3 พฤษภาคม 2547 13:28 น.
เสือยิ้มมุมปาก
>~~>แด่ คนที่เห็นแฟนดีกว่าพ่อแม่
>
>
>....หลังวาเลนไทน์
>
>
>วันที่ 14 กุมภา ผมเป็นอีกคนหนึ่งที่เหมือนคนทั่วไป
>กุหลาบ ช็อคโกแลต คำบอกรัก
>สามสิ่งนี้ต้องเวียนเข้ามาหาชีวิตผมเพื่อให้คนคนหนึ่งทุก ๆ
>ปีในวันนี้
>
>ก่อนวันที่ 14 กุมภา
>
>ผมเดินออกจากบ้าน
>ในมือมีผ้าเช็ดหน้าสีชมพูที่ต้องการเอาให้แฟนของผม
>เธอเป็นหญิงสวยมาก เป็นดาวคณะของมหาลัยของเรา
>
>ก่อนผมจะออกไปพบเธอ เธอโทรมาหาผม
>ผมจึงวางผ้าเช็ดหน้าที่ผมบรรจงพับไว้บนโต๊ะ
>
>หลังจากการพร่ำบอกรักกันด้วยถ้อยคำหวานหูเป็นเวลานานทีเดียว
>ผมปรี่ออกจากบ้านไปหาเธอ
>โดยไม่ลืมผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น
>
>ผมเห็นพ่อของผมถือมันออกมา ในผ้าผืนนั้นมีรอยเลือด
>"พ่อ ทำอะไรหนะ" ผมโพล่งถามด้วยความโมโห
>
>พ่อหน้าซีดทันที
>" ไอ้เหมียวหนะ มันโดนกัด พ่อเลยเอาผ้าไปเช็ดเลือด"
>"พ่อรู้ไหม ผมกำลังจะเอาไปให้แฟน
>พ่อเงียบ ผมเกลียดจริงๆ เวลาพ่อเงียบเมื่อจนกับปัญหา
>ความโหโหสั่งผมให้ทำได้แม้กระทั่งจะตบหน้าพ่อ
>
>พ่อเบือนหน้า
>"พ่อขอโทษ มานี่....." พ่อยื่นมือมารับผ้าเช็ดหน้า
>"พ่อจะเอาไปซักให้เอง"
>
>ผมงอนพ่อถึงกับไม่ยอมคุยกับพ่อเป็นเวลานานพอควร ไม่ยอมลงจากบ้าน
>เป็นเวลาเกือบทั้งสองวันที่ผมไม่เจอหน้า
>ใคร หมกตัวอยู่กับห้อง มีเพียงแม่เท่านั้นที่คอยส่งข้าวให้ผม
>
>ยามเมือ่ผมมองตาแม่ครั้งใดทุกครั้ง ดวงตาแม่จะแดงปรี่ด้วยน้ำตา
>ผมเริ่มรู้สึกว่า บางทีผมอาจจะทำเกินไป
>
>14 กุมภาพันธ์
>ตั้งแต่ครั้งที่ผมเห็นแม่เสียใจ
>ผมก็รู้สึกว่าผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่า
>ผมยอมออกมาจากห้อง
>
>ผมไม่เห็นพ่อ
>เดินออกมาที่บริเวณลานซักผ้า กาละมังยังมีผ้าที่ยังไม่ซักหลายผืน
>ข้างๆ มีกองเลือดอยู่ และที่ราวตากผ้ามี
>ผ้าเช็ดหน้าของผม ถึงจะล้างรอยเลือดไม่หมด
>ก็ยังดีที่พ่อยังห่วงใยผม ยังแคร์ผมอยู่
>
>พ่อ ผมอยากขอโทษครับ
>
>หันหน้าจะกลับเข้าบ้าน ก็พบกับแม่ แม่ร้องไห้มาแต่ไกล
>วิ่งมากอดผม
>" พ่อเสียแล้วนะ "
>
>ผมอึ้ง
>
>แม่ลำดับเหตุการณ์ และทำให้ผมทราบว่า
>พ่อป่วยเป็นโรคทางเดินหายใจติดเชื้อ
>รอยเลือดที่เห็นนั้นคือเลือดที่พ่อจาม
>ออกมา พ่อมองไม่เห็น
>"พ่อกำชับแม่มาตอนที่ลูกโกรธว่า อย่าบอกลูกเด็ดขาดว่าพ่อป่วย "
>"ทำไมล่ะครับ"
>"พ่อกลัวเราจะเสียใจ แล้วไม่ได้ออกไปเที่ยวกับแฟน"
>
>ผมอึ้งเป็นครั้งที่สอง
>"พ่อบอกแม่ด้วยว่า ถ้าพ่อเสียวันนี้ อย่าเพิ่งบอกลูก
>ให้ลูกไปเที่ยวกับแฟนก่อน พ่อไม่อยากให้ลูกเป็นทุกข์ พลาด
>โอกาสอย่างนี้เพราะพ่อคนเดียว
>พ่อบอกด้วยว่าพ่อซักผ้าเช็ดหน้าให้แล้ว มันไม่สะอาดหรอก
>แต่พ่อบอกว่าพ่อของลูกทำ
>ดีที่สุดแล้ว"
>
>ผมกอดแม่ ร้องไห้
>วันนี้จะเป็นวันวาเลนไทน์ที่อยู่ในความทรงจำตลอดไป
>
>พ่อครับ ผมขอโทษ.......
3 พฤษภาคม 2547 13:22 น.
เสือยิ้มมุมปาก
ความหมายของชีวิตอยู่ที่ตัวของเราเอง......
ว่าจะทำตัวให้มีความหมายแค่ไหน
ทรัพย์สินและชื่อเสียงเป็นสิ่งภายนอก.....ที่ลวงตา
แต่ความดีจะเป็นเกียรติยศ.ที่มั่นคงถาวร ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
ดวงจิตที่บริสุทธิ์. จะไม่หวาดหวั่นต่อความทุกข์ยากทั้งหลายในโลกมายา
จะมีชัยชนะต่อมวลกิเลสตัญหาทั้งของตัวเองและผู้อื่น
พลังแห่งความบริสุทธิ์ จะก้าวพ้นข้ามผ่านกาลเวลา
จะข้ามผ่านห้วงจักรวาลอันยิ่งใหญ่
ไปสถิตย์มั่นเป็นถาวรนิรันดร์กาล
ท่ามกลางความเวิ้งว้างของห้วงมหรรณพและหมู่ดาว
และ ณ.ที่นั้น.ดาวแห่งความรักและศรัทธา
จะเปล่งประกายฉายแสงแห่ง....ความรักอันอบอุ่น
ที่ให้ความหวังแก่ผู้ทุกข์ยาก ....หัวใจอ่อนล้า
ให้ลุกขึ้นมา...และก้าวเดินต่อไปข้างหน้า
เพื่อต่อสู้ฟันฝ่าความชั่วร้าย ทั้งมวล
ด้วยหัวใจแห่งความรักและเมตตาที่มนุษย์พึงมีให้แก่กัน
แก่สัตว์โลกทั้งหลาย
และมวลหมู่ชีวิตที่ร่วมทุกข์อยู่ในวัฎสงสารแห่งนี้
............
ขอให้หลอมรวมดวงใจทั้งหลายไว้เป็นหนึ่ง.
หนึ่งเดียว ที่รวมอานุภาพแห่งความรักในทุกรูปแบบเข้าด้วยกัน
หนึ่งเดียว.ที่มีพลังมหาศาล
จนสามารถทำลายล้างซาตาน....
และทลายอุปสรรคทั้งหลายลงได้....
แม้ว่าจะต้องข้ามฝ่าทะเลทรายอันร้อนระอุ....
ต้องต่อสู้กับความหนาวเหน็บและมืดมนแห่งรัตติกาล
แม้ว่า....เลือดจะท่วมกาย......และร่างจะต้องแหลกสลาย
แต่...ขอให้รักษาไว้ซึ่ง ....จิตวิญญาณแห่งความดีที่เป็นอมตะ
จงกระทำเหมือนอย่างที่วีรบุรุษวีรสตรีผู้กล้าที่ได้ต่อสู้
จนได้รับชัยชนะแห่งจิตวิญญาณ
ด้วยศรัทธาที่มั่นคงและไม่คลอนแคลน
ขอให้ดวงใจดวงนี้จงเต็มไปด้วยความเข้มแข็งและอดทน
และหากน้ำตาจะต้องหลั่งไหล..
ก็ขอให้เป็นไปเพื่อปลดปล่อย.
ความอ่อนแอและโลเลออกไปจากหัวใจ
และเหลือไว้แต่พลังแห่งความเข้มแข็ง
ที่จะมีค่ามากและแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น
3 พฤษภาคม 2547 12:53 น.
เสือยิ้มมุมปาก
จั่วหัวอย่างนี้...
อ่านดูกี่เที่ยวกี่เที่ยวก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้อย่างไม่น่าพิศวงใดๆทั้งสิ้น แต่...ถ้าหาก
นพพลเริ่มกำมือแน่นขึ้น..เม็ดเหงื่อไหลชุ่มผุดพรางขึ้นเต็มร่างกาย หัวสมองปวดตุบๆๆ ราวเส้นเลือดจะกระเด็นขาดออกนอกสมอง...เฝ้าวนเวียนกับถ้อยปุจฉาว่า 2 + 3 มีผลลัพธ์เท่าใด ทำไม..ทำไม..ทำไม ในเมื่อสัปดาห์ที่แล้วครูบอกว่า 2+ 3 เท่ากับ 5 แล้ว สัปดาห์นี้ทำไมคำตอบไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาเลย...มันมีแค่คำตอบเดียวเท่านั้นหรือ?? ... นพพลเก็บความเคร่งเครียดไว้ในภวังค์ความคิดของเขาเพียงคนเดียว...สักพักหนึ่ง..ความเงียบครอบคลุมคนทั้งสอง นพพลเริ่มใช้เท้าสะกิดเพื่อนที่นั่งข้างๆ ตอนนั้นความคิดมันใหญ่..ใหญ่เกินจะเฉลียวใจว่าไอ้เพื่อนที่นั่งข้างๆน่ะ นักเลง นพพลใช้เท้าสะกิดเพื่อนข้าง..ราวกับจะให้ช่วยขบคิดหาปรัชญาอรรถาธิบายกับถ้อยปุจฉานี้ว่า.. คำตอบจะเพิ่มขึ้นไม่ได้เหรอ
นพพลคิดนึกอนาถในใจว่า สังคมการเรียนรู้ของไทยยังคงเหมือนเดิม ไม่มีการพัฒนา อาทิตย์ที่แล้ว 2+3ได้ 5 มาอาทิตย์นี้คำตอบก็ยังเหมือนเดิม...คิดไปใจก็ฟุ้งซ่านไปถึงอดีตเพื่อนร่วมห้องเรียนกว่า 40 ชีวิตที่ยอมให้การศึกษาซึ่งล้าสมัยไม่พัฒนาลากจูงไปเจอกับสิ่งเดิมๆอีก...ไม่มีใครเลย..ไม่มีใครเลยจริงๆที่ยอมลงเรือลำเดียวกับเขาแล้วหาทางแก้ไขนโยบายการศึกษาวิชาคำนวณให้ 2+3 ได้คำตอบอย่างอื่นบ้าง...??!!
.........................ตอนต่อไป ((ติดตามด้วยนะ))