21 ตุลาคม 2550 07:40 น.
เอกสมุทร
ยามเช้าของวันใหม่ แสงเงินแสงทองเริ่มที่จะจับขอบฟ้าอย่างสดชื่น นกบินมายามเช้าเกาะกิ่งไม้ร้องเพลงกันอย่างสนุกสนาน เสียงภายนอกบ้านขณะนี้เริ่มที่จะมีชีวิตชีวา แม่กำลังซักผ้าและฮัมเพลงประกอบท่าบ้างเล็กน้อย ครู่หนึ่งก็ลุกไปตากผ้า ลุงน็อค วินเซนต์ ลุงแท้ ๆ คนเดียวของเด็กสาว เคาะประตูและเดินเข้ามาภายในห้อง
อรุณสวัสดิ์ เบตตี้ วันนี้หนูอยากทำอะไรเป็นอย่างแรกจ๊ะ ชายชราวัยเกือบหกสิบ ร่างสูงโปร่งแต่ขัดกับพุงที่ยื่นออกมาอย่างน่าขัน ถามเธอด้วยประโยคที่เธอคุ้นเคย ทุกเช้าเธอจะมีลุงน็อคมาปลุกและถามเธอเช่นนี้ทุกวัน วันนี้ก็เช่นเดียวกัน
อยากเข้าห้องน้ำแล้วลงไปข้างล่างค่ะลุง ชายชราเดินเข้าไปที่เตียงแล้วอุ้มเด็กน้อยไปเข้าห้องน้ำ พลางร้องเพลงกล่อมเด็กเพลงหนึ่งที่เธอชินหู มันเป็นเพลงที่เล่ากันมานานแล้วในหมู่บ้านว่าสามารถที่จะช่วยเหลือและคุ้มครองเด็กน้อยได้ ให้เด็กน้อยปลอดภัยจากเรื่องร้าย ๆ ทั้งปวง
แม้ว่าปีนี้เบตตี้จะอายุสิบห้าปี แล้วก็ตามแต่ว่าอุบัติเหตุจากรถยนต์เมื่อสองปีก่อน ทำให้เธอไม่สามารถที่จะเดินได้อีกเลย แม้ว่าคุณหมอวัตสันจะบอกแม่ว่า เธอปกติทุกอย่าง น่าที่จะเดินได้ แต่คงมีเรื่องที่กระทบกระเทือนทางการสั่งการของสมองอะไรสักอย่างทำให้ไม่สามารถที่จะขยับได้ในตอนนี้ เพียงคำพูดนั้นที่ทำให้แม่ร้องไห้ และพาครอบครัวที่มีเพียงสี่ชีวิต คือแม่ ลุงน็อค เบตตี้และเจ้าโนว์สนัขสีขาว ย้ายออกจากเมืองที่เต็มไปด้วยรถ ออกมาอยู่ที่ชานเมืองที่มีแต่ทุ่งหญ้า และเกษตรกรรม โดยแม่หวังว่า เบตตี้จะกลับมาเดินได้อีกครั้งโดยไม่ต้องอาศัยไม้ค้ำยัน
เบตตี้เป็นสาวน้อยที่ร่าเริง ช่างเจรจา หลายครั้งลุงน็อคจะพาเบตตี้ไปนั่งหน้าบ้านเพื่อรับลมเย็นในตอนบ่ายแก่ ๆ เวลานั้นเอง ทำให้เบตตี้รู้จักเพื่อนบ้านที่ผ่านหน้าบ้านของเธอและรู้ว่าคนนั้นมีอุปนิสัยอย่างไร โดยลุงน็อคเป็นคนอธิบายให้เธอฟัง
สาวน้อย ทางด้านขวามือของเราเป็นบ้านของมิสวูดดี้ หนูจำได้ไหมว่ามิสวูดดี้ทำงานอะไร จำได้ค่ะลุงน็อค มิสวูดดี้เป็นพยาบาลประจำเมืองนี้ ทุกเช้าเธอจะใส่ชุดสีขาวแล้วเดินผ่านหน้าบ้านของเราไปทำงาน หนูเห็นเธอทุกเช้าจากหน้าต่างห้องหนู ชายชราอมยิ้มแล้ว ถามต่อไปว่า แล้วบ้านหลังคาสีแดงนั้นทางด้านปลายเนินนั่นเป็นของใครจ๊ะ เด็กน้อยลองลำดับความคิดแล้วตอบด้วยเสียงสดใส บ้านคุณพอลล์ค่ะ คุณพอลล์เป็นตำรวจ เก่งมากจ๊ะ คำชมที่แว่วหลังมา เสียงของมารดาเธอนั้นเอง เบตตี้หันหลังกลับไปหาแม่ และกางมือ แม่ของเธอก็กางมือเข้ามาอุ้มเธอเช่นกัน
เดี๋ยวแม่กับลุงน็อคจะเข้าไปในเมืองหน่อยนะลูก ลูกจะไปด้วยไหม หรือว่าจะอยู่กับเจ้าโนว์ แม่กะว่าจะไปซื้อของซักสองสามอย่างแล้วจะรีบกลับ แม่ถามเธออย่างสดชื่นและอมยิ้ม เพราะรู้คำตอบดีอยู่แล้วว่าเบตตี้เป็นเด็กดีเสมอมา ไม่เคยรบเร้าที่จะไปไหนมาไหน แต่อีกใจหนึ่งเธอก็อยากให้เบตตี้ได้ออกไปข้างนอกบ้างเพื่อลืมเรื่องเก่า ๆ ที่เป็นรอยฝังใจ
หนูขอหนังสือดี ๆ ซักเล่มสองเล่มนะคะ เด็กน้อยอ้อน ได้จ๊ะ แล้วแม่จะรีบกลับมานะเบตตี้
ตอนนี้เบตตี้อยู่หน้าบ้าน ราวสี่โมงแล้วลมกำลังเอื่อยทีเดียว เบตตี้เป็นเด็กร่างกายสมบูรณ์เสียแต่ว่าขาเดินไม่ได้เท่านั้น แต่เบตตี้มีไม้เท้าค้ำยันอันหนึ่ง ไม้เท้าค้ำยันอันนี้ถ้าจำไม่ผิดคุณพ่อของเธอเป็นคนทำไว้ให้เมื่อสองปีก่อน เดิมทีตั้งใจเอาไว้ว่าจะเอาไปปีนเขา แต่มาประสบอุบัติเหตุเสียก่อน ทำให้ต้องแปรสภาพมาเป็นไม้ค้ำยันแทน ไม้นี้มีรูปทรงนับว่าค่อนข้างประหลาดอยู่ เธอเคยดูสารคดีเกี่ยวกับแม่มด และผู้มีอำนาจวิเศษ ที่ลุงน็อคชอบเสียนักหนา จนกระทั่งเคยเปรยว่า แหม เอริต้า ฉันอยากให้พวกนี้มีจริงเชียว ฉันจะได้ไม่ต้องใช้รถยนต์ ฉันจะลองขี่ไม้กวาดดูมั่ง แม่มักขำเสมอที่ลุงน็อคพูดเช่นนั้น
ไม้เท้าคำยั้นของเบตตี้เป็นไม้เท้าที่ยาวประมาณเมตรกับอีกแปดสิบเซนต์ พ่อแกะจากไม้โอ๊กอย่างดีที่ส่งตรงมาจากบ้านทางตอนเหนือของย่า พ่อแกะมันเป็นรูปพวงองุ่นที่เลื้อยพันกันไปเป็นเถาจนกระทั่งด้านบนที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่นั้น พ่อแกะเป็นรูปของเทพธิดาวีนัส ซึ่งพ่อบอกว่า วีนัสเป็นเทพแห่งความงามและความเข้าใจในทุกเรื่อง เบตตี้ชอบไม้เท้าอันนี้มาก แม้ว่าจะมีขนาดใหญ่ แต่ก็มีขนาดที่เหมาะมือ และเบา
ยังไม่เข้าบ้านอีกหรือจ๊ะ เบตตี้ มิสวูดดี้ถามขณะที่เธอเดินกลับมาจากการทำงาน ยังค่ะคุณวูดดี้ ตอนนี้หนูกำลังรอแม่กับลุงน็อคค่ะ มิสวูดดี้ทำหน้าฉงน งั้นเธอก็ควรที่จะเข้าไปรอในบ้านนะจ๊ะเด็กดี ว่าพลางมิสวูดดี้ก็เข้ามาช้อนตัวเด็กสาวให้อยู่ในวงแขนและแบกเธอเข้าบ้าน ขอบคุณค่ะคุณวูดดี้ ขอบคุณมากที่พาหนูเข้ามาในบ้าน ไม่เป็นไรจ๊ะ ฉันไปนะ มิสวูดดี้เดินออกจากบ้านลับสายตาของเธอไป ยามเย็นเช่นนี้แล้วเบตตี้เรียกเจ้าโนว์เข้ามาใกล้ และเธอก็เปิดเครื่องเสียง โดยเครื่องอ่านแผ่นเสียงแบบโบราณเครื่องหนึ่ง เพลงที่ฟังออกแนวป๊อบเล็กน้อย บางเพลงออกแนวซิงเกิล เบตตี้รอแม่และลุงน็อค รอนานจนกระทั่งเผลอหลับไป
พี่น็อค พี่ว่าฉันซื้อของครบแล้วหรือยัง ชายชราหันมามองน้องสาว พี่ว่าเราก็เดินซื้อของทั่วแล้วนะ น่าจะครบแล้ว ไม่ทันขาดคำที่ชายชราพูดจบ เอริต้า ก็หันไปเห็นร้านหนังสือร้านหนึ่งในตรอกเล็ก ๆ เธอนึกในใจว่า สงสัยไม่ได้เข้าเมืองเสียนาน มีร้านหนังสือเปิดใหม่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ไม่คิดเปล่า เธอเดินตรงไปที่ร้านที่เธอเห็น โดยไม่สนใจว่าพี่ชายจะเดินนำหน้าไปแล้วก็ตาม
เสียงกระดิ่งหน้าร้านดังขึ้น เอริต้าเดินเข้ามาในร้านด้วยท่าทีที่ตื่นเต้น แม้ว่าร้านหนังสือจะเป็นร้านที่มองจากภายนอกเป็นร้านเล็ก ๆ แต่ภายในนั้นเป็นร้านขนาดกว้างที่สามารถที่จะจัดหนังสือราวพันกว่าเล่มได้อย่างสบาย โดยหนังสือที่ขายทั้งหมดนั้น ถูกจัดวางโดยชั้นขนาดใหญ่ที่มีความสูงจากพื้นถึงเพดานราวสองเมตร ขนาดของร้านคงประมาณ สิบเมตรคูณสิบเมตรเห็นจะได้ มีชั้นวางหนังสืออยู่ราวสี่ชั้น คั่นกันตามเรื่องราวที่ต้องการ เอริต้ายืนนิ่งอยู่เล็กน้อยหลังจากที่ก้าวเท้าเดินเข้ามาในร้าน
ต้องการหนังสือแบบไหนครับ คุณผู้หญิง เอริต้าได้ยินเสียงนั้นก็สะดุ้ง เธอไม่เห็นชายผู้นี้เมื่อตอนที่เธอเปิดประตูร้านเข้ามาแม้ว่าเคาเตอร์จะอยู่ทางด้านซ้ายมือเธอก็ตาม เธอจะตื่นตระหนกเล็กน้อยแต่เธอก็รักษาอาการไว้ได้อย่างดีเยี่ยม ขอโทษนะคะ คือฉันต้องการนวนิยายหรือนิทานสำหรับเด็กซักเล่มสองเล่มน่ะคะ ชายผู้เป็นบริกรป้อนข้อมูลอะไรบางอย่างในเครื่องแล้วเงยหน้าขึ้นมาถาม ข้อมูลของคุณคือ ต้องการหนังสือซักสองสามเล่ม เป็นนวนิยาย หรือนิทานสำหรับเด็กอายุสิบห้า ที่ยังไม่สามารถเดินได้ เพื่อให้เธอคลายเหงา เอริต้านึกประหลาดแกมฉงนอยู่ในใจว่าทำไมบริกรของร้านนี้ได้พูดถึงเรื่องราวของเธอได้อย่างตรงใจ ราวกับเพียงมองตาเพียงครั้งเดียวก็สามารถที่จะรู้ว่าภายในเธอกำลังคิดถึงอะไรอยู่
แถวที่สอง ทางฝั่งซ้าย ชั้นที่สามนะครับ เรามีหนังสือหลายเรื่องให้คุณเลือกแล้วแต่คุณจะต้องการเชิญเลือกด้านในได้เลยครับ เมื่อบริกรกล่าวข้อมูลจบ เอริต้าเดินไปตามทางที่บริกรผู้นั้นผายมือแนะนำให้ เธอเดินมาเลือกดูหนังสืออยู่ครู่หนึ่ง และเลือกหยิบหนังสือในชั้นนั้นมาสองเล่ม เธอมองเหรียญที่อยู่ในกระเป๋าตอนนี้ มีเงินอยู่ราว สามปอนด์เท่านั้น เธอคิดว่าอาจจะไม่พอสำหรับหนังสืออย่างดีสามเล่มเพื่อเบตตี้ เธอจึงวางหนังสือเล่มที่ปกมันวาวเล่มหนึ่งคืนใส่ชั้น และเลือกหยิบเล่มหนึ่งในราคา หนึ่งปอนด์เจ็ดสิบเซนต์มา เอริต้าหันมามองทางบริกรที่เคาเตอร์ เธอมองหาเขา แต่ขณะนี้เขาไม่ได้อยู่ที่เคาเตอร์เธอคิดว่าเขาคงอยู่ภายในร้านโดยเข้าไปด้านในซึ่งมีประตูอยู่ทางด้านข้างเคาเตอร์นั้น เอริต้าเดินมาเกือบถึงประตูแล้ว เธอถือหนังสือมามือหนึ่ง และอีกมือก็เต็มไปด้วยของพะรุงพะรัง ที่เพิ่งจ่ายตลาดมา ทันใดเธอเตะเข้ากับกองหนังสือตรงหน้าอย่างจัง พร้อมสบถออกมาด้วยความเจ็บ โอ๊ย ใครนะช่างเอาหนังสือมาวางตรงนี้ได้ เธอก้มลงมองหนังสือเล่มที่เธอเตะ หนังสือเล่มนั้นเป็นหนังสือที่ทำจากปกหนังและมีสภาพที่ค่อนข้างเก่าและมีป้ายราคาติดไว้เพียงห้าสิบเซนต์เท่านั้น เธอก้มไปหยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาดู ภายในภาพของหนังสือยังสดใสและดูเป็นของใหม่อยู่แม้ว่าภาพภายนอกจะดูคร่ำคร่าเต็มทีก็ตาม เอริต้าคิดว่าแม้หนังสือจะเก่าไปหน่อยแต่ก็พออ่านได้ เธอจึงเลือกที่จะหยิบหนังสือสองเล่มไปจ่ายที่เคาเตอร์
เมื่อถึงเคาเตอร์เอริต้าสั่นกระดิ่งเรียกบริกรออกมาเพื่อชำระเงิน บริกรผู้นั้นตรวจดูสินค้าแล้วคิดราคาหนังสือในราคา หนึ่งปอนด์เจ็ดสิบเซนต์เท่านั้นโดยให้เหตุผลว่า คุณผู้หญิงครับ หนังสือของร้านเรามีจำหน่ายแต่หนังสือใหม่ แต่หนังสือเล่มที่คุณถือมาจ่ายอีกเล่มนั้นไม่ใช่ของร้านเราแน่นอนครับ ดังนั้นเราไม่สามารถที่จะคิดเงินอีกเล่มได้ เอริต้าถามด้วยความกังวลเล็กน้อยว่า แล้วหนังสือเล่มนี้เป็นของใครกันละคะ แล้วดิฉันจะนำไปได้อย่างไรเมื่อไม่มีเจ้าของ บริกรจึงตอบด้วยน้ำเสียงตัดบทว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกันครับคุณผู้หญิง เราถือว่าเราเพิ่งเปิดบริการร้านใหม่เราขอแถมหนังสือเล่มนั้นให้เป็นสมนาคุณที่ คุณผู้หญิงเข้ามาที่ร้านเราเป็นรายแรกก็แล้วกันนะครับ เอริต้าจึงถือหนังสือทั้งสองเล่มกับสัมภาระที่มีมาตั้งแต่ต้นออกจากร้านไป เธอเดินไปถึงหน้าตรอกร้านหนังสือแล้ว ครู่หนึ่งเธอวางของแล้วมองหาพี่น็อค พี่ชายของเธอ แต่เมื่อไม่พบเธอจึงคิดว่าพี่ชายของเธอคงเดินกลับไปรอที่รถแล้วแน่นอน ขณะนั้นเองเธอขยับเครื่องแต่งกายให้กระชับและหยิบกระเป๋าเงินขึ้นมาเพื่อใส่เงินทอน เธอควานหาเงินทอนที่เก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อไม่พบ เธอพบเพียงแต่บิลใบหนึ่งเท่านั้น ในบิลปรากฏเพียงข้อความสำคัญเพียงข้อความเดียวว่า เพื่อเบตตี้เทพธิดาแห่งออลทูน เอริต้ายืนงงซักครู่เธอสำรวจเงินภายในกระเป๋าของเธอ ตายจริง เธอคิดในใจ เงินในกระเป๋าของเธอยังเหลือสามปอนด์เท่าเดิม เธอหันไปมองที่ร้านหนังสือที่เธอเพิ่งเดินออกมา แต่เบื้องหลังเธอไม่พบอะไร พบแต่ประตูเก่า ๆ ที่เขียนคำว่า สำหรับเช่า เท่านั้น แค่นี้ก็ทำให้ เอริต้าขนลุกเกรียว
เอริต้ารีบสาวเท้าเดินกลับไปที่รถของเธอ หวังที่จะให้น็อค พี่ชายดุเธอซักนิดว่าเธอมาช้าเพื่อที่จะได้ทำให้เธอรู้สึกว่าเธอหายเข้าไปในร้านหนังสือนานพอสมควร แต่ผิดคาดพี่ชายของเธอไม่พูดอะไรกลับหัวเราะร่าและบอกว่า เธอนี่เดินเร็วจริงเอริต้า มาถึงรถก่อนพี่เสียอีก กลัวลูกรอหรืออย่างไร เอริต้าเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้น็อคฟัง แต่ดูน็อคก็ไม่ได้กังวลอะไรกลับบอกอย่างปกติเสียด้วยเสียงที่ว่า จะเป็นอะไรไป กะอีแค่หนังสือสองเล่มเอง อย่ากังวลให้มากเกินไปน่า
เพียงครึ่งชั่วโมงเอริต้าและพี่ชายก็กลับมาถึงบ้าน ไม่ทันที่จะพ้นรั้วเข้ามาเจ้าโนว์สุนัขตัวเก่งของลูกสาว ก็ร้องเห่าดังขึ้นเพื่อต้อนรับบุคคลทั้งสอง ทำไมไม่เปิดไฟล่ะเบตตี้ ค่ำแล้วนะลูก เอริต้าไม่ได้ยินเสียงตอบ เธอสงสัยว่าลูกของเธอคงจะนอนหลับอยู่ที่โซฟา เธอจึงเดินมาดูลูกสาวที่นอนอยู่ และก็เป็นดังคาดเด็กน้อยนอนอยู่ที่โซฟาจริง ๆ
เบตตี้ จะทานอาหารเย็นเลยไหมลูกหรือว่าจะอาบน้ำก่อน เอริต้าถามลูกสาวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เด็กน้อยตอบด้วยน้ำเสียงที่งัวเงียชนิดคนเพิ่งตื่นนอน ไม่ดีกว่าค่ะแม่หนูของนอนต่อนะคะ จ๊ะ แล้วเดี๋ยวแม่จะเอาหนังสือเล่มใหม่ไปให้ที่ห้องนะจ๊ะเด็กดี เอริต้าเรียกลุงน็อคให้อุ้มเบตตี้ไปที่ห้องนอน ลุงน็อคบอกกับเบตตี้ว่า รีบนอนนะลูก แล้วพรุ่งนี้เจอกัน ราตรีสวัสดิ์
กลางดึกคืนนั้น เบตตี้ได้ยินเสียงเรียกเธอดังมาจากห้องข้าง ๆ เบตตี้ ราชินีแห่งข้า เบตตี้ ราชินีแห่งข้า ท่านจงช่วยพวกเราด้วย เบตตี้เทพธิดาแห่งออลทูน ท่านโปรดช่วยพวกเราด้วย เบตตี้งัวเงียตื่นมากลางดึก แต่ในความรู้สึกนั้นเธอคิดเสมอว่าเธออยู่ท่ามกลางความฝัน เธอเดินออกจากห้องของเธอพร้อมไม้ค้ำยันไปสู่ห้องห้อง ๆ หนึ่งซึ่งแม้จะไม่ค่อยสะดวกนักเท่ากับตอนที่ลุงน็อคอุ้ม แต่เธอก็คิดว่าสบายกว่าคราวก่อน ๆ ห้องนี้เดิมทีเป็นห้องของพ่อ พ่อและแม่สร้างไว้นานแล้ว แต่พ่อก็ไม่มีโอกาสได้มาอยู่เลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะอุบัติเหตุคราวนั้น แม่จึงปล่อยให้เป็นห้องเก็บของ แม้สภาพจะไม่แตกต่างอะไรไปจากเมื่อสองปีก่อน แต่เบตตี้ก็ยังคงจำสภาพของห้องได้อย่างเลือนลางเต็มทน กระจกบานใหญ่อยู่ทางด้านปลายเตียง เมื่อเปิดประตูเข้าไปจะอยู่ทางด้านซ้ายมือ บนที่นอนเธอเห็นหนังสือเล่มที่เป็นปกหนังนั้น เปิดกางอยู่ เธอเดินไปอย่างช้า ๆ
ทันใดนั้นเองกระจกที่อยู่เบื้องหลังของเธอก็ปรากฏร่างของชายหนุ่มที่อายุน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันกับเธอ ขออภัยที่ทำให้ท่านต้องตกใจ เจ้าหญิง ชายหนุ่มในชุดราชนิกูลตามแบบของนิยายโบราณโค้งคำนับและขอโทษเบตตี้ เบตตี้ตกใจแต่เสียงร้องไม่สามารถที่จะร้องออกมาได้ เธอจับไม้คำยันของเธอและเดินไปตรงหน้ากระจกที่ปรากฏร่างของชายแปลกหน้า เธอเป็นใครกัน และเข้าไปอยู่ในกระจกได้อย่างไร และเธอมาที่นี่ทำไม และทำไมเธอถึงมาตอนนี้ ชายผู้สูงศักดิ์ผู้มีสีหน้าที่อ่อนโยนปนความอ่อนล้าได้กล่าวอย่างมีแววขบขันว่า ใจเย็นเทพธิดาแห่งออลทูน ขอข้าอธิบายเรื่องราวของข้าซักครู่ ว่าแล้วร่างนั้นก็พลันเดินออกจากกระจก เบตตี้มองอย่างตื่นตะลึง แต่ก็ชอบในท่าทีอันสง่างามของชายแปลกหน้า
ข้าคือเจ้าชายอีโซเพียน ปริ๊น ออฟ ออลทูน ตอนนี้ที่ออลทูนที่ข้าปกครองกำลังมีปัญหา มีพวกมนต์ดำเข้ามาทำลายเรื่องราวเทพนิยายต่างๆ ที่พวกเราพิทักษ์กันอยู่ตอนนี้มันลามไปหลายเมืองแล้ว ข้าไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรกับพวกนี้ดี จนกระทั่งเมื่อสี่วันก่อน ข้าได้พบกับมิวส์ผู้เป็นองครักษ์ชั้นเงิน สลบอยู่ที่หน้าพระราชวัง ข้าคิดว่าเรื่องนี้คงจะต้องเป็นเรื่องใหญ่และอาจส่งผลกระทบต่อโลกของท่าน ข้าจึงเดินทางมาสู่โลกของท่านเพื่อขอความช่วยเหลือ เด็กสาวนั่งลงฟังเรื่องราวต่างๆ อย่างใจเย็น พร้อมทั้งสวนขึ้นมาทันควันว่า แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันล่ะเจ้าชาย เจ้าชายอีโซเพียน พยายามระงับท่าทีอันแสนยียวนของเด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้าแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวลแต่ชวนให้เบตตี้คลื่นไส้ว่า ข้าพบเอกสารชิ้นหนึ่งในบรรดาสามสิบห้าล้านเจ็ดแสนสองหมื่นสี่พันหกร้อยหกสิบหกเรื่อง กล่าวว่า... เบตตี้ทำตาโต เพราะแม้แต่เธอชอบอ่านหนังสือเพียงใด แต่เธอก็ไม่เคยได้ยินว่าที่ไหนมีหนังสือมากเท่าที่เจ้าชายผู้มาดมากผู้นี้กล่าว
...จากบันทึกนั้นกล่าวว่า เทพธิดาแห่งออลทูนผู้เป็นสตรีจากโลกอื่น จะเข้ามาช่วยดับภัยภายใต้คทาของเทพธิดาวีนัส ผู้เป็นมารดาแห่งความงาม ข้าค้นหามาตลอดสี่วันที่มิวส์มาถึงพระราชวัง และข้าก็แน่ใจว่าต้องเป็นท่าน เจ้าหญิง เบตตี้มองตนเอง และหันหน้าไปทางซ้ายที ขวาที ราวกับว่าเรื่องที่ได้ยิน และได้เห็นตรงหน้าเป็นความฝัน เจ้าชายแห่งออลทูนก็เร่งตอบอย่างอ่านใจออกว่า ท่านไม่ได้ฝันไปหรอกเจ้าหญิง ที่ออลทูน ทุกเรื่องราวในโลกของพวกท่านเป็นส่วนหนึ่งของตำนานที่เราเล่าขานกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของท่านเอริต้า แม่ของท่าน หรือว่าเป็นเรื่องของท่านน็อค ลุงของท่าน ที่ออลทูนก็มีเรื่องราวเหล่านี้เป็นข้อมูล แต่บอกไว้ก่อนว่าผู้ที่มีสิทธิอ่านข้อมูลเหล่านั้นมีเพียงสี่คนเท่านั้น ได้แก่ตัวข้าหนึ่งคน อัศวินชั้นเพชรหนึ่งคน ปราชญ์แห่งออลทูนหนึ่งคน และท่านเทพธิดาแห่งออลทูน
แต่ฉันไม่ได้ฝันไปจริง ๆ นะ หญิงสาวถามอย่างลังเลอีกครั้ง แต่คำตอบที่ได้ยินก็เป็นคำตอบเดิม แน่นอน ท่านเบตตี้ เจ้าชายย้ำคำ แล้วฉันจะช่วยท่านได้อย่างไร ในเมื่อขาของฉันไม่สามารถเดินได้ ต้องใช้ไม้เท้าค้ำยันในการช่วยเดินอย่างนี้ เจ้าชายนึกขบขันในใจ แต่ก็กลั้นหัวเราะไม่ให้ออกมา ท่านอย่ากังวลไปเลยที่ออลทูนเราสามารถที่จะแก้ไขรายละเอียดได้หากผ่านคนทั้งสี่คนตามที่ข้ากล่าวมา ท่านอาจที่จะแก้ไขเรื่องของขาท่านได้ที่นั้น หากท่านสัญญาว่าท่านจะไป ออลทูนกับข้าเพื่อช่วยข้าในการปกป้อง พิทักษ์ รักษาให้เทพนิยายต่าง ๆ กลับมาเช่นเดิม เด็กสาวลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะตัดสินใจเดินตามเจ้าชายผ่านกระจกไป เมื่อก้าวเข้าไปในกระจกแล้วขาที่มีอาการชาและแทบไม่สามารถกระดิกได้เลยของเบตตี้ เริ่มที่จะขยับได้เหมือนเมื่อสองปีก่อน เบตตี้รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก จึงกระโดดกอดเจ้าชายผู้สูงศักดิ์อย่างลืมตัว เมื่อเบตตี้เริ่มรู้สึกตัว สิ่งแรกที่เบตตี้นึกขึ้นได้ เบตตี้จึงถามเจ้าชายว่า แล้วแม่กับลุงของฉันล่ะ จะทำยังไงไม่ให้ท่านเป็นห่วง ถ้าฉันออกจากบ้านไป เจ้าชายคิดเริ่มคิด แล้วก็พยายามนึกอยู่ซักพัก
เพียงไม่ถึงห้านาที เจ้าชายเดินไปที่หนังสือปกหนังที่เอริต้า แม่ของเบตตี้ซื้อมา และหยิบคทาขนาดเล็กจากกระเป๋ากางเกง พลันร่ายมนต์บางอย่างเพื่อให้เกิดรูปร่างเบตตี้อีกคนหนึ่งในหนังสือดังกล่าว แอนโทนีพลัส แอนโทนีม คอปปี้ ลมจากหน้าต่างที่ปิดไม่สนิทเข้ามาในห้องทำให้เกิดเสียงที่เสียดสีกันดูวังเวง ผ้าม่านสีซีดที่ไม่เคยเปลี่ยนมาเมื่อสองปีก่อน ปลิวว่อน ลมรวมตัวกันเป็นวงทำให้เกิดรูปร่างคล้ายกับไต้ฝุ่นขนาดย่อม ของที่อยู่ภายในห้องบางชิ้นเริ่มสั่น และทำท่าเหมือนจะลอยเข้ามารวมกันที่จุดศูนย์กลางของไต้ฝุ่นจิ๋วนั้น ทางด้านล่างของไต้ฝุ่นตอนนี้ไปรวมตัวกันที่หนังสือปกหนังเล่มเดิม และทันใดนั้นเอง น่าอัศจรรย์ที่สุด เบตตี้อีกคนค่อย ๆ ก้าวออกมาจากหนังสือปกหนังนั่นเอง รูปร่างของเบตตี้ที่วาดขึ้นมาใหม่จากคทานั้น ไม่ผิดเพี้ยนไปจากเบตตี้เลย เพียงแต่ว่าเบตตี้คนใหม่นี้ไม่มีไม้เท้าลายองุ่นยอดเป็นเทพธิดาวีนัสเท่านั้นเอง
โอ้โห เธอมีเวทมนต์ด้วยหรือนี่ เบตตี้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ชื่นชมเป็นอย่างมาก เพราะเธอได้รับการซึมซับมาจากลุงน็อคมากไปหน่อย ก็นิดหน่อยเท่าที่ฉันมี เท่านั้น ตอนนี้ปัญหาของท่านหมดแล้วใช่ไหม เจ้าชายอีโซเพียน กล่าวขึ้นมาด้วยสีหน้าที่ยิ้มกริ่ม เอ แต่ข้าว่า ข้าลืมอะไรไปซักอย่างนะ ท่านว่าอะไรขาดหายไปนะ เจ้าชายแห่งออลทูนถามเบตตี้เพื่อทดสอบดูว่าเธอจะสามารถที่จะใช้ปัญญาในการช่วยแก้ไขปัญหาได้หรือไม่ ฉันว่าเราต้องเติมความรู้สึกให้เจ้าตุ๊กตาตัวนี้ซักนิดและเติมความคิดให้มันซักหน่อยก็ใช้ได้ อ้อ แต่ถ้าให้ดีตอนนี้ให้แม่เห็นตุ๊กตาตัวนี้เดินไม่ได้ทั้งสองข้างก่อนดีกว่า หากแม่รู้เข้าแม่ต้องสงสัยแน่ว่า เพียงคืนเดียวทำไมฉันถึงเดินได้ เบตตี้พูดอย่างเคยชิน
แล้วเราจะทำอย่างไรกันดีล่ะเจ้าหญิง เจ้าชายแกล้งทำสีหน้าครุ่นคิด ทันทีที่เสียงจบลง เบตตี้ลองถามเจ้าชายด้วยถ้อยคำที่ว่า เธอว่าตอนนี้ฉันมีเวทมนต์ไหมล่ะ ถ้าฉันมีฉันก็จะทำตามวิธีของฉัน เพียงเท่านั้น เจ้าชายอีโซเพียนก็ยกคทาที่มีขนาดเท่าปากการ่ายเวทมนต์ไปที่เบตตี้ ร่างกายของเบตตี้ตอนนี้เริ่มมีความร้อนที่อบอุ่นอย่างประหลาดซึมซับเข้าสู่ร่างกาย และเสื้อผ้าที่เป็นชุดนอนสีขาวแต่เดิม แปรเปลี่ยนสภาพจากเดิมเป็นชุดกระโปรงชิ้นเดียวต่อกับเสื้อ ขนาดยาวกรอมเท้า ที่เอวของเธอมีใบไม้สีเงินคาดไว้อย่างพอดีตัว ผมที่ยาวประบ่าของเบตตี้ตอนนี้ถูกถักและรวบไว้อย่างเรียบร้อยราวกับมีช่างผมที่มาจากร้านในเมืองที่โด่งดังเป็นผู้ทำให้ และที่สำคัญมงกุฎที่ถักจากทองที่รีดเป็นเส้นและนำมาประดิษฐ์ให้เกิดรูป บัดนี้ได้อยู่บนหัวของเบตตี้อย่างสวยงาม ของใกล้มือเบตตี้ที่ใช้เป็นประจำ ไม้ค้ำยันของเบตตี้ ได้แปรสภาพจากเดิมขนาดที่ยาวถึงหนึ่งเมตรแปดสิบเซนต์ ได้หดขนาดเล็กลงเท่ากับคทาที่ยาวประมาณหนึ่งฟุต แม้เบตตี้จะมีความรู้สึกไม่ชอบสภาพที่เจ้าชายถือโอกาสเปลี่ยนสิ่งต่าง ๆ ให้เธอ แต่เธอก็ทำได้แต่เพียงเก็บความคุ่นเคืองไว้ในใจ
ท่านมีเวทมนต์แล้วเจ้าหญิง ท่านสามารถที่จะกระทำได้ทุกอย่างที่ท่านคิด และสามารถที่จะจัดการกับเจ้าตุ๊กตาตัวนี้ ปริ๊นซ์ออฟออลทูนกล่าวด้วยน้ำเสียงพอใจต่อผลงาน เบตตี้ กระแทกเสียงอย่างดังตอบรับเจ้าชายผู้ถือโอกาสว่า ขอบใจ ถ้าฉันเป็นเธอฉันจะไม่ตั้งใจแปรสภาพคนอื่นหรอกนะ เจ้าชายหน้าเสียเล็กน้อย แต่พยายามที่จะรักษารอยยิ้มบนใบหน้าเอาไว้
เบตตี้ดึงผมของเธอออกมาสี่เส้น และเธอใช้ไม้ค้ำยันที่ตอนนี้แปรสภาพเป็นคทาไปแล้ว แล้วเธอก็เริ่มร่ายเวทมนต์ตามแบบฉบับของเธอ ผมของข้าทั้งสี่ หนึ่งจงเป็นความคิด สองจงเป็นสติปัญญา สามจงเป็นเสมือนตัวข้า สี่จงรักษาความลับไว้ให้คงทน ทันใดนั้นผมของเบตตี้ทั้งสี่เส้นลอยขึ้นเหนือหัวของตุ๊กตา และฝังลงไปในร่างของตุ๊กตาตัวนั้น ร่างกายที่มีสภาพเป็นเบตตี้ตอนนี้เริ่มขยับเขยื้อน และลืมตาขึ้น หากว่าเจ้าชายไม่ทราบความจริงว่าตุ๊กตาที่อยู่ตรงหน้านั้นเป็นเวทมนต์ที่เสกขึ้น คงคิดว่าเบตตี้มีพี่น้องฝาแฝดเป็นแน่ เบตตี้ตัวปลอมโค้งคำนับเจ้าชายและโบกมือให้กับเบตตี้ครั้งหนึ่ง คำอุทานของเบตตี้ดังลั่นออดมาเมื่อประสบความสำเร็จ แจ๋ว ทีนี้ไปกันได้แล้วล่ะ
เบตตี้เริ่มที่จะคุ้นเคยกับการเดินด้วยขาของตนเองภายในระยะเวลาไม่กี่นาที ด้วยเวทมนต์และสภาพของขาที่ไม่มีอะไรผิดปกติอยู่แล้ว ทำให้สามารถที่จะขยับร่างกายได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ตอนนี้เบตตี้ยืนอยู่ด้านหลังเจ้าชายอีโซเพียน เตรียมพร้อมที่จะเดินทางไปสู่โลกแห่งออลทูน แม้ว่าเบตตี้จะไม่ทราบรายละเอียดของดินแดนแห่งนี้ก็ตาม แต่สิ่งแรกที่เบตตี้คิดก็คือ อย่างน้อยก็ดีกว่าเดินไม่ได้และนอนอ่านหนังสือยู่บนเตียงน่า
หลังจากที่เจ้าชายใช้เวทมนต์เสกร่างเธอให้กลายเป็นเทพธิดาองค์น้อย ๆ ด้วยเวทมนต์ชั้นสูงแล้ว แต่อย่างไรเบตตี้ก็ยังเป็นเบตตี้คนเดิมความช่างพูดของเธอไม่ได้จบลงทันที นี่เจ้าชาย ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่า ถ้าฉันก้าวเข้าไปในกระจกแล้ว ท่านจะไม่คิดร้ายต่อฉัน เจ้าชายที่อยู่เบื้องหน้าชะงัก จนแทบจะเรียกว่าตัวแข็งเลยที่เดียว ก่อนที่จะหันมาด้วยสีหน้าที่แดงก่ำ ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอกน่ายัยบ๊อง นี่เป็นครั้งแรกในรอบประวัติศาสตร์ของออลทูนหรือเปล่าเนี่ย ที่ผู้พิทักษ์ตำนานเกิดอารมณ์หงุดหงิดเพราะสาวน้อยที่ช่างเจรจา อย่างหมดความอดทน