24 เมษายน 2552 11:39 น.
เอื้องคำ
ทิวาสางย่างเยื้อง.......แสงใส
นกกู่เสียงขานไกล..........เจื้อยแจ้ว
อรุณรุ่งน้ำค้างไหว ..........แสงทอง ตะวันยอ
วันใหม่กรายมาแล้ว .......ต่อสู้ ชีวิน
ฟืนสุมฟางใส่ให้.........ฟืนฟาง ติดไฟ
สุมสู่ในหัวใจ...................อุ่นอ้าว
อุ่นใจเปี่ยมภายใน..........ใจสู่ กายนา
ใจหม่นส่งกายร้าว...........บ่กล้า ทานทน
ลมโชยพัดแช่มช้า......ยามรุ่ง
ฟางกลิ่นดินปนปรุง.........กรุ่นหอม
ดอกคูณเหลืองจรุง..........บานเบ่ง ช่อเอย
บานแด่ความนอบน้อม....มอบให้ ชาวนา
ชาวนาเอยบ่กล้า........หลีกหนี
ตะวันส่องแสงสาดดี.........เร่าร้อน
ผิวเกรียมหม่นเป็นสี.......ดำยิ่ง ดำนา
ดำบ่เคยออดอ้อน............เพื่อเจ้า ชาวไทย
23 เมษายน 2552 15:12 น.
เอื้องคำ
ครั้นได้พบสบพักตร์ประจักษ์จิต
ห้วงความคิดย้อนผันในวันหลัง
เธอคนนี้ช่างคุ้นหน้าตาเสียจัง
จึงนิ่งนั่งตั้งใจนึกตรึกตรวจตรา
ดวงตาคมผมหยักมีลักยิ้ม
แก้มอวบอิ่มพริ้มพรายทั้งซ้ายขวา
มองใกล้ชิดยิ่งพินิจยิ่งติดตา
นึกขึ้นมาจึงรู้พลันในทันใด
แท้เธอคือรุ่นน้องของข้าพเจ้า
ทุกทุกเช้าได้เจอกันวันสดใส
ร้องเพลงชาติตวาดดังฟังก้องไกล
คนละไชคนละโยร้องโร่ตาม
จากวันนั้นจนวันนี้พี่เพิ่งพบ
มาประสบเจอในวัดเหมือนนัดถาม
ปีใหม่ไทยประเพณีอันดีงาม
มารดน้ำผู้สูงวัยใจตรงกัน
เสียงให้พรปลอบขวัญกันอึงอื้อ
เพิ่งมาหรือมาเมื่อไหร่ใครถามฉัน
อ๋อยายขิณมาเมื่อวานมินานครัน
อีกสองวันก็กลับกรุงมุ่งเมืองไกล
น้ำอบปรุงฟุ้งหอมร่ำกว่าน้ำอื่น
เย็นร่มรื่นชื่นฉ่ำเย็นน้ำใส
เสนาะคำล้ำค่ากว่าคำใด
อบอุ่นใจไหนเล่าเท่าคำพร
ออกจากวัดแดดเรืองรองบ่ายสองกว่า
เหลียวแลหาแม่แก้วตาพาสังหรณ์
หรือลืมพี่คนนี้แล้วแก้วตางอน
คำอ้อนวอนขอพรคงไม่ส่งใจ
เมื่อแดดหลบพลบค่ำย่ำเย็นเยื้อง
เขียวแดงเหลืองเรืองรองส่องสุกใส
เป็นเวทีคอนเสิร์ตเห็นแต่ไกล
กะพริบไหวเรืองรองส่องตระการ
ผู้ใหญ่บ้านมองการณ์ไกลใช้งานนี้
หมายเป็นที่พบหน้าตายายหลาน
ทั้งปู่ย่าน้าอามาพบพาน
บริวารมิตรสหายได้เจอะเจอ
วันครอบครัวจึงจัดการเป็นงานใหญ่
ผู้สูงวัยได้ร้องรำใช่พร่ำเพ้อ
ทั้งประกวดร้องประชันกันนะเออ
มีรางวัลกำนัลเธอบนเวที
เพลงเก่าดังฟังไพเราะเสนาะหู
ทั้งคนดูก็มากหลายมิหน่ายหนี
พอเพลงจบเสียงปรบมืออื้อเวที
พวงมาลัยดูหลากสีที่คล้องคอ
คนต่อไปขอเชิญมาคุณอดิศักดิ์
เพลงพบรักปากน้ำโพโอ้ละหนอ
ตายละหวานั่นชื่อเราใช่แล้วพ่อ
มิรีรอรีบเร่งเร่ขึ้นเวที
ยามร้องไปยังสงสัยในปริศนา
ใครช่างกล้ามาแกล้งกันถึงขั้นนี้
มิบอกให้รู้ล่วงหน้าว่าชื่อมี
คงจะเป็นคนที่รู้จักเรา
พวงมาลัยจากซ้ายขวามาหลายหลาก
คล้องกันมากก็ยิ้มรับมิอับเฉา
พอเพลงจบใครเดินรี่มาที่เรา
แท้คือเจ้าเดินยิ้มแปล้มาแต่ไกล
ยังร้องเพราะเสนาะใจไม่มีเปลี่ยน
ที่โรงเรียนยังจำแน่มาแต่ไหน
พี่ประธานนักเรียนมิเปลี่ยนไป
น้องจำได้จึงเขียนให้พี่ชายมา
เสียงเจ้าว่าพี่แสนปลื้มมิลืมหลง
ค่อยบรรจงรับมาลัยใจยิ้มร่า
เจ้ายิ้มตอบมอบหวานฉ่ำล้ำอุรา
จนลับตาตราตรึงอยู่มิรู้ลืม...
9 เมษายน 2552 10:06 น.
เอื้องคำ
เปรียบเธอดังดวงดาวพราวพร่างฟ้า
ส่องแสงมาประโลมในหัวใจฉัน
ให้สุขสมชมชื่นทุกคืนวัน
แค่เพียงฉันหันมองท้องฟ้าไกล
ในบางคืนเธอเหมือนดังเพื่อนจิต
ช่วงชีวิตมีรันทดมิสดใส
แต่ฉันมีเธออยู่ยาชูใจ
รักษาได้หายพลันทันเวลา
ถึงดาราลาแรมมิแต้มแต่ง
นภาแปลงเป็นมืดดับลับผืนหล้า
ฉันใช่เห็นเธอเพียงด้วยแววตา
แต่เก็บมาใส่ไว้ในฤดี
ถึงห่างหายห่างกันมิทันจาก
ต้องมีพรากลำบากไกลในถิ่นที่
จงรับรู้เอาไว้เถิดคนดี
ในอกพี่มีเพียงเจ้า...เท่านั้นเอง
2 กุมภาพันธ์ 2552 12:00 น.
เอื้องคำ
สายลมโชยโบยโบกกรรโชกเสียง
แสงตะเกียงเพียงสว่างกระจ่างใส
เสียงนกร้องก้องกู่อยู่ไกลไกล
เหมือนเสียงใดในอกฉันสั่นร้าวรอน
เธออยู่ไหนหัวใจฉันมันเพรียกหา
หลายเพลาพาพี่คิดจิตสังหรณ์
โอ้นงนุชสุดถวิลหายังอาวรณ์
แม่ตางอนเจ้าอ้อนจิตติดกมล
ลมเจ้าเอยช่วยเผยความตามนี้สิ้น
ให้ได้ยินข้าสิ้นสุขอยู่ทุกหน
ห่างกันไกลเศร้าใจสั่งให้กังวล
พี่ทุกข์ทนจนเช้าค่ำอยู่ร่ำไป
ลมช่วยดูแลน้องอย่าหมองเศร้า
เกรงลมพัดช้ำชอกเจ้ามิผ่องใส
ฟ้าเอ๋ยฟ้าประโลมเพลงบรรเลงไป
เกรงฟ้าซ้ำคำรามให้ยาใจกลัว
จักฝากจันทร์เกรงจันทร์จักลักกล้ำเจ้า
ในคืนคราวดาวห่างฟ้านภาสลัว
ฝากอาทิตย์อาทิตย์จ้องน้องลืมตัว
ยิ่งหมองมัวกลัวแสงส่องจ้องนานเกิน
27 ธันวาคม 2551 13:48 น.
เอื้องคำ
แสงสุรีย์สีทองผ่องโอภาส
ซัดส่องสาดผงาดไปใส่ผืนหล้า
เรืองเรืองแสงแรงสดใสไม่โรยรา
ทั่วโลกาเพลาวนระคนกรรม
หวังวาดใดในความช้ำซ้ำความซ้อน
ยามขวัญอ่อนซ่อนฤดีที่ถลำ
ในดวงจิตวิปริตหมองครองระกำ
ก้าวย่างย่ำล้ำเลยล่วงในดวงมาลย์
ปลอบประโลมโหมเห่อเหิมเติมไฟร้อน
เจ็บร้าวรอนร่อนเร่ใจไฟเพลิงผลาญ
บังบดบิดปิดอย่างไรในวิญญาณ
ทรมานนานยังอยู่มิรู้ลืม
ชื่นชมชิดอาทิตย์สาดต่อวาดฝัน
ช่อชูชันพลันกำซาบยิ่งปลาบปลื้ม
อาทิตย์ลับดับแสงสีที่หยิบยืม
ดังดูดดื่มเพื่อลืมมันแค่วันวน