาบใจ
อยากจะขอบคุณคืนสักหมื่นครั้ง
ไม่สมดังสิ่งดีดีเธอมีให้
อกอึดอัดคั่งค้างอยู่ข้างใน
จำเจียมใจเจียมคำทนกล่ำกลืน
จึงขอส่งบทกลอนวอนลมฝาก
คิดถึงมาก...รู้ไหม...ข่มใจฝืน
ลมหนาวเยือนเตือนคำในค่ำคืน
ได้แต่ยืนฝากจันทร์จูบขวัญแทน
28 มกราคม 2548 23:19 น.
แก้ว กรุงเก่า
คืนฝนพรำฉ่ำฟ้าครวญหาน้อง
เฝ้าร่ำร้องไฝ่ฝันคืนยันรุ่ง
ลืมกลิ่นโคลนสาบควายหลงใหลกรุง
ยามท้องทุ่งขาดเจ้าเหงาชอบกล
คราหน้าฝนอย่างนี้เมื่อปีก่อน
เคยแนบนอนน้องนางกลางสายฝน
เจ้าหยาดเยิ้มยวนตางามน่ายล
กลางสายชลร่วมบรรเลงเพลงรักเรา
ฟังเสียงฝนไพเราะดังเปาะแปะ
พื้นดินแฉะเพิ่มนิยามของความเหงา
ชะเง้อมองรอเก้อไม่เจอเงา
เหมือนอกเราถูกฟ้าฟาดแทบขาดใจ
ยังคงคร่ำครวญหาเวลานี้
ไม่รู้ว่าคนดีอยู่ที่ไหน
เหมือนรอคอยลอยคอกลางหม้อไฟ
เสียง กบ ในหม้อต้มยำยังคร่ำครวญ