1 มิถุนายน 2547 01:02 น.
เอกมาศ
จิตร ภูมิศักดิ์
ใครหนอใครใยเล่าจักรู้เรื่อง
ชายหนึ่งยามนามกระเดื่องเมื่อชีพสิ้น
ตารางขังเขาแต่ตัว หัวใจกลับโบยบิน
ทุกสิ่งเสียสิ้นเมื่อชีพสิ้นกาล
จิตร ภูมิศักดิ์ จากชีวิต
นามนั้นลิขิตให้ชีพสิ้นสังขาร
เขาตายอย่างไร้ค่าประมาณ
แต่ต่อมาก้องนาม คนไถ่ถามอยากเรียน
ขอร่วมไว้อาลัยแก่ จิตร ภูมิศักดิ์ แสงเทียนแห่งวิถีประชา และขออนุญาตินำเสนอผลงานของคุณจิตร หรือ สหายปรีชา เพื่อประโยชน์แก่ ประชาชาติชาวสยามทุกคน
แสงดาวแห่งศัทธา
พร่างพรายแสง ดวงดาวน้อยสกาว
ส่งฟากฟ้าเด่นพราวไกลแสนไกล
ดั่งโคมทอง ผ่องเรืองรุ่งในหทัย
เหมือนธงชัย ส่งนำจากห้วงทุกข์ทน
พายุฟ้า ครืนข่มคุกคาม
เดือนลับยาม แผ่นดินมืดมน
ดาวศรัทธา ยังส่องแสงเบื้องบน
ปลุกหัวใจปลุกคนอยู่มิวาย
ขอเยาะเย้ยทุกข์ยากขวากหนามลำเค็ญ
คนยังคง ยืนเด่นโดยท้าทาย
แม้ผืนฟ้า มืดดับ เดือนลับละลาย
ดาวยังพราย ศรัทธาเย้ยฟ้าดิน
ดาวยังพรายอยู่จนฟ้ารุ่งราง
เสียงเพรียกแห่งมาตุภูมิ
ม่านฟ้ายามค่ำ ดั่งม่านสีดำม่านแห่งความร้าวระบบ
เปรียบ เหมือนดวงใจ มืดทึบระทม พ่ายแพ้ซานซมพลัดพรากบ้านมา
ต่อสู้กู้ถิ่น และสิทธิ์เสรีกู้ศักดิ์และศรีโสภา จึงพลัดมาไกล ทิ้งไว้โรยรา จะร้างดังป่าอยู่นับปี
เคยสดใส รื่นเริง ดังนกเริงลม ถลาลอยชื่นชม อย่างมีเสรี แม้ร้อยวัง วิมานที่มี มิเทียมเทียบปฐพีที่รักมั่น
ความใฝ่ฝันแสนงาม แต่ครั้งเคยเนาว์ ชื่นหวานในใจเราอยู่มิเว้นวัน ความหวังยังไม่เคยไหวหวั่น ยึดมั่นว่าจักได้คืนเหมือนศรัทธา
แว่วเสียงก้องกู่ จากขอบฟ้าไกล แว่วดังจากโพ้นนภา บ้านเอ๋ย เคยเนาว์ กังวานครวญมา รอคอยเรียกข้าทุกวัน
เพื่อลบรอยคราบน้ำตาประชาราษฎร์
สักพันชาติจักสู้ม้วยด้วยหฤหรรษ์
แม้นชีพใหม่มีเหมือนหวังอีกครั้งครัน
จักน้อมพลีชีพนั้นเพื่อมวลชน
บทกวีบทนี้ แปลมาจากบทกวีของ อาเวตีก อีสากยัน กวีประชาชนแห่งอารเมเนีย แปลโดย จิตร ภูมิศักดิ์ ซึ่งได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของ จิตร ภูมิศักดิ์ ไปแล้วนั้น บทกวีบทนี้มีเพื่อนสนิทของจิตร ชื่อ โยธิน มหายุทธนา ได้เริ่มแปลออกมาก่อน ว่า
เพื่อขจัดคราบน้ำตาประชาราษฎร์
ถึงชีวาตม์สิ้นพันครั้งยังหรรษา
แม้ตนกูเกิดได้อีกสักครา
จักอุทิศชีวาเพื่อมวลชน
ขอมอบแก่ผู้เป็นกวีด้วยจิตรและวิญญา แห่งประชาราษฎร์
30 พฤษภาคม 2547 01:30 น.
เอกมาศ
รอยยิ้มจากคนไกล
ยิ้มหวานจากคนไกล
จะหวานหอมเท่าใดกับใครนั้น
หากคิดจะจดจะจำ
เท่าที่ฉันนั้นจินตนา
เพรียกสำเนียงแว่วแผ่ว
แว่วสำเนียงเรียกหา
กี่วันแล้วที่จากลา
ลมหวนมายังอาลัย
อีกคืนที่มืดดับ
เก็บความลับนั้นไฉน
เร่าร้อนเท่าร้อนใจ
เป็นความนัยจากใจจริง
รอยยิ้มที่สดชื่น
กับค่ำคืนที่พร่ำพริ้ม
เอนอกเข้าแอบอิง
เกินกว่าฉันจินตนาการ
ไกลขอบรอบฟ้านภากั้น เพียงหวาดหวั่นไหวสะท้าน
ไกลห่างไกลแสนสุดกันดาร จะพบพานอีกกี่เพลา
อีกหนึ่งคนห่างคนคิดถึง หวั่นหวาดพรั่นพรึงในอุษา
จะมั่นคงแน่จิตและวิญญา เท่าที่ฟ้ากำหนดมานั้นกระไร
30 พฤษภาคม 2547 00:09 น.
เอกมาศ
มหามกุฎไกลบ้านแห่งสยาม
มหามกุฎแห่งสยามไกลบ้าน
จรจากสยามมานานเนิ่น
ล่วงศตวรรษนิมิตหมายเอิกเกริก
บนผืนจันทร์เพลิดพิศนิภา
มหามงกุฎกษัตริย์
โทมมนัสเป็นนักหนา
เหนือเกล้าอยู่ไกลตา
ใต้พื้นพสุธาลำน้ำเซน
เจ้า....เอมไปร์ เดอ ฟร็องซ์
แลผองพวกที่ข่มเหง
ทั้งราชสีห์ เกรท บริเตน
โลกหล้าทาเสนดั่งหลั่งเลือดปฐพี
ชาโต เดอ ฟองเตนโบล
อัครราชทูตสมราศี
ราชทูตจากแดนไกลถิ่นที่
ถวายถ้อยสุนทรีแด่องค์
เอมปิโร นโปเลยอน
ที่ยอกย้อนจนสับสน
เคยรุกราน ไชนีสชน
แลสยามอีกองค์เป็นถัดไป
เบื้องผืนสุวรรณภูมิ
เชิดชูพุทธศาสตร์กว่าแดนไหน
อีกองค์สยามเทวาลัย
ป้องไท้ผองไผท สยามชน
โอ้...พระมหามกุฎ
เป็นที่หยุดคราเคราะห์หน
สยามประเทศรอดในบันดล
ด้วยบาทผลแห่งพระบารมี
พิพิธภัณฑ์ เดอ ฟองเตนโบล
มหามกุฎ โก้ สง่าราศี
มงกุฎสยามนอกผืนปฐพี
บนถิ่นนี้ที่ ฟองเตนโบล
.......ราชสำนักสยามแห่ง ลุ่มเจ้าพระยา...กับ กษัตริย์ นักปราชญ์ แห่ง ราชจักรีวงศ์.....สมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฏ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว....พระเจ้า กรุงสยาม........นบน้อมสักการะ ดวงพระวิญญา แด่ เบื้องพระบาท....
27 พฤษภาคม 2547 19:17 น.
เอกมาศ
กระบี่คือกระบี่พู่กันไซร้
ข้าเช่นใครไหนที่ไหลหลง
อักษรกระบี่คู่นี้เจตจำนงค์
ที่เร้นร่างกลางดงพ้นราคี
ที่รักข้าปักดอกเบญจมาศ
ปากแต้มชาดงามอาจรัศมี
ข่มจันทราคืนเดียวเหลียวบ่มี
เท่าคนรักข้านี้งามนิจนิรันดร์
กระบี่พร่องเงียบสงัด
กับดาบฝักที่คับขัน
หลุดมาบิ่นนิลกรรณ
มาฟาดฟันจนวอดวาย
หิมะเอยเคยฟังไหม
เสียงหัวใจเมื่อยามสาย
หัวใจสลายข้าใกล้ตาย
โอ้..ชีวายข้ารักเจ้าหิมะเอย
27 เมษายน 2547 12:11 น.
เอกมาศ
ในชีวิตมนุษย์ ที่สิ้นสุดสุมาลย์สมร
ที่ไขว่ขว้าดารากร ที่ยอกย้อนจนวนใจ
ในชีวิตตัวข้า ที่พัดพายามหวั่นไหว
ถี่ระทึกลงกลางใจ เพียงหลงใหลในตัวตน
ในชีวิตเพื่อนพ้อง ยามเรียกร้องเจตน์ประสงค์
เพียงใฝ่ฝันในจำนงค์ กลับต้องล้มเมื่อก้าวเดิน
ในอัตตาชีวาวาต ที่ชูชาติดังหงษ์เหิร
แต่ร่อนสู่พื้นดินเดิน ระหกระเหินทุกทีไป