16 เมษายน 2547 22:53 น.
เสือยิ้มมุมปาก
ไกลออกไปที่ผืนฟ้าดูเหมือนจะจรดขอบน้ำ
และขอบน้ำพบแผ่นดิน
ต้นไม้และป่าที่เขียวชอุ่ม
กำลังช่วยกันโปรยปรายละอองไอน้ำแห่งความชุ่มชื้นให้แผ่คลุมไปทั่วบริเวณ
ณ. ที่นั้น สายรุ้งทอแสงงามระยับสดใส พาดข้ามขอบฟ้า
กลิ่นอายของดินหอมตลบอบอวล
สรรพสิ่งต่างเริงร่าอย่างมีความสุข
เสียงคนตรีแห่งชีวิตประสานกันอย่างไพเราะเพราะพริ้ง
หวานแว่วดั่งพริ้วลอยล่องมาจากสวรรค์เบื้องบน
--------------------------------------------------------------------------------
ป่าคือผู้หล่อเลี้ยงชีวิตบนแผ่นดิน
ป่าคือผู้ประสานความสัมพันธ์ระหว่างแผ่นดิน
แผ่นน้ำและแผ่นฟ้าให้เข้ากันได้อย่างสมดุลย
เพื่อให้เหมาะสมแก่วัฎจักรแห่งการดำรงค์ชีวิต
ป่าคือผู้เรียกฝนให้มาบังเกิด
และสร้างแหล่งน้ำที่หล่อเลี้ยงชีวิตทั้งมวล
ป่าจึงเป็นที่มาของแหล่งน้ำ, อาหาร , อากาศและปัจจัยสี่
ในขณะเดียวกันป่าก็เป็นที่ปกป้องและคุ้มกันภัยพิบัติทั้งหลาย
ถ้าไม่มีป่า ก็จะไม่มีผู้ค้ำจุนปกป้อง, และจะไม่มีชีวิต
--------------------------------------------------------------------------------
เสียงจิ้งหรีดกรีดร้อง ไปก้องฟ้า ท่านเทวาผู้พิทักษ์ อยู่แห่งไหน
เคยสถิตอยู่ ตามดง ป่าพงไพร ตอนนี้ไม่มีป่า ช่างน่าตรม
เหตุไฉนใยมนุษย์ ไม่รู้ค่า มาตัดป่าทำลายสิ้น ถิ่นเหมาะสม
ทำลายแหล่งคุ้มชีวา ที่รื่นรมย์ ล้าง แหล่งห่มชีวิตให้ปลอดภัย
ป่าคือแหล่งพิทักษ์ ทุกชีวิต ก่อลิขิตให้ชีวา แหล่งอาศัย
ให้ร่มเงาเกื้อหนุน อุ่นอำไพ โลกสดใสก็เพราะป่า เอื้ออาทร
เสียงเทวาสะอื้นไห้ ในสายลม ด้วยขื่นขมหมองไหม้ ใจสะท้อน
เหตุไฉน คนฆ่าป่า จนรานรอน แต่กาลก่อน คนอยู่ได้ เพราะป่ามี
--------------------------------------------------------------------------------
ไกลออกไปที่ผืนฟ้าดูเหมือนจะไม่มีวันจรดขอบน้ำ
และแผ่นน้ำแห้งงวดไปจากแผ่นดิน
เปลวแดดร้อนแรงเต้นระยิบอยู่ในฝุ่นของสายลมหมุน
ไอร้อนแห่งความแห้งแล้งแผ่ขยายไปทั่วบริเวณ
ณ. ที่นั้น ท้องฟ้าดูเวิ้งว้างไร้ก้อนเมฆ
และแผ่นดินแห้งผาดจนแตกระแหง
ซากสัตว์แห้งกรัง ระเกะระกะ อยู่ทั่วไป
เสียงสายลมกรีด หวีดหวิวอย่างโดดเดี่ยวและอ้างว้าง
เสียงรุกขเทวาสะอื้นร่ำไห้ กระซิบคร่ำครวญ อยู่ในสายลม
เสียงกระซิบนั้นสะท้อนกลับไปมา เนิ่นนาน.ดังไม่มีที่สิ้นสุด
"ไม่มีป่า ไม่มีผู้ค้ำจุนปกป้อง ไม่มีชีวิต"
"ไม่มีป่า ไม่มีผู้ค้ำจุนปกป้อง ไม่มีชีวิต"
"ไม่มีป่า ไม่มีผู้ค้ำจุนปกป้อง ไม่มีชีวิต"
"ไม่มีป่า ไม่มีผู้ค้ำจุนปกป้อง ไม่มีชีวิต"
"ไม่มีป่า ไม่มีผู้ค้ำจุนปกป้อง ไม่มีชีวิต"
16 เมษายน 2547 22:48 น.
เสือยิ้มมุมปาก
เช้าวันหนึ่ง ผู้คนมากมายมาจากทั่วสารทิศ ตรงมายังลานกว้างที่พวกเราอาศัยอยู่ บ้างก็เอากล้อง เอาวีดีโอมาถ่ายรูป เพื่อนฉันบางคนไม่ได้อยู่ในลานกว้างนี้ แต่เขาถูกใส่ไว้ในถังน้ำรวมกับเพื่อน ๆ อีกหลายคน รอให้คนมาซื้อตัวไป "โอ๊ย !!! " เสียงร้องดังมาแต่ไกล ฉันเห็นเพื่อนหลายคน ล้มฟุบลงไปกับพื้นดิน ตัวเขียวช้ำไปหมด "หวังว่ามันคงไม่เกิดกับเรานะ ไม่งั้นตายแน่ ๆ" ฉันพูดกับ เพื่อนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ สักพักหนึ่ง ผู้คนเริ่มมาเยอะขึ้น พร้อม ๆ กับเพื่อนฉันที่ล้มฟุบไปทีละคนสองคน ฉันเห็นเพื่อนเริ่มตายไปต่อหน้าต่อตา บางคนหัวขาด บางคนถูกเหยียบจนตาย บางคนถูกเอาไปขาย พอสิ้นสุดวันนี้ ฉันกับเพื่อน ๆ ที่อยู่รอดคงต้องจัดงานศพกันอีกหลายวัน นี่หรือ ชีวิตในทุ่งทานตะวันอย่างพวกเรา
16 เมษายน 2547 22:24 น.
เสือยิ้มมุมปาก
อากาศราอบๆ คฤหาสน์หลังงามค่อยๆ เย็นตัวลงพร้อมๆ กับแสงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าไปอย่างช้าๆ ลมหนาวพัดโชยเอื่อย ปะทะคฤหาสน์เป็นระยะ แสงจากโคมไฟให้ความสว่างไปยังโต๊ะทำงานเบื้องล่าง ชายหนุ่มรูปงามในชุดลำลองทำงานใต้แสงไฟอย่างเหนื่อยอ่อน นกไม้โผล่หน้าออกจากนาฬิการ้อง 'คุกคู' ติดกันสิบสองครั้ง อากาศหนาวได้ทวีความหนาวขึ้นอีก ชายหนุ่มเอี้ยวตัวเป็นระยะเพื่อลดทอนความเมื่อยล้า เสียงสุนัขที่ต้นซอยดังระงมมาแต่ไกล เขาลุกขึ้นแง้มม่านออก เพื่อทอดสายตาออกไปภายนอก เสียงรถยนต์เก่าๆ คันหนึ่งแว่วมาพร้อมแสงไฟหน้าที่ทอดยาวมาไกลๆ เจ้าของเสียงได้มาหยุดลงที่หน้าประตูใหญ่ เห็นเพียงเงาตะคุ่มของใครสักคนหนึ่งลงมาจากพาหนะนั้น ก่อนที่มันจะกลับออกไป เสียงกระดิ่งหน้าบ้าบดังขึ้น แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครได้ยินมัน ชายหนุ่มเริ่มขมวดคิ้วพร้อมๆ กับเดินลงจากชั้นบน คว้ากุญแจบ้านแล้วตรงไปยังประตูหน้าทันที คิ้วของเขาคลายอาการขมวดลงเมื่อใกล้ประตูเข้ามา ประตูเปิดอ้าออก สาวน้อยในชุดลำลองก้าวเข้าประตูมา ทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่ ลมหนาวพัดอยู่เป็นระยะ ทุกสรรพเสียงได้เงียบลงหลังจากที่ชายหนุ่มได้ปิดประตูลง คงเหลือไว้แต่เสียงสะอื้นในลำคอของเธอเป็นระยะ เขาเอื้อมมือไปวางบนไหล่เธออย่างนุ่มนวล เสียงสะอื้นทวีความรุนแรงขึ้นจนกลายเป็นเสียงร้องไห้ เธอโผเข้าไปในอ้อมกอดของเขา แนบแก้มลงบนแผ่นอกที่แสนจะอบอุ่นนั้น น้ำตาของเธอไหลออกมาไม่ขาดสาย ชายหนุ่มค่อยๆ ลูบผมอันยาวสลวยของเธออย่างแผ่วเบา และในที่สุด . . . เสียงสะอื้นนั้นก็จางหายไป
16 เมษายน 2547 22:07 น.
เสือยิ้มมุมปาก
'มีคนฝากบอกมานะครับ ว่าวันนี้ป็นวันเกิดคุณต้อย ขอให้มีความสุขในวันเกิดนะครับ . . . ทุกคนก้าวเข้ามาขยับแข้งขยับขากันต่อได้เลยครับ . . .'
สิ้นเสียงของดีเจในชุดเปรี้ยวตามสมัย เสียงเพลงอันร้อนแรงก็ดังขึ้น . . . แสงวาววาวแวบวาบกับเสียงเบสหนักๆ ของดนตรีเต้นรำสมัยใหม่เหมือนกับจะสะกดทุกๆ คนให้ลุกออกมาขยับตัวตามจังหวะ . . . เว้นแต่ผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในซอกเล็กๆ ที่มุมห้อง อัดควันบุหรี่เข้าปอด พลางดื่มเครื่องดื่มเปลี่ยนนิสัย เหมือนอูฐที่พึ่งข้ามทะเลทรายมาพบโอเอซิส ภายในใจเขายังครุ่นคิด
'ทำไมคนอย่างเราช่างอาภัพเสัยเหลือเกิน . . . เฮ้อ . . . ใช่แล้ว . . . เรามานั่งเศร้าอยู่อย่างนี้มันช่างไร้ประโยชน์ ทำไม่เราไม่ไปสนุกกับชีวิตเล่า . . . '
คิดได้ดังนั้นแล้วซอกนั้นก็ต้องมีอันว่างเปล่า แต่กลับเพิ่มชายหนุ่มที่มีรอยยิ้มเพิ่มขึ้นกลางฟลอร์อีกคน . . .
แม้แอร์จะเย็นเพียงไร แต่ตอนนี้เหงื่อของเขาเริ่มรวมตัวกันเป็นเม็ดใหญ่ ใหลมารวมกันที่ปลายคาง . . . แขนเสื้อด้านขวาถูกนำมาซับเหงื่ออย่างเคยชิน . . . แต่แล้วปลายศอกก็ต้องไปกระทบกับอะไรเข้าสักอย้าง
'โอ้ย! . . . นี่คุณจะบ้าเหรอ ไม่เห็นหัวฉันรึไง'
ขายหนุ่มค่อยๆ เคลื่อนแขนเสื้อออกจากหน้า และมองตามไปยังเจ้าของเสียงนั้น
'ขอโทษครับ . . .'
มันเป็นคำเดียงที่ชายหนุ่มพูดออกมา ก่อนจะเห็นหน้าคู่กรณีได้ชัดเจน . . . และมันก็เป็นคำเดียวที่เขาพูดได้ก่นถูกมนต์สะกด ด้วยใบหน้าของเธอ . . . ใบหน้าของหญิงในฝันของเขา ใบหน้ารูปไข่เกลี้ยงหมดจด ผมสลวยยาวไปถึงหลัง นัยตาสีน้ำตาลอ่อนใบหน้าได้ส่วน แม้จะรูปร่างไม่ใหญ่ แต่ก็แสดงถึงความปราดเปรียว . . . ตุ้มหูของเธอสั่นไหว . . . แต่นัยตาของเธอกลับจ้องมองนิ่งมาที่เขา . . . ร่างในชุดแสนหวานของเธอกระเถิบเข้ามาใกล้เขามากขึ้น มากจนเขาสามารถสำผัสลมหายใจของเธอ จากปลายคางของเขาได้ . . . เขาไม่สามารถพูดอะไรได้ . . . หญิงสาวมองเขาอย่างตาไม่กระพริบ . . . และในที่สุดเธอก็เอ่ยถ้อยคำที่สุดแสนจะทำให้เขาดีใจ รวมทั้งแปลกใจ
'ชายหนุ่มในผันของฉัน . . .'
ในตอนนี้ไม่มีคำใดที่จะต้องใช้กล่าวพูดอีกแล้ว . . . เขาเดินจูงมือเธอออกมาจากฟลอร์ กลับไปยังซอกเล็กๆ ซอกเดิม . . . การพูดคุยช่างเป็นไปอย่างถูดคอเหลือเกิน แม้เหล้าแก้วแล้วแก้วเล่า จะถูกดื่มกินลงไป แต่ดูเหมืนอทั้งสองจะไม่รู้สึกมึนเมาเอาเสียเลย . . . จากการนั่งตรงข้ามองหน้ากันก็เปลี่ยนไป . . . ทั้งคู่ค่อยๆ กระเถิบเข้าหากัน จนนั่งเบียดกัน แต่ก็ยังคุยกันไม่เลิกรา . . . เวลาค่อยๆ ผ่านไป . . . เร็วจนเกินกว่าใครจะนึกถึง . . . เสียงประกาศด้วยน้ำเสียงเดิมๆ ก็พูดขึ้นอีกครั้ง
'และนี่คงเป็นเพลงสุดท้าย สำหรับคืนนี้แล้วนะครับ ขอให้ทุกท่านมีความสุขมากๆ นะครับ แล้วพบกันใหม่พรุ่งนี้นะครับ สวัสดีครับ'
สิ้นเสียงประกาศทั้งสองต่างมองหน้ากัน . . .
'ไปต่อบ้านผมเถอะ . . . '
หญิงสาวไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่พยักหน้ารับคำ ทั้งสองเดินคลอเคลียกันออกไป ชายหนุ่มพาเธอมาที่รถของเขา ทำท่าจะไขกุญแจ . . .
'ไปรถฉันเถอะค่ะ'
ชายหนุ่มทำท่าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วก็เดินเอียงๆ ตามเธอไปยังรถของเธอ . . . ในไม่กี่นาทีทั้งสองก็ได้มาถึงยังจุดหมายปลายทาง . . . หลังจากจอดรถเสร็จ ทั้งสองก็พากันเดินเข้าบ้านชายหนุ่ใปในทันที
การคุยกันอย่างถูกคอเริ่มต้นขึ้นอีกแล้ว . . . พูดอย่างเรื่อยเปื่อยไร้จุดหมาย จนกระทั่งเขาได้พูดประโยคหนึ่งขึ้นมา
'คุณเชื่อเรื่องพรหมลิขิดใหม ?'
หญิงสาวไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่พยักหน้ารับ . . . ทุกอย่างในห้องเงียงลงถนัดตา . . . ชายหนุ่มกระเถิบมาใกล้เข้าทุกที . . . แล้วก็ประทับรอยจูบลงบนริมฝีปากของเธอ . . . ไม่รู้ว่าเป็นเวลานานสักเท่าไร . . . ทั้งสองมองจ้องกันตาไม่กระพริบ แล้วทั้งสองก็พยักหน้าขึ้นพร้อมๆ กัน
. . . ค่ำคืนอันแสนหวานผ่านล่วงไป . . .
ในตอนเช้าชายหนุ่มในร่างที่เปลือยเปล่าตื่นขึ้นมา เพราะไม่สามารถสำผัสคนที่เคยอยู่ข้างกายได้ เขาลุกขึ้นมา งัวเงีย มองไปรอบๆ ห้อง . . . แล้วคิดในใจ
'เธอไม่อยู่'
และแล้วก็เหลือบไปเห็นข้อตวามสำคัญ ที่เขียนอยู่บนกระจกด้วยลิปสติกสีแดง . . .
ยินดีต้อนรับสมาชิกใหม่
จากเหตุการณ์เมื่อคืนทำให้
ฉันแน่ใจแล้วว่าเราได้สมาชิก
โรคเอดส์คนใหม่แล้ว . . .
ถ้าโชคดีคงได้เจอกันอีก
เมื่อคืนฉันมีความสุขมาก
16 เมษายน 2547 22:04 น.
เสือยิ้มมุมปาก
'แม่ฮะผมอยากกินไอติมฮะ'
เสียงเด็กชายตัวน้อยพูดพร้อมดึงชายกระโปรงแม่
'จะเอาอันไหนละครับ'
คุณพ่ออุ้มเด็กน้อยขึ้นดูไอติมในตู้กลางห้างสรรพสินค้า
'อันนี้ฮะ'
พูดพลางเด็กน้อยก็เอื้อมไปหยิบไอติมสีเขียวในตู้... หลังจากเดินเลือกสินค้าอยู่อีกพักใหญ่ครอบครัวสุดแสนน่ารักก็หิ้วถุงใบใหญ่เดินออกมายังที่จอดรถ พระอาทิตย์แสนขี้เกียจบัดนี้ได้แอบหลบอยู่หลังเมฆฝนอย่างสบายใจ
'รีบกลับก่อนฝนตกเถอะค่ะ'
พ่อพยักหน้าพร้อมขึ้นรถ แม้ที่จอดรถจะค่อนข้างพลุกพล่านแต่พ่อก็ได้นำรถออกมาถึงถนนใหญ่ได้โดยใช้เวลาไม่มากนัก เด็กชายนั่งเลียไม้ไอติมอยู่บนเบาะหลังกับข้าวของที่เพิ่งได้ซื้อกันมา
'ทิ้งเสียเถอะนะครับ'
คุณแม่หันมาคุยกับลูกชาย.. เด็กน้อยส่ายหน้าอย่างน่ารัก แม่จึงหันกลับไปพูดเรื่องอากาศกับพ่อต่อ...
'แม่ค้าบ... ผมทำไม้ไอติมหล่นไปตรงไหนก็ไม่รู้' ...
'ช่างมันเถอะลูก'
เด็กน้อยยังไม่เลิกรบเร้าจนผู้เป็นพ่อรู้สึกรำคาญ
'แม่ก็หาให้ลูกหน่อยซิ'
ผู้เป็นแม่เริ่มไม่พอใจกับสิ่งที่พ่อพูด... เจ้าตัวเล็กเริ่มเป่าปี่
'ลูกลองหาใต้เบาะดูหรือยังครับ'
เด็กน้อยก้มลงไปหาใต้เบาะ... สักพักก็เริ่มเป่าปี่อีก...
'แม่ก็หาให้ลูกหน่อยซิ'...
'ไม่!'...
บทสนทนาของพ่อและแม่เงียบลงชั่วขณะ
'เอ้า! พ่อหาให้ก็ได้'
ผู้เป็นพ่อเหลือบมาดูข้างเบาะของตน
'นี่ไงลูกอยู่ข้างๆ พ่อนี่ไง'
เด็กน้อยมองเห็นไม้ไอติมแล้ว เสียงร้องกวนใจเงียบลงพร้อมๆกับที่เด็กน้อยเอื้อมไปหยิบไม้ไอติม...
โป๊ก!... การกระเทือนของรถทำให้เจ้าหนูหัวชนขอบประตู... แต่ด้วยความอยากได้ไม้ไอติมหนูน้อยจึงไม่รู้สึกเจ็บ กลับพยามเอื้มไปจนหยิบไม้ไอติมได้...
'พ่อครับ ผมหยับไม้ไอติมได้แล้ว'
ไม่มีเสียงตอบจากพ่อ...
'แม่ฮะ ผมหยิบได้แล้ว'
แม่ก็เงียบเช่นกัน... เด็กน้อยยังนั่งเล่นไม้ไอติมอยูหลังรถ... ...เสียงไซเรนเรียกความสนใจจากเด็กน้อยไปชั่วขณะ รถที่มีไฟสีแดงอยู่ด้านบนมาพร้อมกับเสียงนั้น มันจอดลงข้างๆ รถของเด็กน้อย มีชาย 2 คนเดินลงมา....
...มาบัดนี้หนูน้อยยังสงสัยอยู่ว่า ทำไมเขาต้องมาพาพ่อกับแม่ของเด็กน้อยที่ถือไม้ไอติมคนนี้ไป...