28 มีนาคม 2549 16:48 น.
เสือยิ้มมุมปาก
ฉันชอบตอนเช้า ตอนเช้าที่ฝนตก ฉันปรารภขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน เพียงเสียงลมหายใจเท่านั้นที่บ่งบอกถึงความมีชีวิต
ฉันมีความสุขนะ นั่งมองสายฝนผ่านจุดเดิมเดียวกันกับ.. ขณะสายตาจับอยู่ที่ดอกจำปาซึ่งค่อยโน้มตัวลงเมื่อสายฝนโปรยผ่านและดีดตัวกลับอีกครั้งเมื่อเม็ดฝนผ่านพ้นไป
ดีจริงๆเลยที่วันนี้ฝนตก,ฉันคิดกับตัวเอง บ่ายวันนี้ต้องออกนอกบ้าน มีธุระสำคัญ ฝนตก,.ก็ไม่ได้ทำให้ความพยายามลดลง ใช่ ฉันต้องไปให้ได้ .. ฉันไม่ไปไม่ได้ ไม่ใช่สิ อย่างไรก็ตามฉันก็ต้องไป
และอีกครั้งที่วันนี้กาแฟหอมกรุ่น ลอยออกจากถ้วยกาแฟเบื้องหน้า ในวันที่ฝนตกเช่นนี้ ฉันมักจะใช้มือกุมถ้วยกาแฟไว้ เพื่อกำซาบไว้ซึ่งความอุ่นทรวง ย้อนคำนึงถึงความทรงจำในห้วงสุข..,แหละวันนั้นก็เป็นอีกวันที่ฝนตก ฉันจำได้..
ฉันลากเก้าอี้ไม้มาวางริมหน้าต่าง จิบกาแฟและมองออกไปอย่างครุ่นคิด .. ฉันนึกอยากนั่งนิ่งๆอย่างนี้นานๆ อาจเป็นไปได้ กว่าจะบ่าย เวลาเหลือเฟือ,ฉันคิด
ฝนยังคงตก ในขณะที่เด็กนักเรียนประถมสี่ห้าคนกึ่งวิ่งกึ่งเดินฝ่าสายฝน โคลนแฉะไม่ได้ทำให้พวกเขาระแคะระคายหรือหวาดหวั่นต่อก้าวย่างที่จะย่ำต่อไปทีละก้าว น้ำโคลนกระเซ็นเปรอะเปื้อนถุงเท้าสีน้ำตาลซีด กระเป๋าใบเขื่อง ลอยตัวเหนือศีรษะเด็กๆ ประหนึ่งร่มกันฝน รอยยิ้มและเสียงหัวเราะก้องกระทบโสตประสาทของฉัน ., ในวันฝนตกพวกเด็กๆก็มีความสุขเหมือนกันกับฉัน
,
ตอนบ่าย, ฟังบรรยายวิชาวรรณคดีเสร็จ เดินออกจากคณะ ยังไปได้ไม่ไกล ฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก รู้สึกแย่จัง! รีบวิ่งเข้าใต้ตึก หลบฝน รู้สึกหนาวๆ ฮัดชิ้ว ตอนนี้กำลังจามอยู่เลย เป็นหวัดแน่ๆ เฮ้อ ทำยังไงดี พรุ่งนี้มีสอบวิชาการแสดง ไม่รู้ตานั่นจะมามั้ยนะ ? คิดมาก บ้าไปแล้ว .. หลับดีกว่า ราตรีสวัสดิ์
ฉันละเลียดกาแฟแก้วที่สองของวันอันกรุ่นละมุนอย่างเชื่องช้า แก้วแรกเพื่อเติมเต็มรสสเน่หาซึ่งขาดหายไปเมื่อนอนหลับ และแก้วที่สองเพื่อเพิ่มพลังแห่งชีวิตในช่วงวัน แต่บางครั้งก็เพียงต่อลมหายใจ .. ฉันรับรู้และเข้าใจว่าเหตุอันใดใครหลายคนจึงเลือกที่จะเริ่มต้นวันใหม่ด้วยกาแฟ,ฉันคิด
..,
ตื่นเต้นมาก วันนี้มีสอบวิชาการแสดงวรรณคดี ซ้อมมาก็หลายวัน ไม่ได้กลัวอะไรนอกไปเสียจากสายตาเจ้าเล่ห์คู่นั้น จะทำได้มั้ยเนี่ย อย่ามาเลยนะ แสดงล่มมีหวังโดนแน่ ขอทีเถอะ ขออย่าให้เป็นอย่างที่คิดเลย เพี้ยง สาตุ๊ๆ
อีกครั้งที่วันนี้ฉันตื่นมาพบกับพระสงฆ์ซึ่งเดินบิณฑบาต ฉันเพียงแต่ตั้งจิตอนุโมทนาบุญเท่านั้น ช่างแปลกนัก ที่เมื่อก่อนกับทุกวันนี้มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง .. ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม คำตอบยังคงซ่อนอยู่ภายใต้แววตาพร่าหม่นคู่หนึ่ง แต่มันก็สายเกินไปที่จะเฟ้นหาคำตอบนั่น
..,
เอาอีกแล้วผ่านมาอีกจนได้ นายนั่น มาที่หอประชุมคณะ ยิ้มกรุ้มกริ่ม ไม่รู้ว่ายิ้มให้ใคร หรือจะเป็นเรานะ แต่คงไม่ใช่หรอก หรือถ้าใช่ เชอะ.. เราไม่ยิ้มตอบหรอกน่า มันไม่ง่ายขนาดนั้น แต่มันก็แปลกนะ หลังจากวันนั้น วันที่แสดงเสร็จน่ะ ไม่เคยเลยที่จะเดินผ่านตึกเด๊ค แต่จู่ๆ เรากลับเดินไปวนเวียนหน้าตึกคณะเด๊ค คิดมากไปรึป่าว ฮึ? .. บ้าปล่าๆน่า
เสียงเพลงคุ้นหูจากการบรรเลงเปียโนของโชแปง แว่วกระทบโสตประสาท ยิ้มน้อยๆค่อยๆผุดพรายขึ้นที่มุมปาก แต่ทว่าน้ำตาเม็ดใสกลับค่อยๆไหลรินจากเบ้าตาทั้งสองข้าง ช้าๆราวกับต้องการสงวนท่วงท่าและลีลาของตนไว้ ฉันเชื่อ,มันคือน้ำตาแห่งความสุข .. ใช่ ฉันมีความสุข
..,
อืม บันทึกหน้าสุดท้ายของเราแล้วสินะ ไดอารี่หมดเล่มซื้อใหม่ได้ แต่นี่เราเรียนจบแล้วสิ .. จะมีโอกาสแบบนี้อีกมั้ย ช่วงเวลาแห่งความสุข เมื่อวานตานั่นบอกเราว่า ไม่ว่าเราจะจากกันไปนานแค่ไหน แต่ในวันฝนตกที่เรารู้สึกเหมือนกัน เราจะมาเจอกันที่ร้านกาแฟข้างมหาลัย .. แต่แววตาเขาบ่งบอกว่าเชื่อมั่นแน่ ว่าเราจะกลับมาเจอกัน ด้วยความรู้สึกที่เหมือนเดิม อ้อ!เกือบลืม ตานั่นให้แผ่นโชแปงมาด้วย
ใครกันมาเคาะประตูเรียกแต่เช้า เดินออกไปดูสักหน่อย บุรุษไปรษณีย์นี่เอง คงเป็นค่าน้ำค่าไฟเหมือนทุกเดือน,ฉันคิด
เอ๊ะใครกัน ส่งโปสการ์ดมาให้ โปสการ์ดสีน้ำซะด้วยสิ ลายเส้นคุ้นๆ เหมือนฉันจะเคยเห็นนะ เคยเห็นที่ไหนหว่า ตามหน้าหนังสือสิปประภา .. นึกไม่ออก ฉันบ่นกับตัวเองด้วยเสียงขาดเป็นห้วงๆซึ่งเปี่ยมด้วยความสับสนปนสงสัย พลางครุ่นคิดถึงเจ้าของภาพวาดสีน้ำบนโปสการ์ดขนาดกะทัดรัดนั่น
พลิกดูอีกด้านที่เป็นส่วนข้อความ ภาพความทรงจำอันคุ้นเคยปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ฝนยังคงโปรยเม็ดต่ออย่างสม่ำเสมอในขณะที่ฉันแต่งตัว ฉันเลือกกางเกงยีนส์เข้ารูปอย่างดี สวมคู่กับเสื้อผ้าฝ้ายทอมือที่เพื่อนเก่าสมัยเรียนซื้อมาฝากจากเชียงใหม่ นานๆครั้งฉันจึงจะหยิบเสื้อชุดนี้มาใส่
ในวันที่ฝนตกเช่นนี้,ฉันควรใส่เสื้อผ้าสบายๆ ปล่อยอารมณ์แข่งไปกับสายฝน บางทีความรู้สึกเก่าๆอาจหวนกลับคืนมาในวันฝนตกเช่นนี้ก็เป็นได้
ฉันขับรถฝ่าสายฝนที่ตกโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง นึกอยากเปิดเพลงบรรเลงเบาๆ แต่บรรยากาศท่ามกลางสายฝนเช่นนี้ ฉันควรจะใช้สมาธิปลดปล่อยไปกับบรรยากาศรอบข้าง ขับรถตีโค้งเป็นระยะ มองย้อนกลับไปตามเส้นทางเดิม ภาพโพลาลอยด์วางแผ่อยู่ข้างๆที่นั่งคนขับ ทุกครั้งที่ฉันรู้สึกประทับใจ การถ่ายภาพเก็บไว้คือสิ่งที่ดีที่สุด และแม้ใครหลายๆคนจะเคยบอกไว้ว่า เวลาที่เราประทับใจหรืออยู่ในสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดความพึงใจ กับกำซาบความรู้สึกที่ดีที่สุด .. อาจจะจริง แต่สำหรับฉันยังไม่ใช่ในเวลานี้
ฉันยังคงขับรถขนานไปกับทิวเขา ผ่านทุ่งนาเขียวชอุ่ม กระท่อมไม้ไผ่ และลมหายใจชาวนาที่ยังคงผ่อนเร่า ถนนในยามเปียกฝนยิ่งดำเข้มกว่าทุกวัน พื้นถนนครานี้เป็นมันวาว เลี้ยวผ่านข้างโรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง อีกไม่กี่กิโลเมตรข้างหน้าก็จะออกสู่ถนนใหญ่ ใจเต้นระรัวเหมือนครั้งหนึ่งที่ผ่านมา
ฉันค่อยๆชะลอรถอย่างช้าๆจอดเทียบหน้าร้านกาแฟ ติดผนังกระจก ฉันจ้องมองป้ายไม้หน้าร้านสลักลายมือ maison de café บ้านกาแฟ ฉันเกือบตัดสินใจก้าวเข้าไปในร้าน ร่มใช่ฉันลืมร่มไว้ในรถ กลับไปเอาร่มก่อนดีกว่า,ฉันคิด
ฉันเดินย้อนกลับมาตามฟุตบาททางเดิมอีกครั้ง ฝนยังคงตกอยู่เช่นเดิม ร่มคันเก่าของฉันยังทำหน้าที่ของมันได้เป็นอย่างดี ฉันเดินเรื่อยๆ ห้วงคำนึงมีเพียงข้อความในโปสการ์ดสีน้ำ และบันทึกสุดท้ายจากไดอารี่เล่มนั้น
ฉันยังคงยืนอยู่หน้าร้านกาแฟแห่งเดิม กางร่มพร้อมสะบัดให้แห้ง ผมดำขลับของฉันโดนสายฝนกระเซ็นใส่ สัญชาตญาณเหมือนมีใครจ้องมองอยู่ผ่านกระจกสีชาจากในร้าน ฉันหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา กดหาเบอร์ที่ต้องการ แบตเตอรี่หมดเสียแล้ว .. จะทำยังไงดี จะทำยังไงดี,ฉันครุ่นคิดกับตัวเอง
หันกลับไปมองในร้าน มองเห็นสายตาคุ้นเคยคู่หนึ่งกำลังจ้องมองมาที่ฉัน แต่พลันสายตากลับมองไปที่หญิงสาวร่างท้วมอีกคนหนึ่ง หล่อนคนนั้นก้าวเข้าไปในร้านกาแฟโดยมิได้หยุดเพื่อมองหรือครุ่นคิดใดๆเหมือนฉัน ชายในร้านยิ้มกว้างกับหญิงผู้นั้น แต่ท่ามกลางความว่างเปล่าที่ตอบสนอง ชายผู้นั้นมีสีหน้าตกตะลึงในบางอย่าง ริมฝีปากเผยอ ฉันคิดว่าเขาพยายามพูดกับฉัน ..
ร่มปราศจากหยดน้ำ ปลายรองเท้าผ้าใบเริ่มแห้งแล้ว ฉันตัดสินใจเดินเข้าไปในร้านด้วยท่วงท่าที่ใครหลายคนต่างมองว่าเป็นวินาทีการก้าวเดินของนางพญาหงส์ เช่นนั้นทีเดียว ฉันจ้องมองใบหน้าของชายผู้นั้นในขณะเดียวกันที่เขาก็จ้องมองมาที่ฉันเช่นกัน และรอยยิ้มกว้างก็เปิดขึ้น เสียงหัวเราะทุ้มๆแฝงไว้ด้วยความรู้สึกอบอุ่นทุกครั้งทีได้ยินก็ระเบิดออก
ฉันเร่งฝีเท้าเดินไปที่โต๊ะเล็กๆมุมหนึ่งของร้าน บรรยากาศสลัวๆเช่นนั้นทำให้ฉันเริ่มไม่แน่ใจกับความคิดของตนเองอีกครั้ง
ผมสั่งเหมือนเดิมนะครับ
ค่ะ คาปูชิโน
ดีใจจังที่คุณจำได้ว่าผมชอบดื่มกาแฟอะไร
ไม่เคยมีที่จะลืมเรื่องราวของเราค่ะ
เสียงขับกล่อมจากศิลปินหญิง ลอรีนา แม็คแคนนิสต์ ดังขึ้นจากมุมหนึ่งของเครื่องเสียงชั้นดี ซ่อนตัวภายใต้รูปลักษณ์ของกรอบแผ่นเสียงทองคำ ฉันพยายามสบตาเขา ในขณะแววตาอบอุ่นคู่นั้น ที่ครั้งหนึ่งฉันกลับคิดว่าเป็นแววตากรุ้มกริ่มเจ้าเล่ห์กำลังพยายามวิ่งตามการแอบหนีของฉันอยู่เป็นระยะ
ไม่น่าเชื่อนะ ที่เราจะรู้สึกเหมือนกันและกลับมาพบกันอีกครั้งในวันฝนตก
อะไรก็เป็นไปได้ค่ะ
เสียงโทรศัพท์เขาดังขึ้น เขาขอตัวตามมารยาทแต่ก็ยังคงนั่งคุยอยู่ตรงที่เดิม ราวมองไม่เห็นว่าฉันก็นั่งอยู่เบื้องหน้าเขา จำสำเนียงได้ว่าเขาคงคุยกับลูกชายที่โทร.มาปรึกษาเรื่องพาสปอร์ตที่คงมีปัญหา .. เอ๊ะ เขามีลูกชาย มีครอบครัวแล้วสิ , ฉันซักถามกับตัวเอง
คุณแต่งงานแล้วเหรอคะ
ผมน่ะ ลูกสองแล้วครับ คุณล่ะ
ก็เรื่อยๆ
คุณชอบพูดอะไรเป็นปมให้ผมขบคิดอยู่เรื่อยเลยนะครับ
และเขาสารภาพกับฉันว่า เขาคิดว่าการมาพบกันในวันนี้ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเปลี่ยนแปลง เขาคิดว่าฉันคงอ้วนตุ๊ต๊ะ เป็นยายแก่บ้างาน .. และความรู้สึกที่เคยมีอาจแปรสถานะไป
คุณรู้มั้ย ว่าทุกอย่างของเรายังเหมือนเดิม
ฮื่อ ฉันเพียงแต่ตอบรับ แต่ความรู้สึกในใจกับลิงโลดและเต้นไม่เป็นส่ำ เมื่อได้ยินคำพูดนั้นจากปากเขา ฉันคิดในใจ,เขาจะพูดเหมือนที่รู้สึกจริงๆหรือ แต่ผู้ชายอบอุ่นอย่างเขา คงไม่โกหกเพียงเพื่อให้ฉันสบายใจหรอกนะ
เขาอ้อมแอ้มอะไรบางประโยคอยู่หลายนาที จากนั้นค่อยๆล้วงกล่องแบนๆออกมาจากกระเป๋าเอกสาร หยิบมันวางเบื้องหน้าฉัน เขาพยายามจะพูดอะไรบางอย่างออกมา ฉันเอื้อมมือไปป้องปากเขาไว้
พอเถอะค่ะ ไม่ต้องพูดแล้ว ฉันเข้าใจ ฉันเข้าใจเสมอ
ชีวิตจริงและชีวิตในห้วงฝันใช่ว่ามันจะไปด้วยกันไม่ได้ มันไปด้วยกันได้ค่ะ เพียงเราแยกแยกให้ถูกต้อง ให้เหมาะสมกับความสมดุลของชีวิต
การงานและความรู้สึกงั้นหรือ? เขาถามฉันพลางเลิกคิ้วพองาม ฉันรู้สึกเหมือนเขายังคงเป็นนักศึกษาศิลปะคนเก่าที่คุ้นเคย
ใช่แหละ
ฉันและเขาปล่อยเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกัน
15 มิถุนายน 2548 08:19 น.
เสือยิ้มมุมปาก
เพียงได้ยินคำพร่ำเพ้อ..
ใจฉัน
..มันก็สั่นไหว ระริก - ระทึก
เพียงสายตาปะทะ..
กับภาพเก่า ณ วันวาน
..ตาฉันมันก็รื้น..ฝ้าฟาง
เพียงได้สัมผัส..ใกล้ชิด
อุ่นไอที่โหยหา
ห้วงรักของฉันแทบจะกระโจนตน
. . . ด้วยความโหยไห้ . . .
ฉันรอคอย..
วันเวลา..
ที่จะกลับไป ณ ที่เก่า
ตรงนั้น..อีกครั้ง
แต่จะมีใคร?
เหตุผล?
อยากให้ฉันกลับไปบ้างไหม
อาจจะมีสายตาเหยียด
นัยน์ตาหยาม
..ช่างเถอะ!!
ไม่ได้สลักสำคัญเช่นไรเลย
นอกเสียจากทุกอย่างที่เกิดขึ้น
ภายใต้ก้นบึ้งของจิตใจฉัน
และพร้อมจะทำมันให้ดีที่สุด .. เท่าที่มี
5 มิถุนายน 2548 08:33 น.
เสือยิ้มมุมปาก
กูแทบจะพลัดตกเก้าอี้ด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด
ก็แน่ละสิ !!
ที่กูมั่นใจขนาดนี้ .. เจ้าพ่อยืนยันเป็นนักเป็นหนา
ได้ล้มหมู เชือดวัว กินให้นอนใน ก็คราวนี้แหละ
........................................
กูหมุนคลื่นเอฟเอ็ม
ฉอ-ฉ่า-ฉอ-ฉ่า
สลับกันไปมากับเสียงโฆษก
หูได้ยินอะไรห้าห้าห๊ะห๊ะ
โอ๊ย กูฟังไม่รู้เรื่องแล้ว
ก็มันตื่นเต้นนี่นา..ทำไงได้
.........................................
เอาวะ!! กูถูกหวยว่ะ เลขท้าย 3 ตัว
ไปโรงหมู ..
ไปเลือกหมู ..
กูว่า " เออ หมูนี้มันน่าสงสารจังเลยนะ "
กูอีกน่ะแหละที่ว่า "ทำไงได้ว๊า ก็กูถูกหวย ไม่ฆ่าหมู ให้ไปฆ่าแมวที่ไหน"
และคืนนั้น กูก็กินหมู กินเหล้า กินข้าว กินไพ่ .. อิ่มหนำสำราญจริงๆ
.........................................
กูเข้าเมือง
ด้วยความรู้สึกสยิวกิ๊ว..กริ่มๆ จะอ้วกหน่อยๆ
ไปยื่นอะไรต่ออะไรมากมาย
ซึ่งกูก็ไม่รู้เหมือนกัน
ไอ้เจ้าหน้าที่มันเริ่มมองหน้ากัน
เลิ่กลั่ก
...........................................
ทำไมล่ะวะ ??
กูสงสัยอีกน่ะแหละ
หรือกูจะลืมรูดซิป ลืมติดกระดุม
...........................................
มันบอกกูว่า
"เอ่อ เอ่อ ป้าครับ ป้าซื้อเลขอะไรนะครับ"
" 5 5 5 "
" ครับ "
" ทำไมล่ะ "
" มันออก 515 ครับป้า"
.............................................
กูโอดครวญเสียงอ่อย
" แล้วกูจะเอาเงินที่ไหนไปเสียฆ่าหมูวะเนี่ย "
.....................................................
15 พฤษภาคม 2548 08:41 น.
เสือยิ้มมุมปาก
ประชาธิปไตย แปลมาจากคำในภาษาอังกฤษว่า Democracy ซึ่งคำนี้มาจากรากศัพท์ว่า Demokration ในภาษากรีก แปลว่า การปกครองของประชาชน ดังที่อดีตประธานาธิบดี ลินคอน
ของสหรัฐอเมริกาเคยกล่าวไว้เป็นเสมือนคำคมว่า "รัฐบาลประชาธิปไตย คือ รัฐบาลของประชาชน เพื่อประชาชน และโดยประชาชน" ซึ่งหมายถึงระบบการปกครองตามอุดมคติ ระบบหนึ่ง ที่รัฐบาลในระบบประชาธิปไตยจะให้โอกาสอันเท่าเทียมกันในการดำรงชีวิต การแสวงหาความสุขที่แท้จริง
สำหรับฉันแล้ว ระบอบประชาธิปไตยไม่ใช่ระบอบการปกครองที่ดีที่สุด เป็นเพียงระบอบการปกครองที่เลวน้อยที่สุด ทว่ายังคงเป็นระบอบการปกครองที่ได้รับความนิยมสูงสุดในนานาอารยะประเทศ รวมถึงประเทศไทย ผืนดินมาตุภูมิแผ่นผ้างแห่งความภาคภูมิใจของฉันด้วย
นัยเดียวกัน การที่สังคมมนุษย์ส่วนใหญ่ ใช้ระบอบประชาธิปไตยในการปกครอง สามารถบ่งบอกได้ถึงความไม่ลงตัวของการปกครอง แต่..มนุษยชนก็ไม่สามารถหาทางออกให้กับการจัดสรรความเป็นอยู่ให้ลงตัวได้ ...
ตามทัศนติของฉัน .. แม้ว่ารูปธรรมแห่งการใช้อำนาจ..เพื่อการแสวงหาอำนาจของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย จะเป็นไปใน ทางอ้อม นั่นคือ การเลือกผู้แทนราษฎร เข้าไป..เพียงเพื่อให้แลคล้ายกับได้ทำหน้าที่เป็นปากเสียงแทน แต่อย่างไรก็ตาม การปกครองก็ยังคงยืนหยัดภายใต้อุดมคติของผู้ที่ต้องการสร้างความขัดแย้ง ให้กลับกลายเป็นความแข็งแกร่ง .. อาจลืมไปว่า แท้จริงแล้ว มันคือการกัดกร่อนประชาธิปไตยเสียมากกว่า และการที่ระบอบประชาธิปไตยทางอ้อมได้ถูกสถาปนายกย่องขึ้นให้เป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่คนส่วนใหญ่ยังคงยากจน ด้อยโอกาสในหลายๆด้านนั้น แน่นอนที่สุด สิ่งแรกที่สำคัญที่สุด คือการแข่งขันทางการเมืองเพื่อขึ้นไปยืน ณ จุดที่สูงสุด โดยประชาชนผู้มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนน้อยกว่าอาหารมื้อค่ำของใครสักคน กลับกลายเป็นรากฐานทางการเมืองที่สำคัญ และมีความชอบธรรมอันเป็นคุณค่าสูงสุดเช่นกัน
สิ่งที่เลวร้ายที่สุดในระบอบประชาธิปไตย คือ ความฉ้อฉล แลเห็นศักดิ์ศรีของประชาชนตาดำๆเป็นของไร้ค่า แต่เก้าอี้ทางการเมืองของตนนั้น..แสนเลอค่า.. อาจจะลืมไปว่า บางทีขาเก้าอี้อาจจะแตกร้าวไปบ้างแล้ว หรือเป็นเช่นนี้.. การเมืองแบบเลือกตั้ง..ประชาธิปไตยจอมปลอมนั้นไม่ใช่พื้นที่สำหรับคนส่วนใหญ่ที่ยากจนและด้อยโอกาสอย่างฉัน
จากเหตุการณ์วิกฤตการทางเศรษฐกิจ ในปีพ.ศ. 2540 ที่ผ่านนั้น นับว่าเป็นฝันร้ายที่ตามหลอกหลอน เข่นฆ่าประชาชนไทย ทุกเวลาทุกสถานการณ์ เกิดผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของชาวไทยทั้งชาติ นำเสนอให้เห็นถึงความย่ำแย่ทางการปกครองระบอบประชาธิไตย อาจเป็นเพราะระบอบนี้ ยึดถือวาทะไทยที่ว่า มือใครยาว สาวได้สาวเอา หรือไม่ ที่ทำให้สภาพเศรษฐกิจของไทยต้องเละเทะเช่นนั้น ถึงกระนั้นนักวิชาการหลายท่านได้นำเสนอว่า ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยควรหันมาคิดทบทวนรูปแบบการปกครองที่เคยใช้กัน เพราะ ความล้มเหลวทางการปกครอง ที่ผ่านมานั้น สามารถเป็นเครื่องยืนยันได้ดีถึงกลโกงที่สวยหรู น่าหลงใหลสำหรับใครบางคน แต่กลับเป็นฝันร้ายของใครอีกหลายคนเช่นกัน
แม้พฤษภาทมิฬจะผ่านไป อาจไม่ว่างเปล่าเสียทีเดียว เสียงเรียกร้องของประชาชนยังก้องกระทบเป็นเสียงสะท้อนระหว่างกัน ปรากฏเป็นรูปของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน แม้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 จะเป็นความภาคภูมิใจของชาวไทยได้ในระยะหนึ่ง ประเทศไทยกระเถิบขีดขั้นการพัฒนาขึ้นมาอีกสักก้าวหรือสองก้าว แต่ความต้องการ ความโหยหา ของฉันยังคงอยู่ห่างไกลจุดหมาย..จุดหมายที่ต้องการจะเพิ่มอำนาจแท้จริงที่หนักแน่นและถาวรให้แก่ประชาชน เปิดโอกาสให้ประชาชนอย่างฉันได้มีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายบ้าง สองในห้าของการตัดสินใจ เพราะประชาชนคือผู้ที่สัมผัสกับปัญหาอยู่กับปัญหามาปีแล้วปีเล่าอย่างแท้จริง แต่..ทำได้เพียงแค่รอคอยการแก้ไขด้วยใจที่ไร้หวัง แล้วการปฎิรูปที่ผ่านมาช่วยได้มากน้อยเพียงใด คำตอบเดียวที่รวดร้าวราวกรวดทรายซึ่งเหยียบย่ำหัวใจประชาชนไทยอย่างฉันคือ ไม่
แต่อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยก็ต้องยอมรับระบอบการปกครองนี้โดยดุษณี โดยนักวิชาการบางท่านได้เสนอทางออกร่วมกันว่า หลักธรรมรัฐ หรือ ธรรมาภิบาล สำหรับวินาทีนี้ ย่อมเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับการผ่อนปรนปัญหาระเกะระกะในสังคมไทย คือ การปกครองด้วยประชาธิปไตย ที่ต้องคำนึงถึงความถูกต้อง ความชอบธรรม ความเป็นธรรมและความดีงามเป็นส่วนสำคัญในการปกครองด้วย อาจกล่าวได้ว่า นี่แหละสอดคล้องกับหลักธรรมาธิปไตย (ธัมมาธิปไตย) ทางพระพุทธศาสนานั่นเองที่พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ได้นำเสนอต่อสาธารณชนเสมอว่า หลักธรรมาธิปไตยเป็นแกนจริยธรรมของประชาธิปไตย เพราะธรรมาธิปไตยคือรากฐานทำให้ประชาธิปไตยได้บรรลุภารกิจของหลักการปกครอง ที่นำมาใช้เป็นประโยชน์ก่อให้เกิดสันติสุขและความผาสุกที่แท้จริงของชาวโลกและสังคมไทย ได้ตลอดไป
และการที่ประชาธิปไตยในระบอบประชาธิปไตย โดยยึดแนวทาง หลักธรรมรัฐ จะเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้องนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับคุณภาพทางอุดมการณ์ความคิดของประชาชน นั่นคือถ้าหากประชาชนมีคุณภาพดี ประชาธิปไตยย่อมมีคุณภาพดีด้วย แต่ถ้าประชาชนมีคุณภาพต่ำ ประชาธิปไตยก็จะเป็นการปกครองที่เลวร้ายด้วย เพราะ คุณภาพของประชาธิปไตย ขึ้นอยู่กับคุณภาพของประชาชน แล้วคุณภาพของประชาชนขึ้นอยู่กับอะไร ก็ขึ้นอยู่กับการศึกษา ??
ฉันเชื่อว่า .. การปกครองระบอบประชาธิปไตยนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอาศัยการศึกษา อย่างน้อยที่สุด ก็เพื่อเป็นการตระเตรียมรากฐานความพร้อมของคนที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการปกครองของสังคมระบอบประชาธิปไตย และนี่คือ สาระที่ สำคัญที่สุด คือการเตรียมคนให้พร้อมที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในสังคมประชาธิปไตย หรือในกระบวนการประชาธิปไตยทั้งหมด ถ้าไม่เตรียมการคนอย่างนี้ กระบวนการประชาธิปไตยก็จะกลายเป็นกระบวนการที่ล้มเหลว เพราะว่า บุคคลที่เป็นส่วนร่วมซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนกระบวนนั้น ไม่มีคุณภาพ ไม่มีความพร้อม ทว่าตอนนี้..ถ้าสิ่งที่ฉันรับรู้มามีส่วนของความเป็นจริงอยู่ในระดับที่เชื่อถือได้ นั่นย่อมหมายความว่า ประเทศไทยผิดเสียแล้วล่ะ ในเมื่อการศึกษาก่อเกิดรากฐานในการปกครองที่ดี แล้วคนที่ไม่มีวุฒิการศึกษา แต่เสนอหน้ามารับใช้ประชาชน ถ้าหากมาด้วยความตั้งใจจริง มาด้วยหัวใจเปี่ยมล้นด้วยความรักในประเทศไทย แน่นอนย่อมให้อภัยกันได้ แต่..ใครอีกหลายๆคน ที่พกวุฒิการศึกษามาเต็มที่ .. แต่ภายใต้จิตสำนึกรักประเทศไทยกลับไม่ต่างอะไรกับคนไร้วัฒนธรรม เช่นนั้นไป ด้วยภาพการณ์เช่นนี้..ฉันรอคอยคำตอบของคำถาม ใครผิด เสียเหลือเกิน
ยังคิดไม่ตก .. ประชาธิปไตยในบ้านเมืองเราที่กำลังเฉิดฉายเรืองอำนาจกันอยู่ในขณะนี้ พัฒนาไปถึงไหนแล้ว หรือนักการเมืองอำนาจสูง จิตใจต่ำยังวนเวียนกันอยู่แต่ในวังวนของผลประโยชน์ อำนาจ และพวกพ้องเท่านั้น
เห็นทีถ้ายังคงเป็นเช่นนี้..อีกไม่สักเท่าไร ผู้ที่ต้องเสียใจเป็นที่สุด ย่อมหนีไม่พ้น ประชาชน เฉกเช่นฉันเป็นแน่!!!
การปกครองเป็นของใคร คนไทยหรือนักการเมือง??
14 พฤษภาคม 2548 15:03 น.
เสือยิ้มมุมปาก
สิ่งที่ดีที่สุด..ไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด
การมองของคนอื่น..คนอื่น
ไม่ใช่ของเรา..ของเรา
สิ่งที่เรามอง..สิ่งที่คนอื่นเห็น
"ปัจเจก"
..ตัวตนและเงา..
แน่นอน ย่อมสะเปะสะปะ "แตกต่าง"
..เชื่อในสิ่งที่มีและเป็นไป..
..เงาจะจับมือตนไว้..
อีกทั้ง "ก้าวไปด้วยกัน"
อีกครา "ปัจเจก"
มองย้อน .. หัว - เท้า .. หยิบความคิดใส่ชีพจร
..ลงเท้า..โดดเดียวดาย แต่มั่นใจ .. แปลกแยก..
"แตกต่าง"