16 ตุลาคม 2547 09:20 น.
เสือยิ้มมุมปาก
เวลานี้ฉันอาจจะไม่โดดเดี่ยวมากเกินไป
..แต่ฉันก็อยากสูดดม..สัมผัส..กลิ่นไอ.."คำแสด" อีกครา
15 ตุลาคม 2547 07:40 น.
เสือยิ้มมุมปาก
..กว่าครึ่งค่อนสัปดาห์ที่ฉันต้องโลดแล่นท่ามกลางสายน้ำนอง..สายน้ำที่มีบ่อเกิดจากดวงตาคู่หม่น..มันไหลริน..มากมาย..ท่วมท้น..ถาโถมโหมซัด กระทั่งมโนสำนึกของฉันก้าวขึ้นสูงเกินจุดที่จะทัดทานไหว..ความอดกลั้นที่สั่งสมภายใต้พันธะแห่งจิตใจ..ครานี้..มันได้แตกสลายเป็นเสี่ยง..ยาก..ยากยิ่งที่จะสานสืบให้กลับกลายเป็นเนื้อแท้เดียวกันโดยปราศจากรอยร้าวแห่งวันวาน
ปุจฉา..อันไร้ซึ่ง..วิสัชนา ได้ก่อเกิด
ขึ้นท่ามกลางสังคมอยุติธรรม..ความเหมือนที่แตกต่าง..ทำให้ความร้าวฉานเติบโตขึ้น..เฉกเช่นตัวฉัน.. ความมั่งมี..ทำให้มนุษย์ผู้ซึ่งระเริงวัตถุนิยมเปลี่ยนแปลง ..
ค่านิยมที่คนจนต้องเป็นเบี้ยล่างของผู้มั่งมีกว่า..ได้ก่อตัวขึ้น..เติบโต..ดำรง..เกาะติด..ฝังรากลึกในสังคมไทย..ตั้งแต่ครั้นปีเศรษฐกิจตกต่ำ..มนุษยชาติต่างกระเสือกกระสนดิ้นรนเถือกแถกเพื่อความอยู่รอดของตน..ภาวะผู้น้อยเข้าหาผู้ใหญ่ได้แพร่กระจายเข้าซึมสู่สายเลือดชาวไทยผู้ซึ่งมี ทิฐิ ... คำถามแรกที่แวบผ่านเข้ามาภายหลังนั่งมองภาพการณ์ครานั้น เลือดทิฐิแห่งพ่อแม่พี่น้องไทย..จางหายอยู่แห่งใดกันเล่า .. หากฉันบอกเล่าทัศนะของฉันให้ผองเพื่อน ญาติพี่น้องได้สดับรับฟัง .. พวกเขาย่อมลงความเห็นเป็นเสียงกลมเกลียวเดียวกันว่า แกมันบ้า..ยึดถืออุดมการณ์ไร้สาระ อยากรู้จริงๆ อุดมการณ์แปรเปลี่ยนเป็นทรัพย์สินเงินทองได้ไหม..อุดมการณ์ของแกจะช่วยอะไรแกได้..มัวทิฐิสูง..ทั้งๆที่แกไม่มีอะไรจะให้ทระนง
ฉันวางยุทธวิธีตอบไว้ ฉันมีชีวิตอยู่ได้ทุกวันนี้..เพราะอุดมการณ์และทิฐิ..จริงอยู่ฉันอาจไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ เงินทอง ทรัพย์สมบัติ แต่ฉันมีความตั้งใจดีที่เปี่ยมล้นในสายเลือด หาสิ่งใดทัดทานได้ไม่ และฉันมีศักดิ์ศรีของความเป็นหนึ่งในมนุษย์โลก..นี่แหละคือสิ่งที่ฉันทระนงทระนงในความเป็นสัตว์ประเสริฐ..
..ทัศนะเหล่านี้เกิดขึ้นเพียงเพราะการณ์ปัจจุบันที่ฉันสัมผัสและรู้สึกได้..เป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ ราวร้อยสองร้อยชั่วโมงเท่านั้น..ขณะนี้..ฉันนั่งอยู่ภายในห้องนอนอันโอ่อ่า หรูหรา อลังการ แลดูมีค่าสูงส่ง..แต่เจ้าของห้องนอนนี้..กลับมีจิตใจแคบ..โสมม..มืดดำ .. ฉันสดับคำพูดเพียงประโยคเดียวของคนพวกนี้..เป็นคำพูดที่ทำให้โลกใบเล็กของฉันชะงักงันทันที โตเท่าควายแล้วยังโทรมาอีก.. และอีกหลากหลายพจนา..ที่ไม่อยากจดจำ..แต่มีบางสิ่งที่กระแทกกระทั้นจิตใจ..บีบคั้นกระทั่งน้ำตา..เพื่อนที่ดีที่สุด..ไหลรินออกมา..ฉันอาจจำภาพการณ์แห่งความปวดร้ายได้ไม่หมด..แต่เมื่อฉันนำบันทึกมาอ่านคราใด..ภาพวันวานก็พรั่งพรู..อย่างชัดเจน
..หลายวันแล้วที่ฉันต้องทนทุกข์ทรมานกับความรู้สึกปวดร้าวเยี่ยงนี้ .. ฉันต้องคอยหลบทุกสายตาที่จ้องจะเหยียดหยามฉัน แม้ฉันจะปวดร้าวเพียงใดฉันต้องเก็บซ่อนความรู้สึก ครั้นจะร่ำไห้..ปล่อยน้ำตาให้หยดหยาด..สายน้ำของฉันคงจะเป็นสีแดงเถือก..ฉันผิดด้วยหรือ?? .. ที่ฐานะของฉันมันไม่ร่ำรวยล้นฟ้าดั่งเช่นมหาเศรษฐีเหมือนเขา..ฉันผิดด้วยหรือ?? ที่ฉันเป็นคนบ้านนอก ในเมื่อบ้านนอกหรือที่ใดๆ ก็ล้วนผืนแผ่นดินไทยด้วยกันทั้งสิ้น กินข้าวด้วยกันทุกคน?? ฉันผิดด้วยหรือที่กินอาหารฝรั่งไม่เป็น?? ฉันผิดด้วยหรือที่พูดภาษาไทยด้วยสำเนียงที่ไม่ชัดมากนัก แต่ฉันก็พูดอังกฤษได้..ดีกว่าเขาเสียด้วยสิ (ฉันมั่นใจเช่นนั้น)?? ... แต่สิ่งเหล่านี้แม้จะกระทบกระเทือนใจฉัน..ฉันยังรับได้..ว่าคนมีเงินย่อมข่มคนจนกว่า..ข่มฉัน..ฉันทนได้..ทนเสียงกระแทกแดดดัน..เสียดสีได้..แต่..เขากระเทือนมาถึง "แม่" บุพการีผู้ซึ่งฉันรักยิ่ง .. แล้วแม่ของฉันก็คือพี่สาวแท้ๆของเขานั่นแหละ..แม่เป็นมือข้างขวาของยายช่วยเลี้ยงน้องเล็กๆกว่า 12 คน จริงอยู่แม่ฉันอาจจะไม่มีเงินเป็นสิบๆล้าน แต่แม่ฉันก็เลี้ยงตัวเองได้ เลี้ยงครอบครัว มียศฐาบรรดาศักดิ์ มีความรู้ เป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไป..สิ่งเหล่านี้เขาอาจหาเพิ่มเติมได้ แต่ฉันเชื่อว่ามีอย่างหนึ่งที่เขาไม่มีแต่แม่ฉันมี คือ "ความรู้สึกเอื้ออาทร"
..เมื่อวานนี้เอง..ฉันกำลังจะย่างกรายลงบันได..เผชิญหน้ากับความโหดร้ายของถ้อยมธุรสที่อาจผรุสวาทขึ้นทันทีทันใด ฉันได้ยินเขาพูดกับใครคนหนึ่งว่า โตเป็นควายแล้ว ยังโทร.มาเหลย(เหลย - อีก= ภาษาถิ่นใต้)"แล้วจะให้ฉันคิดอย่างไร..ในเมื่อพ่อแม่ทุกคนย่อมเป็นห่วงลูกด้วยกันทั้งสิ้น..แล้วการมาของฉันครั้งนี้..เขาคะยั้นคะยอฉันเองมิใช่หรือ..แต่ฉันมา..แทนที่จะเป็นแขกบ้านแขกเมืองของเขา..ฉันกลับต้องเป็นคนทำให้เขาแทบทุกอย่าง..ฉันทำได้ไม่ดีนัก..แต่ฉันก็ตั้งใจ..จนสุดกำลังที่ฉันจะมี..เขากระแทกกระทั้นกับแม่ฉันทางโทรศัพท์อีกว่า "น้องยูโกะน่ะเหรอ เขาก็จัดของตามประสาคนเรียบร้อยน่ะสิ" .. อย่างนี้ก็หมายความว่า..เขาว่าฉันว่าไม่เรียบร้อยเลยหรือ..แล้วเขาไม่คิดบ้างเลยหรือว่า..คนเราต้องมีจุดในใจที่ไม่เท่ากัน...จะให้หยิบจับอะไรคล่องตัวไปหมดในบ้านคนอื่นก็ไม่ได้..ฉันไม่รู้ว่าสิ่งของอะไรที่จะต้องใช้อยู่ตรงไหน..ฉันจะทำถูกได้อย่างไร
..มากระทั่งวันนี้..16 มีนาคม วันเกิดฉัน ฉันถึงกับร่ำไห้..เมื่อยังไม่ได้กลับบ้าน..ฉันรอคอยวันนี้...ฉันโทร.ไปหาพ่อ..เพียงแค่ได้ยินเสียงพ่อคำแรก "เป็นอย่างไรบ้างลูก" ฉันถึงกับน้ำตาตก แต่ก็ต้องอดกลั้นความรู้สึก..ไม่ให้เสียงสะอึกสะอื้นพรั่งพรูออกมา เพื่อให้พ่อสบายใจ ไม่อยากให้พ่อเป็นห่วงฉันมาก.. จริงๆถ้าฉันนั่งรถประจำทางกลับ ฉันก็ทำได้..แต่ฉันไม่อยาก "แพ้" ..หนีเตลิดเปิดเปิงกลับบ้านไปก่อน..ฉันนึกในใจ.."ลูกทนได้..ลูกทนได้"
..แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันสุดจะทน..เมื่อพี่สาวคนโตของแม่และเขา โทร.มาหาเขาและบอกว่า แม่ของฉันไปล่ำเลิกเรื่องยาย...จะให้พี่สาวคนโตเลี้ยง...เขาอ้างว่าอย่าเอาเงินมาฟาดหัว..และเขาก็ด่าแม่ของฉันอีกว่า "มึงนิ เวลามีความสุขก็ไปมีกันแต่ส่วน แต่มีทุกข์ก็แล่นมาหากู" ((ฉันได้ยินจากคำบอกเล่า..นึกในใจ "ไอเหี้ย แล้วยายคิ่ม ไม่ใช่แม่มึงเหรอ เกิดหัวมึงมารึป่าว ไอสัตว์สันดาร อกตัญญูพ่อแม่ตัวเอง มึงไม่เจริญหรอก")) แม่ฉันน้อยใจ..เครียด..กระทั่งเข้าโรงพยาบาล แม่คิดว่า..ไปคุยเรื่องยาย..แก้ปัญหา..หาทางออกให้ยาย..มันผิดด้วยหรือ..ในเมื่อมียายเพียงคนเดียว..ลูกยาย 12 คน เลี้ยงยายไม่ได้หรือ (ยายเคยพูดกับฉันเช่นนี้) .. มีอีกสิ่งหนึ่งที่ฉันผูกใจเจ็บกับพี่สาวของแม่คือ หล่อนโกงสมบัติพัสถารของยาย..ของญาติพี่น้องไปเป็นเรือนล้าน ที่ยายต้องมีอาการหลงๆลืมๆอันมี่ต้นเหตุจากความเครียดก็เนื่องด้วยสาเหตุนี้นั่นเอง ยายเป็นโรคdementia รักษาไม่หาย..ความทุกข์มิได้เกิดกับคนไข้..แต่เกิดกับคนเฝ้า..คนเลี้ยงดู....
...ตั้งแต่บัดนั้น..ถึงบัดนี้..ฉันไม่เคยคิดจะปริปากคุยกับพวกเขาเหล่านั้นเลย..2 ปีแล้ว นับจากวันนั้น ฉันแม่พ่อ ไม่เคยย่างเหยียบไปบ้านของพี่สาวคนโตเลย..."จะบานชาติ..กันไปเลย" .. น่าเชื่อไหมเล่า..ว่านี่คือความคิดของผู้ซึ่งเปี่ยมด้วยวัยวุฒิกว่า 50 ปี..
และเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา พวกเขาเหล่านั้น โทร.มาร่ำร้อง..ใช่!พวกเขาพูดด้วยสำเนียงที่น่าฟัง..หาเหมือนครั้งก่อนไม่..ฉันรับรู้ได้..ว่าแม่เริ่มเอนเอียง..เริ่มใจอ่อน..แต่สำหรับฉันเด็ดเดี่ยวพอที่จะกล่าวคำว่า ไม่มีทาง..ฉันไม่ใจอ่อนเด็ดขาด
9 ตุลาคม 2547 09:27 น.
เสือยิ้มมุมปาก
ดิฉันชื่อ ริน เรียนหนังสืออยู่ที่เพชรบุรี และชอบเล่นอินเตอร์เน็ตมาก
มาวันหนึ่งดิฉันเข้าไปเล่นใน puntip จนได้รู้จักกับผู้ชายคนหนึ่ง เราแลกเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์กับเพจกัน เขาชื่อ ปุ๊ก เรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งมีวิทยาเขตอยู่ที่นครนายก
แล้วหลังจากนั้นเราก็โทรคุยกันเรื่อย ๆ จนเกิดความรู้สึกผูกพันจนบอกไม่ถูกเหมือนกับคนเป็นคู่รักกันทั้งที่ไม่เคยเห็นหน้ากันเลยว่าอีกคนจะเป็นอย่างไร
เราโทรคุยและเพจหากันทุกวันทุกเวลา ดิฉันมีความสุขมาก เราคุยกันทุกเรื่อง แล้ววันนั้นก็มาถึง ปุ๊กมาหาดิฉันที่เพชรบุรี ดิฉันก็ไปรับปุ๊กมาที่หอของดิฉัน
ปุ๊กเป็นผู้ชายตัวใหญ่ หน้าตาหล่อทีเดียว พอเขาลงมาจากรถทัวร์
และดิฉันดูในรูปว่าเป็นคนๆเดียวกัน ก็เดินไปหาเขา แล้วขับรถกลับมาที่หอ แล้วเราก็เข้ามาที่ห้อง
ปุ๊กมองหน้าดิฉัน แล้วจับหน้าดิฉันเงยขึ้นมา พูดว่า ริน ไม่ต้องแต่งหน้านะ น่ารักกว่าเยอะเลย แล้วเขาก็ยิ้ม
ดิฉันก็ให้เขาไปอาบน้ำ แล้วดิฉันก็ทำอาหารเย็น แต่ทำไข่เจียวไหม้
ปุ๊กหันมามองดิฉันแล้วอมยิ้ม
ไม่เป็นไรหรอก ถึงไข่มันจะไหม้แต่มันก็อร่อยเพราะรินใส่ความตั้งใจในการทอด แค่นี้ก็พอ
ดิฉันได้ยินคำพูดคำนี้แล้วรู้สึกประทับใจมาจนถึงทุกวันนี้ ดิฉันรักเขาเข้าแล้วสิ แล้วคืนนั้นดิฉันก็เป็นของเขาโดยที่ดิฉันไม่นึกถึงอะไรเลย ไม่นึกถึงว่าเรากำลังเรียนทั้งคู่ ไม่นึกถึงว่าเหตุการณ์อะไรมันจะเกิดขึ้นในอนาคต
ปุ๊กอยู่กับดิฉันหลายวัน ดิฉันมีความสุขมากที่ได้อยู่ใกล้เขา แล้วเขาก็กลับไปเรียน เราก็ยังติดต่อกันเหมือนเดิม
ดิฉันหลงรักเขาจนบ้าทีเดียว เวลาเรียนก็นึกถึงหน้าเขาตลอดเลย
เวลานอนก็ต้องโทรคุยกันก่อนนอนถึงจะนอนหลับ
แล้ววันที่ 5 ธันวาคม 2541 ปุ๊กก็มาหาดิฉันอีก คราวนี้ปุ๊กเอาเสื้อสีขาวและเทปเพลงสากลมาให้ดิฉัน ดิฉันดีใจมากเลย แล้วเราก็อยู่ด้วยกันเหมือนเดิม
เราทะเลาะกัน ดิฉันจำไม่ได้ว่าเรื่องอะไรแล้วดิฉันก็ส่งปุ๊กกลับบ้าน ปุ๊กขึ้นรถไปแล้วไม่พูดกับดิฉันสักคำ เขาคงโกรธดิฉัน ทำไมดิฉันปากหนักไม่ขอโทษเขา และดิฉันก็จำไม่ได้ว่า ดิฉันทำอะไรให้เขาโกรธหรือเกลียด
พอดิฉันกลับมาถึงหอ ดิฉันก็นั่งร้องไห้กอดเสื้อที่เขาให้มา และเขาก็ไม่โทรมาหาดิฉัน ดิฉันก็ไม่ติดต่อหาเขาเพราะเขากลับบ้าน ดิฉํนไม่รู้ว่าโทรศัพท์ที่บ้านเขาเบอร์อะไร เพราะที่เราคุยกันนั้นเป็นโทรศัพท์ของเพื่อนเขา
เขาไม่เคยติดต่อกลับมา ดิฉันนอนกอดเสื้อเขาร้องไห้ทุกคืน เป็นเวลา 3 เดือน ดิฉันก็ไปฝึกงาน
มันเป็นอะไรที่แย่มาก เมื่อมารู้ว่าตัวเองกำลังท้อง
ดิฉันสับสนเสียใจ ไม่รู้ว่าอะไรมันเกิดขึ้นกับดิฉัน ดิฉันอยากฆ่าตัวตาย
แต่ก็ทำไม่ลง เพราะสงสารพ่อแม่และลูกของดิฉัน ดิฉันเคยคิดจะเอาเด็กออก แต่ทำไม่ลง เพราะเขาเป็นสายเลือดของดิฉันกับคนที่ดิฉันรัก
เมื่อดิฉันฝึกงานจบ ดิฉันก็จบอนุปริญญา ก่อนหน้านั้นดิฉันตั้งใจว่าจะเรียนต่อให้จบปริญญาตรี แต่เกิดมีเรื่องท้องเข้ามาก่อนประจวบกับพ่อแม่เลิกกันพอดี
มันเป็นเวรหรือกรรมซ้ำ ดิฉันก็ไม่รู้
ดิฉันไปอยู่ที่บ้านเพื่อน...เพื่อนและพ่อแม่เขาดีกับดิฉันมาก จนดิฉันคลอดลูกออกมาเป็นผู้ชาย หน้าตาน่ารักมากทีเดียว เขาหน้าตาเหมือนพ่อเขามาก แต่คนเป็นพ่อจะได้รู้ไหมว่าเขามีลูก ดิฉันสงสารลูกและเจ็บปวดหัวใจอย่างบอกไม่ถูก มันเป็นความทรมานและความชอกช้ำสำหรับดิฉัน
เมื่อก่อนดิฉันพยายามเขียนจดหมายไปที่มหาวิทยาลัยของเขา แต่เขาไม่เคยติดต่อกลับมา ดิฉันอยากบอกให้เขารู้ว่าเรากำลังมีลูก แต่ดิฉันไม่ต้องการเรียกร้องอะไรจากเขาเพราะเขายังเรียนไม่จบ แต่เขียนไปหาเขาเท่าไหร่ ก็มีแต่ความว่างเปล่ากลับมาทุกที
ทุกวันนี้ดิฉันพยายามลืมเขา แต่ก็ลืมไม่ลงเขาเป็นผู้ชายที่ใจร้ายมากที่สุด
เวลาผ่านมาหลายปี เขาคงมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบทุกอย่าง แต่อยากให้เขารู้ว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งต้องทนทุกข์ทรมานใจมาเกือบ 5 ปีแล้ว ต้องต่อสู้ชีวิตกับอดีตที่ขมขื่น
เมื่อปี 2545 น้องปริ๊นซ์ ลูกชายของดิฉันถามหาพ่อของเขา เขาอยากรู้ว่าพ่อของเขาเป็นใคร
เขาเห็นเพื่อน ๆ เขาเรียกพ่อ เขาก็คงสงสัยว่าพ่อเขาอยู่ไหน ทำไมเขาถึงไม่มีพ่อ และพ่อเขาไปไหน ดิฉันร้องไห้ พูดไม่ออก มันเจ็บไปที่ขั้วหัวใจ
ดิฉันทำงานและก็จ้างคนอื่นเลี้ยงลูกด้วย คนที่เขาเลี้ยงลูก เขาสงสารดิฉันกับลูก จึงคิดค่าเลี้ยงถูก ลูกดิฉันพูดเก่งและน่ารักมาก ใครเห็นก็รัก
ดิฉันมองหน้าลูกก็คิดถึงปุ๊กเพราะเขาหน้าเหมือนพ่อเขามากทีเดียว ทุก ๆ วันถึงดิฉันจะเหนื่อยแต่พอเห็นหน้าลูกก็หายเห นื่อย
แล้วเหตุการณ์ที่เจ็บปวดใจและทรมานที่สุดในชีวิตก็มาถึง เมื่อลูกดิฉันโดนรถบรรทุกชนจนเสียชีวิต ในปี 2545
ก่อนสิ้นใจเขาถามหาพ่อเขา ดิฉันอยากตายตามเขาไปด้วย ดิฉันไม่เหลืออะไรในชีวิตอีกแล้ว สภาพจิตใจดิฉันย่ำแย่มาก หนึ่งปีแล้วกับความทุกข์ทรมานกับการจากไปของสิ่งสุดท้ายที่ดิฉันรัก
แต่สิ่งสุดท้ายที่ดิฉันทำ ดิฉันอยากบอกกับปุ๊กว่า ดิฉันยังรักเขาอยู่เสมอแม้ว่าเวลาจะผ่านมาหลายปี
ดิฉันไม่รู้ว่าจิตใจปุ๊กยังจำผู้หญิงที่ชื่อรินได้หรือเปล่า แต่สำหรับปุ๊ก
ปุ๊กคือตราบาปของดิฉัน
ทุกวันนี้ดิฉันไม่เคยมองหรือยุ่งกับผู้ชายคนไหน ดิฉันเชื่อมั่นในความรักของดิฉัน ดิฉันเคยคิดว่าดิฉันอาจจะได้พบปุ๊กอีกครั้งตอนที่เรายังไม่เสียลูกไป
ดิฉันคงอ่านนิยายมากไป คิดว่าพระเอกคงจะได้มาพบนางเอก
ดิฉันมันบ้าเอง ตอนนี้ดิฉันไม่หวังและไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ดิฉันอยากให้ปุ๊กไปหาลูกที่หลุมฝังศพ เพราะเขาคงอยากเห็นหน้าพ่อของเขา แต่ถึงปุ๊กไม่มาหรือปุ๊กไม่รู้ดิฉันก็ไม่เคยเกลียดหรือโกรธเขา
ถ้าเขามีครอบครัวขอให้ครอบครัวเขาสมบูรณ์แบบทุกสิ่งทุกอย่าง อย่าได้เป็นเหมือนกับดิฉันเลย ดิฉันคงจะตามไปอยู่กับลูกของดิฉัน
สิ่งสุดท้ายที่เขาทิ้งไว้ให้กับดิฉัน มันไม่ใช่สิ่งมีค่าของเขา แต่มันมีค่าที่สุดในชีวิตของดิฉัน
สุดท้ายนี้ ฉันขอบใจเธอมาก หญิง (เพื่อนของผู้ตายที่ส่งบันทึกฉบับนี้มาให้คู่สร้างคู่สม) เธอเป็นเพื่อนที่ฉันรักมากที่สุดในชีวิต ถ้าเกิดเธอเจอปุ๊ก เธอพาเขามาหาฉันกับลูกที่หลุมฝังศพนี้ด้วย เธออย่าได้โกรธหรือเกลียดเขาแทนฉันเลย ขอให้เธอมีความสุขในชีวิตนะ อย่าได้เป็นคนอาภัพอย่างฉันเลย
หมายเหตุ นี่เป็นเรื่องของริน ก่อนที่รินจะจากโลกนี้ไป สำหรับตัวดิฉันคอยช่วยเหลือรินมาตลอด ดิฉันเข้าใจเขา และรู้ถึงความรู้สึกทุกอย่างของเขา ดิฉันคอยให้กำลังใจและปลอบใจเขาทุกอย่าง ดิฉันเห็นความขมขื่นสำหรับชีวิตของเขาว่ามันลำบากอย่างไร แต่ดิฉันก็เห็นความรักและความอดทนที่เขาจะสู้ชีวิตเพื่อลูกของเขา
ตอนนี้เขาได้พ้นทุกข์ทรมานทั้งกายและใจ (รินตัดช่องน้อยแต่พอตัว
เพื่อหนีความตรอมใจที่สูญเสียลูกชาย โดยการกินยาฆ่าแมลง เพื่อฆ่าตัวตาย และสุดท้ายก็ได้ตายสมใจ เนื่องจากหมอช่วยล้างท้องไม่ทัน)
ดิฉันขอให้รินไปสู่สุคติส่วนดิฉันเองเคยเห็นหน้าคุณวัชรพล (นามสกุลขึ้นต้นด้วยตัว พ.)หรือปุ๊ก 2 ครั้ง เห็นรินบอกว่าบ้านเขาอยู่ลพบุรี แต่ยังไงถ้าคนที่รู้จักผู้ชายคนนี้กำลังอ่านหนังสือคู่สร้าง-คู่สมอยู่ช่วยถามเขาหน่อยว่า ยังจำเรื่องนี้ได้หรือเปล่า ถ้ายังจำได้ ขอให้รู้ไว้ด้วยว่า ศพของรินกับลูกฝังอยู่ที่ วัดอัมพวัน อ.อัมพวัน จ.สมุทรสงคราม
ทั้งสองคนแม่ลูกยังรอคุณปุ๊กอยู่ แม้จะไร้ลมหายใจแล้วก็ตาม
ขอบคุณนิตยสารคู่สร้างคู่สม และ forward mail.......................................
3 ตุลาคม 2547 08:27 น.
เสือยิ้มมุมปาก
จักรยาน..ทำให้ฉันรู้ว่า..ความสุขที่แท้จริง..คือการได้นั่งหลังอาน
..เริ่มปั่น..ๆ..ๆ..ๆ..ๆ
..เริ่มห้อย..ลิ้น..ๆ..ๆ..ๆ..ๆ
..เริ่มหอบ..แฮ่ก..ๆ..ๆ..ๆ..ๆ
(..คำคมๆ..ของคุณ"วุฌาภรณ์"..)
>>
"พบ"
จักรยานสองคัน
พบกัน ณ เส้นขอบฟ้า
เพียงราตรี..เพียงทิวา
ลีลา..แยกย้าย
พลันตื่นลืมตา
ที่พ้นผ่าน คือมายา หรือ ความหมาย
คือนิยายชีวิต หรือชีวิตลิขิตนิยาย
...อย่างใดกัน
ส่องตาสุดฝั่งขอบฟ้า
ฟากหนึ่งมีจันทรา อีกฝั่งฟ้ามีตะวัน
สบดวงเพียงพริบ กลับนานปานฝัน
ฉะนั้น..หรือมายา
พบรู้..และเห็น
อุบัติการณ์บนเส้นขอบฟ้า
จะเศร้าไยกับการจากลา
ในเมื่อบางเสี้ยวเวลายังหมุนทบ
ทบแล้ว ทบเล่า
ทวนทบในใจเราไม่รู้จบ
มายา เถอะ มายาข้าอยากพบ
บรรจบขอบฟ้าให้ข้าที
จักรยานเดียวดาย
ซ้อนท้ายความหลังยังทุกที่
จุดหมาย..ใช่จะไม่มี
ตามหาที่..ที่ตะวันพบจันทรา
((..ส่วนฉัน..ตามหาครูอุ้ม..ซ.ลาวา))
29 กันยายน 2547 18:45 น.
เสือยิ้มมุมปาก
มหัศจรรย์วันที่ 29/09/47 ..สุข..สุด..แสน
วันนี้เราไปโรงเรียนพิมานพิทยาสรรค์..ใส่เสื้อรุ่น..รองเท้าผ้าใบ(ไฮโซ..แหวะ) กางเกงยีนส์ กระเป๋าสีดำ..เดินอาดๆเข้าไปอย่างค่อนข้างมั่นใจนะ
((แต่ก็หวั่นลึกๆเหมือนกันนะ..ก็เขินนี่นา..คนมอง..เราแปลกนักหรือ)) ............???
เดินเวียนไปวนมา..ลงท้ายก็หมวดอังกฤษ..ครูพวงpink ก็ยังนั่งตรวจงานอยู่...(อาจารย์ยังน่ารักเหมือนเดิมค่ะ) ก็คุยๆนิดหน่อย..แล้วก็เดินจากไป..((ทิ้งหัวใจไว้ที่นี่))
...จากนั้น..โทร.หาอาจารย์กัลยา (ที่ปรึกษาสุด love) ที่ไหนได้..[[ไม่อยู่คร่า!!]] เซ็งมาก..ตอนแรกที่มาตั้งใจว่าจะมา "บูม" อาจารย์ ย้อนหลังวันเกิดให้ซะหน่อย ((อดเลย))
แล้วก็ไปหาเพื่อนๆที่อาคารวิทย์ .. ก็ดีนะ .. แต่มีบางสายตาที่มองพวกเราแบบเหยียดๆ ((ไม่สนค่ะ..สาวมั่นนี่นา)) ก็คุยกันนานเหมือนกัน..แล้วก็เดินตามพวกเพื่อนๆไปตามวิชาต่างๆเรื่อยๆ
..มื้อเที่ยง..
" F7 team กลับมาอีกครั้ง...เราดีใจมาก..มาก...มาก..มาก..มากที่สุด..เรารอคอยเวลาเช่นนี้มาก็ค่อนข้างนาน..เอาที่คั่นหนังสือให้ไอแป้ง..กะ..นังออน..และก็ค่อนขอดมันว่า..ไม่ยอมมาตอนกีฬาสี (( I'บ้า เอ๊ย))
..กินข้าวเสร็จ...พวกเราก็ซื้อไอติมโคนชาเขียว แต่ไอหนากินชิพ .. ช่างเหอะ..มันชอบแบบนั้น..." มีความสุขมากๆ "
....คิดถึงเวลาเก่าๆของพวกเรา...เหมือนภาพถ่ายในความทรงจำ..เอ๊ะ!! อยู่ในกล่องเก็บฝันมากกว่ามั้งค์....
อยากจะยิ้มให้แก้มฉีก...กับความฝัน..ความทรงจำที่กลับมาเป็นความจริงอีกครั้ง... :-)
และก็ไม่ได้ทำอะไร..เดินไปนู้นที..ไปนี้ที...ลงท้ายอีกที..ก็ไปนั่งคุยกับ อ้อม เมย์ และก็ใครไม่รู้ (มะรุจักชื่อ..แต่เค้ารู้จักชื่อเราอ่า) คุยกันสนุกดีนะ..เข้ากันได้ง่ายๆดี..จ้ะ
...และสุดท้าย..หลังจากตัดตอนบางกิจกรรมที่ขี้เกียจพูดไปเยอะ...
ปรางไปยืนทำมิวสิค..หน้าห้องพิมพ์ดีด (ใกล้ที่วางรองเท้า) มองทางกระจก..จะเห็น "อาจารย์ภัทรวดี" (ครูอุ้ม) ในกระจก..เป็นเงาอ่า...น่ารักนะ...อายุมากแล้ว..ยังร่างดีอยู่เลย..ไม่รู้จะพูดยังไง..ว่าเราคิดถึงครูอุ้มมากๆ
ยอมไปยืนรอ...ให้ใครๆเดินมองหน้าไป..มองหน้ามา..."ก็คนมันรัก" .. พออาจารย์ออกมา..เราก็ทักทายตามปกติ..แล้วชวนคุยไปเรื่อยๆ...นะ...
...........ไปรอเพื่อนๆ เรียน..คีตศิลป์..นานมั่กๆๆ................
สุดท้ายจริงๆนะ..ก็ไปลาครูอุ้ม ครูพวง ครูวราภรณ์ ครูลัดดา..สุดท้ายไปกราบลาป๋าแล้วก็โบกมือลา..ทีเด็ด.."ส่งจูบให้ป๋า - - ป๋าก็ส่งจูบคืน" เด็กๆที่นั่งกันในห้องก็มองหน้าสบตากันเลิ่กลั่ก..อิอิ ..เขิน..
..ลืมบอกไปว่า..ป๋าเป็นผู้ชาย..ผู้ชายทีเป็นผู้หญิงอ่านะ..ยังไม่มีแฟน..ไม่มีชายใด..หลงกลป๋าซะที..เฮ้อ -_-' สงสารจัง..แล้วเราก็เดินออกมาขึ้นรถหน้าโรงเรียน สวัสดีคุณยาม แล้วก็เดินออกมาด้วยความสุขใจยิ่ง รู้มั้ย ตอนรอรถ..
เห็นคุณธนบัตร ขับรถผ่านไปก็เลยทัก...นิดหน่อยนะจ๊ะ...