30 กรกฎาคม 2551 17:39 น.
เอื้องคำ
บ่ายสองกว่าๆ ของวันครึ้มฟ้าคึ้มฝน ผมจับดินสอแท่งหนึ่งขึ้นมาขีดๆ เขียนๆ อะไรไปตามเรื่องตามราว แต่ตัวหนังสือที่ปรากฎนั้นกลับเป็นเส้นใหญ่และหนา อีกทั้งไม่ค่อยชัดเจนเท่าที่ควร ผมลุกไปอีกโต๊ะหนึ่ง ที่นั่นมีเครื่องเหลาดินสอแบบใช้มือหมุนอยู่เครื่องหนึ่ง ผมยัดดินสอเข้าไปในช่องหนีบ แล้วหมุนมันอยู่สักพัก พลันภาพอดีตก็ปรากฎขึ้น
"เอ้าต่อแถวกันมาใครจะเหลาดินสอ" เจ้า"ต้น" นักเรียนชั้นป.2 ซึ่งอยู่ในประจำชันของผมกล่าวขึ้น พลางประคองร่างอันอ้วนจ้ำบะนั่งลงบนก้าวอี้ตัวเอง แล้วล้วงเอาเครื่องเหลาดินสออันเขื่องออกมาจากกระเป๋า วางลงบนโต๊ะดัง ตึก! เผินๆ แล้วถ้าไม่มีใครบอก ผมจะเข้าใจว่า แกเป็นนักเรียนชั้นป.5 สิ้นเสียงก็มีเพื่อนนักเรียนในห้องของต้น เข้าแถวเรียงกันมาอย่างเป็นระเบียบ ต้นเสียบมันเข้าไปในช่องหนีบ แล้วหมุนมันอย่างแคล่วคล่อง สักพักต้นดึงดินสอออกมาจากเครื่องเหลา แล้วทำมืออีกข้างคล้ายๆ จกอะไรสักอย่าง ต้นจกดินสอไปราวสองนิ้วแล้วค่อยๆรุดมือที่กำลังจกดินสอออกอย่างช้าๆ เป็นการสำรวจว่าใส้ดินสอไม่ได้หักอยู่ข้างในเป็นท่อนๆ แล้วส่งคืนให้เจ้าของ
"คนละบาทนะ เตรียมตังค์ไว้ด้วย" ต้นกำชับ นักเรียนในแถวต่างควักกระเป๋ากันเป็นชุลมุน สำหรับนักเรียนห้องนี้ ถ้าไม่มีการสั่งงาน หรือเข้าสอนของครูแล้ว ต้นและเพื่อนๆ จะพากันเล่นต่อสู้ โดยแบ่งฝ่ายกัน 4-5 คน เสียงหวีดของเด็กผู้หญิงดังลั่นไปถึงห้อง ป.6 จนครูผู้หญิงในห้องป.6 ต้องออกมาดู แล้วซักว่า ตอนนี้เป็นวิชาอะไร เมื่อได้รับคำตอบ เธอก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็กลับเข้าห้อง ป.6ไป ไม่เกินห้านาทีหลังจากนั้นเสียงเด็กห้อง ป.2 ก็ดังขึ้นมากกว่าเก่าอีก
"หลังจากที่เวลาของวิชาต่อไปเข้ามาเยือน นักเรียนทุกคนก็นั่งตรงโต๊ะตัวเองอย่างมีระเบียบ ท่ามกลางเหงื่อที่ท่วมตัว และเจ้าต้นก็หนักกว่าคนอื่นๆ
ในโรงเรียนเอกชนนั้น นักเรียนจะเป็นกันเองกับครูมากกว่าโรงเรียนของหลวงอยู่พอสมควร เจ้าต้นเองก็เช่นกัน แกจะมายืนรอรถรับส่งนักเรียนตรงร้านค้าสามแยกทุกเช้า พอดีกับที่ผมขี่มอเตอร์ไซด์ผ่านมา และแวะซื้อกาแฟซองและขนมปังเพื่อรองท้องตอนเช้า
"ครูเต้ ผมไปด้วยนะคับ..." ไม่ใช่ใครอื่น เจ้าต้น นักเรียนในประจำชั้นของผมเอง ต้นพูดเสร็จพลางทำตาแป๋วๆ ผมเอามือลูบหัวที่มีหน้าผากเว้าผมเตียนๆ ของแก
"อืม...ไป...ขึ้นมาสิ" สิ้นเสียงผมต้นปีนขึ้นซ้อนผมไปโรงเรียน ผมไม่เคยลืมลูกตาแป๋วๆ นั่นได้เลย
"พอได้แล้ว...จะเหลาซะหมดแท่งเลยหรือ?" สติผมเริ่มกลับมาสู่ตัว หลังจากเสียงทักท้วงข้างๆ โต๊ะนั่นเงียบลง
29 กรกฎาคม 2551 15:39 น.
เอื้องคำ
ภายห้องเช่าซอมซ่อ คร่ำครึหลังนั้น กลิ่นอันฉุนแตะจมูก และความสลัวจากแสงไฟรางๆ ส่องให้เห็นหนุ่มน้อยคนหนึ่งกำลังนอนคุดคู้อยู่ในห้องนั้นเพียงลำพัง หนุ่มน้อยเคยนอนที่นอนนุ่มๆ กว้างขวางสีทอง และกลิ่นหอมฉุยมาก่อนหน้านี้ แต่มันก็ไม่อาจกลับไปเป็นอย่างเดิมได้อีก ความรุ่งโรจน์ในการงานของหนุ่มน้อยก็เช่นกัน เขามีความมุนมานะ อดทนเป็นที่สุด หนุ่มน้อยเคยเข้า-ออกสถานประกอบการมาแล้วหลากหลาย อาชีพต่างๆ ก็ผ่านมาอย่างโชกโชน ไม่ว่าจะเป็น เด็กอู่รถยนต์ พนักงานห้าง กรรมกร นักร้อง รปภ. กระทั่งเด็กเสริฟ เขามิได้มีปัญหากับเจ้านายหรือเพื่อนร่วมงาน มิได้ป่วยไข้ และมิได้เป็นฆาตกรหนีอาญาแผ่นดินแต่อย่างใด เพียงแต่สิ่งหนึ่งที่เขาไม่มีเหลือในเวลานี้คือ กำลังใจ มันไม่เหลืออยู่เลยแม้แต่เพียงสักหยดเดียว หัวใจอันแห้งผาก ท้อแท้ และมองเห็นความหวังอยู่เลื่อนลอย กับแค่เรื่องนั้น เธอไม่น่ามาด่วนตัดช่องน้อยทิ้งเขาไปเช่นนี้ หนุ่มน้อยอยากจะด่าทอ สาปแช่งผู้หญิงคนนั้นที่ดันมารับโทรศัพท์แทนเขา แล้วเธอก็เข้าใจว่าเขามีอะไรกับใครใหม่เป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว ให้ตายสิ...เธอไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย ก็เนื่องจากในวันนั้น ชายหนุ่มโทรศัพท์ไปหาเธอ ด้วยเงินที่มีอยู่เพียงห้าบาท เมื่อไม่มีเงินเหลือให้หยอดไปอีก สายก็เป็นอันถูกตัดไป มันน่าจะเข้าได้เช่นนั้น แต่...ทว่าเมื่อเขาเดินออกมาจากตู้โทรศัพท์ แล้วผู้หญิงที่มารอคิวก็เข้าไปในตู้ตามคิว ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ผู้หญิงในตู้โทรศัพท์นั้น ยกหูขึ้นทักทายตามมารยาท แต่นั่นคือสิ่งที่เธอไม่ควรทำอย่างยิ่งสำหรับชายหนุ่ม เพราะปลายสายนั้นคือผู้หญิงคนนั้น เป็นคนที่เธอช่างดีพร้อมสำหรับเขา เธอควรได้เป็นแม่ที่ดีของลูก และเขาแน่ใจว่าเธอจะสั่งสอนลูกเขาให้เป็นคนดีได้ไม่ยากเย็น อย่างที่เธอเป็นมันก็ไม่น่ามีอะไรต้องเพิ่มเติมอีก แต่...การที่ผู้หญิงคนนี้รับสาย เธอย่อมเข้าใจไปเองว่าชายหนุ่มมีใครอีกคน ซึ่งนี้เป็นที่ที่เขาเพิ่งเริงสำราญกับผู้หญิงคนนั้นไปหมาดๆ ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเธอถึงไม่รับสายชายหนุ่มอยู่หลายวัน และครั้งสุดท้ายที่เธอรับสาย เธอก็พูดเพียงว่า ขอให้เราจบกันเท่านี้ และอย่าโทรมาอีก... ชายหนุ่มทรุดกายลงนั่งยองๆ ดวงตาพร่ามัวอยู่กับพื้นปูนในตู้โทรศัพท์ นึกถึงภาพของแม่และพ่อ ที่เขาสัญญาว่า จะนำตัวลูกสะใภ้มาหาในต้นเดือนหน้า
และจะช่วยกันสานต่ออาชีพทำนา เลี้ยงชาวโลกตามบรรพบุรุษของเขา แต่มันไม่อาจเป็นเช่นนั้นได้อีก และตอนนี้ชายหนุ่มต้องการพักผ่อน เขาออกจากห้องพักซัดเซมาพักที่นี่เนื่องจากมิอาจรับรู้สิ่งใด แม้เจ้าของห้องพักจะมาเยี่ยมเยียนเป็นบางครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่า ไม่มีกลิ่นซากศพปรากฎในห้องที่เขาอาศัยคุดคู้อยู่นั้นเอง