28 มีนาคม 2549 16:48 น.
เสือยิ้มมุมปาก
ฉันชอบตอนเช้า ตอนเช้าที่ฝนตก ฉันปรารภขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน เพียงเสียงลมหายใจเท่านั้นที่บ่งบอกถึงความมีชีวิต
ฉันมีความสุขนะ นั่งมองสายฝนผ่านจุดเดิมเดียวกันกับ.. ขณะสายตาจับอยู่ที่ดอกจำปาซึ่งค่อยโน้มตัวลงเมื่อสายฝนโปรยผ่านและดีดตัวกลับอีกครั้งเมื่อเม็ดฝนผ่านพ้นไป
ดีจริงๆเลยที่วันนี้ฝนตก,ฉันคิดกับตัวเอง บ่ายวันนี้ต้องออกนอกบ้าน มีธุระสำคัญ ฝนตก,.ก็ไม่ได้ทำให้ความพยายามลดลง ใช่ ฉันต้องไปให้ได้ .. ฉันไม่ไปไม่ได้ ไม่ใช่สิ อย่างไรก็ตามฉันก็ต้องไป
และอีกครั้งที่วันนี้กาแฟหอมกรุ่น ลอยออกจากถ้วยกาแฟเบื้องหน้า ในวันที่ฝนตกเช่นนี้ ฉันมักจะใช้มือกุมถ้วยกาแฟไว้ เพื่อกำซาบไว้ซึ่งความอุ่นทรวง ย้อนคำนึงถึงความทรงจำในห้วงสุข..,แหละวันนั้นก็เป็นอีกวันที่ฝนตก ฉันจำได้..
ฉันลากเก้าอี้ไม้มาวางริมหน้าต่าง จิบกาแฟและมองออกไปอย่างครุ่นคิด .. ฉันนึกอยากนั่งนิ่งๆอย่างนี้นานๆ อาจเป็นไปได้ กว่าจะบ่าย เวลาเหลือเฟือ,ฉันคิด
ฝนยังคงตก ในขณะที่เด็กนักเรียนประถมสี่ห้าคนกึ่งวิ่งกึ่งเดินฝ่าสายฝน โคลนแฉะไม่ได้ทำให้พวกเขาระแคะระคายหรือหวาดหวั่นต่อก้าวย่างที่จะย่ำต่อไปทีละก้าว น้ำโคลนกระเซ็นเปรอะเปื้อนถุงเท้าสีน้ำตาลซีด กระเป๋าใบเขื่อง ลอยตัวเหนือศีรษะเด็กๆ ประหนึ่งร่มกันฝน รอยยิ้มและเสียงหัวเราะก้องกระทบโสตประสาทของฉัน ., ในวันฝนตกพวกเด็กๆก็มีความสุขเหมือนกันกับฉัน
,
ตอนบ่าย, ฟังบรรยายวิชาวรรณคดีเสร็จ เดินออกจากคณะ ยังไปได้ไม่ไกล ฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก รู้สึกแย่จัง! รีบวิ่งเข้าใต้ตึก หลบฝน รู้สึกหนาวๆ ฮัดชิ้ว ตอนนี้กำลังจามอยู่เลย เป็นหวัดแน่ๆ เฮ้อ ทำยังไงดี พรุ่งนี้มีสอบวิชาการแสดง ไม่รู้ตานั่นจะมามั้ยนะ ? คิดมาก บ้าไปแล้ว .. หลับดีกว่า ราตรีสวัสดิ์
ฉันละเลียดกาแฟแก้วที่สองของวันอันกรุ่นละมุนอย่างเชื่องช้า แก้วแรกเพื่อเติมเต็มรสสเน่หาซึ่งขาดหายไปเมื่อนอนหลับ และแก้วที่สองเพื่อเพิ่มพลังแห่งชีวิตในช่วงวัน แต่บางครั้งก็เพียงต่อลมหายใจ .. ฉันรับรู้และเข้าใจว่าเหตุอันใดใครหลายคนจึงเลือกที่จะเริ่มต้นวันใหม่ด้วยกาแฟ,ฉันคิด
..,
ตื่นเต้นมาก วันนี้มีสอบวิชาการแสดงวรรณคดี ซ้อมมาก็หลายวัน ไม่ได้กลัวอะไรนอกไปเสียจากสายตาเจ้าเล่ห์คู่นั้น จะทำได้มั้ยเนี่ย อย่ามาเลยนะ แสดงล่มมีหวังโดนแน่ ขอทีเถอะ ขออย่าให้เป็นอย่างที่คิดเลย เพี้ยง สาตุ๊ๆ
อีกครั้งที่วันนี้ฉันตื่นมาพบกับพระสงฆ์ซึ่งเดินบิณฑบาต ฉันเพียงแต่ตั้งจิตอนุโมทนาบุญเท่านั้น ช่างแปลกนัก ที่เมื่อก่อนกับทุกวันนี้มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง .. ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม คำตอบยังคงซ่อนอยู่ภายใต้แววตาพร่าหม่นคู่หนึ่ง แต่มันก็สายเกินไปที่จะเฟ้นหาคำตอบนั่น
..,
เอาอีกแล้วผ่านมาอีกจนได้ นายนั่น มาที่หอประชุมคณะ ยิ้มกรุ้มกริ่ม ไม่รู้ว่ายิ้มให้ใคร หรือจะเป็นเรานะ แต่คงไม่ใช่หรอก หรือถ้าใช่ เชอะ.. เราไม่ยิ้มตอบหรอกน่า มันไม่ง่ายขนาดนั้น แต่มันก็แปลกนะ หลังจากวันนั้น วันที่แสดงเสร็จน่ะ ไม่เคยเลยที่จะเดินผ่านตึกเด๊ค แต่จู่ๆ เรากลับเดินไปวนเวียนหน้าตึกคณะเด๊ค คิดมากไปรึป่าว ฮึ? .. บ้าปล่าๆน่า
เสียงเพลงคุ้นหูจากการบรรเลงเปียโนของโชแปง แว่วกระทบโสตประสาท ยิ้มน้อยๆค่อยๆผุดพรายขึ้นที่มุมปาก แต่ทว่าน้ำตาเม็ดใสกลับค่อยๆไหลรินจากเบ้าตาทั้งสองข้าง ช้าๆราวกับต้องการสงวนท่วงท่าและลีลาของตนไว้ ฉันเชื่อ,มันคือน้ำตาแห่งความสุข .. ใช่ ฉันมีความสุข
..,
อืม บันทึกหน้าสุดท้ายของเราแล้วสินะ ไดอารี่หมดเล่มซื้อใหม่ได้ แต่นี่เราเรียนจบแล้วสิ .. จะมีโอกาสแบบนี้อีกมั้ย ช่วงเวลาแห่งความสุข เมื่อวานตานั่นบอกเราว่า ไม่ว่าเราจะจากกันไปนานแค่ไหน แต่ในวันฝนตกที่เรารู้สึกเหมือนกัน เราจะมาเจอกันที่ร้านกาแฟข้างมหาลัย .. แต่แววตาเขาบ่งบอกว่าเชื่อมั่นแน่ ว่าเราจะกลับมาเจอกัน ด้วยความรู้สึกที่เหมือนเดิม อ้อ!เกือบลืม ตานั่นให้แผ่นโชแปงมาด้วย
ใครกันมาเคาะประตูเรียกแต่เช้า เดินออกไปดูสักหน่อย บุรุษไปรษณีย์นี่เอง คงเป็นค่าน้ำค่าไฟเหมือนทุกเดือน,ฉันคิด
เอ๊ะใครกัน ส่งโปสการ์ดมาให้ โปสการ์ดสีน้ำซะด้วยสิ ลายเส้นคุ้นๆ เหมือนฉันจะเคยเห็นนะ เคยเห็นที่ไหนหว่า ตามหน้าหนังสือสิปประภา .. นึกไม่ออก ฉันบ่นกับตัวเองด้วยเสียงขาดเป็นห้วงๆซึ่งเปี่ยมด้วยความสับสนปนสงสัย พลางครุ่นคิดถึงเจ้าของภาพวาดสีน้ำบนโปสการ์ดขนาดกะทัดรัดนั่น
พลิกดูอีกด้านที่เป็นส่วนข้อความ ภาพความทรงจำอันคุ้นเคยปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ฝนยังคงโปรยเม็ดต่ออย่างสม่ำเสมอในขณะที่ฉันแต่งตัว ฉันเลือกกางเกงยีนส์เข้ารูปอย่างดี สวมคู่กับเสื้อผ้าฝ้ายทอมือที่เพื่อนเก่าสมัยเรียนซื้อมาฝากจากเชียงใหม่ นานๆครั้งฉันจึงจะหยิบเสื้อชุดนี้มาใส่
ในวันที่ฝนตกเช่นนี้,ฉันควรใส่เสื้อผ้าสบายๆ ปล่อยอารมณ์แข่งไปกับสายฝน บางทีความรู้สึกเก่าๆอาจหวนกลับคืนมาในวันฝนตกเช่นนี้ก็เป็นได้
ฉันขับรถฝ่าสายฝนที่ตกโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง นึกอยากเปิดเพลงบรรเลงเบาๆ แต่บรรยากาศท่ามกลางสายฝนเช่นนี้ ฉันควรจะใช้สมาธิปลดปล่อยไปกับบรรยากาศรอบข้าง ขับรถตีโค้งเป็นระยะ มองย้อนกลับไปตามเส้นทางเดิม ภาพโพลาลอยด์วางแผ่อยู่ข้างๆที่นั่งคนขับ ทุกครั้งที่ฉันรู้สึกประทับใจ การถ่ายภาพเก็บไว้คือสิ่งที่ดีที่สุด และแม้ใครหลายๆคนจะเคยบอกไว้ว่า เวลาที่เราประทับใจหรืออยู่ในสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดความพึงใจ กับกำซาบความรู้สึกที่ดีที่สุด .. อาจจะจริง แต่สำหรับฉันยังไม่ใช่ในเวลานี้
ฉันยังคงขับรถขนานไปกับทิวเขา ผ่านทุ่งนาเขียวชอุ่ม กระท่อมไม้ไผ่ และลมหายใจชาวนาที่ยังคงผ่อนเร่า ถนนในยามเปียกฝนยิ่งดำเข้มกว่าทุกวัน พื้นถนนครานี้เป็นมันวาว เลี้ยวผ่านข้างโรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง อีกไม่กี่กิโลเมตรข้างหน้าก็จะออกสู่ถนนใหญ่ ใจเต้นระรัวเหมือนครั้งหนึ่งที่ผ่านมา
ฉันค่อยๆชะลอรถอย่างช้าๆจอดเทียบหน้าร้านกาแฟ ติดผนังกระจก ฉันจ้องมองป้ายไม้หน้าร้านสลักลายมือ maison de café บ้านกาแฟ ฉันเกือบตัดสินใจก้าวเข้าไปในร้าน ร่มใช่ฉันลืมร่มไว้ในรถ กลับไปเอาร่มก่อนดีกว่า,ฉันคิด
ฉันเดินย้อนกลับมาตามฟุตบาททางเดิมอีกครั้ง ฝนยังคงตกอยู่เช่นเดิม ร่มคันเก่าของฉันยังทำหน้าที่ของมันได้เป็นอย่างดี ฉันเดินเรื่อยๆ ห้วงคำนึงมีเพียงข้อความในโปสการ์ดสีน้ำ และบันทึกสุดท้ายจากไดอารี่เล่มนั้น
ฉันยังคงยืนอยู่หน้าร้านกาแฟแห่งเดิม กางร่มพร้อมสะบัดให้แห้ง ผมดำขลับของฉันโดนสายฝนกระเซ็นใส่ สัญชาตญาณเหมือนมีใครจ้องมองอยู่ผ่านกระจกสีชาจากในร้าน ฉันหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา กดหาเบอร์ที่ต้องการ แบตเตอรี่หมดเสียแล้ว .. จะทำยังไงดี จะทำยังไงดี,ฉันครุ่นคิดกับตัวเอง
หันกลับไปมองในร้าน มองเห็นสายตาคุ้นเคยคู่หนึ่งกำลังจ้องมองมาที่ฉัน แต่พลันสายตากลับมองไปที่หญิงสาวร่างท้วมอีกคนหนึ่ง หล่อนคนนั้นก้าวเข้าไปในร้านกาแฟโดยมิได้หยุดเพื่อมองหรือครุ่นคิดใดๆเหมือนฉัน ชายในร้านยิ้มกว้างกับหญิงผู้นั้น แต่ท่ามกลางความว่างเปล่าที่ตอบสนอง ชายผู้นั้นมีสีหน้าตกตะลึงในบางอย่าง ริมฝีปากเผยอ ฉันคิดว่าเขาพยายามพูดกับฉัน ..
ร่มปราศจากหยดน้ำ ปลายรองเท้าผ้าใบเริ่มแห้งแล้ว ฉันตัดสินใจเดินเข้าไปในร้านด้วยท่วงท่าที่ใครหลายคนต่างมองว่าเป็นวินาทีการก้าวเดินของนางพญาหงส์ เช่นนั้นทีเดียว ฉันจ้องมองใบหน้าของชายผู้นั้นในขณะเดียวกันที่เขาก็จ้องมองมาที่ฉันเช่นกัน และรอยยิ้มกว้างก็เปิดขึ้น เสียงหัวเราะทุ้มๆแฝงไว้ด้วยความรู้สึกอบอุ่นทุกครั้งทีได้ยินก็ระเบิดออก
ฉันเร่งฝีเท้าเดินไปที่โต๊ะเล็กๆมุมหนึ่งของร้าน บรรยากาศสลัวๆเช่นนั้นทำให้ฉันเริ่มไม่แน่ใจกับความคิดของตนเองอีกครั้ง
ผมสั่งเหมือนเดิมนะครับ
ค่ะ คาปูชิโน
ดีใจจังที่คุณจำได้ว่าผมชอบดื่มกาแฟอะไร
ไม่เคยมีที่จะลืมเรื่องราวของเราค่ะ
เสียงขับกล่อมจากศิลปินหญิง ลอรีนา แม็คแคนนิสต์ ดังขึ้นจากมุมหนึ่งของเครื่องเสียงชั้นดี ซ่อนตัวภายใต้รูปลักษณ์ของกรอบแผ่นเสียงทองคำ ฉันพยายามสบตาเขา ในขณะแววตาอบอุ่นคู่นั้น ที่ครั้งหนึ่งฉันกลับคิดว่าเป็นแววตากรุ้มกริ่มเจ้าเล่ห์กำลังพยายามวิ่งตามการแอบหนีของฉันอยู่เป็นระยะ
ไม่น่าเชื่อนะ ที่เราจะรู้สึกเหมือนกันและกลับมาพบกันอีกครั้งในวันฝนตก
อะไรก็เป็นไปได้ค่ะ
เสียงโทรศัพท์เขาดังขึ้น เขาขอตัวตามมารยาทแต่ก็ยังคงนั่งคุยอยู่ตรงที่เดิม ราวมองไม่เห็นว่าฉันก็นั่งอยู่เบื้องหน้าเขา จำสำเนียงได้ว่าเขาคงคุยกับลูกชายที่โทร.มาปรึกษาเรื่องพาสปอร์ตที่คงมีปัญหา .. เอ๊ะ เขามีลูกชาย มีครอบครัวแล้วสิ , ฉันซักถามกับตัวเอง
คุณแต่งงานแล้วเหรอคะ
ผมน่ะ ลูกสองแล้วครับ คุณล่ะ
ก็เรื่อยๆ
คุณชอบพูดอะไรเป็นปมให้ผมขบคิดอยู่เรื่อยเลยนะครับ
และเขาสารภาพกับฉันว่า เขาคิดว่าการมาพบกันในวันนี้ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเปลี่ยนแปลง เขาคิดว่าฉันคงอ้วนตุ๊ต๊ะ เป็นยายแก่บ้างาน .. และความรู้สึกที่เคยมีอาจแปรสถานะไป
คุณรู้มั้ย ว่าทุกอย่างของเรายังเหมือนเดิม
ฮื่อ ฉันเพียงแต่ตอบรับ แต่ความรู้สึกในใจกับลิงโลดและเต้นไม่เป็นส่ำ เมื่อได้ยินคำพูดนั้นจากปากเขา ฉันคิดในใจ,เขาจะพูดเหมือนที่รู้สึกจริงๆหรือ แต่ผู้ชายอบอุ่นอย่างเขา คงไม่โกหกเพียงเพื่อให้ฉันสบายใจหรอกนะ
เขาอ้อมแอ้มอะไรบางประโยคอยู่หลายนาที จากนั้นค่อยๆล้วงกล่องแบนๆออกมาจากกระเป๋าเอกสาร หยิบมันวางเบื้องหน้าฉัน เขาพยายามจะพูดอะไรบางอย่างออกมา ฉันเอื้อมมือไปป้องปากเขาไว้
พอเถอะค่ะ ไม่ต้องพูดแล้ว ฉันเข้าใจ ฉันเข้าใจเสมอ
ชีวิตจริงและชีวิตในห้วงฝันใช่ว่ามันจะไปด้วยกันไม่ได้ มันไปด้วยกันได้ค่ะ เพียงเราแยกแยกให้ถูกต้อง ให้เหมาะสมกับความสมดุลของชีวิต
การงานและความรู้สึกงั้นหรือ? เขาถามฉันพลางเลิกคิ้วพองาม ฉันรู้สึกเหมือนเขายังคงเป็นนักศึกษาศิลปะคนเก่าที่คุ้นเคย
ใช่แหละ
ฉันและเขาปล่อยเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกัน