30 มกราคม 2549 20:01 น.
เสือยิ้มมุมปาก
เราไม่เขียนบทกวีแล้วแหละ..
เราไม่มีอะไรจะเขียน
เราไม่รู้จะเขียนอะไร
เราเพียงแค่ปล่อยให้หยาดหมึก
หยาดหมึกเป็นๆ
ดิ้นได้
หยดลงผืนกระดาษว่างเปล่า
เราไม่ได้ตั้งใจนะ
โอ้ว...เราขอโทษ
เราไม่เคยเขียนบทกวี
ทั้งๆที่เราอยาก
อยากเหลือเกิน
เป็นความปรารถนาและโหยไห้
ที่เต้นริกๆอยู่ตรงหว่างอก
เราพยายาม...
เราพยายาม
ไม่มีใครรู้ว่าเรากำลังทำอะไร
หลายคนมองว่าเราพยายามดิ้นแถก
เพื่อหลุดพ้นจากแอกของสังคม
เราเหมือนรับรู้ พยักหน้า
แต่ไม่..
ไม่แม้แต่จะจับสำเนียงว่า
มันคืออะไร
แล้วจะอะไรกันนักกันหนากับชีวิต
เท่านี้ก็ดีแล้ว
จะไขว่คว้ากันไปเพื่ออะไร
ไขว่คว้าไปก็สะดุดขาตัวเองล้ม
เดินเหยียบเท้าคนอื่น
หรือ..
เหยียบไหล่คนอื่น เพื่อให้ตัวเองสูงขึ้น
งั้นหรือ??
เงียบ
.
.
บางทีเราก็อยากอยู่กับมัน
แต่บางทีเราก็เกลียดมัน
อยากหนีมันไปให้พ้น
ให้ไกล..
ไกลเกินจะเพรียกกลับ
สู่ห้วงหาวแห่งความเป็นจริง
ลับลงแล้วล่ะ
เส้นขอดแวงแห่งกาลเวลา
จากเราไปแล้วล่ะ
เวลาของเราหมดแล้ว
อย่างไรกัน,
เวลาของเราหรือ??
เราเป็นเจ้าของไปแล้ว
อัตตา ??
อยู่แห่งหนใด
กลับมาได้ไหม
เป็นตัวตนของความว่างเปล่า
หรือความว่างเปล่าที่มีตัวตน
.
.
เช่นเดิม..
นานแล้วที่เราไม่เคยคิดจะเขียนบทกวี
เราไม่เคยริเป็นกวี
แปลกใจกับบางคนที่เรียกตัวเองเช่นนี้
ซึ่ง..
มันจากเราไปแล้วล่ะ
ไอ้ความเป็นกวี
มันหนีหายไปแล้ว
หรือเราจะกลืนมันไปพร้อมกับข้าว
คำสุดท้ายของวัน - -
และเราก็ได้สนองตอบต่อตัณหาของตนเอง
ตัณหา..ซึ่งว่างเปล่า
ไม่มีแม้ราคะหรือความโหยไห้
อย่างไร..
มิอาจรู้ !!
ศุภวัลยา ปรางแก้ว
22 มกราคม 2549 07:55 น.
เสือยิ้มมุมปาก
ปฐมลิขิต - - คิดถึงบ้านกลอนใจจะขาด..นานแล้วไม่ได้กลับมา คิดถึงพี่พุดนะคะ พี่รันคะ พี่คงเข้าฌานมาหาปรางได้นะ.. 55+ (ล้อกันเล่นค่ะ) คิดถึงทุกคนแหละ.. จบข่าว 0..0
๏ ณ มุมหนึ่งข้าครวญชวนใจร้าง
ด้วยเคว้งคว้างว่างเปล่าบนวิถี
ข้าเคียงข้างเพียงลำพังทุกนาที
แม้ราตรีท่ามตะวันหวั่นน้ำนอง
ข้ารอคอยลอยลมก้มกระซิบ
แว่วคำหยิบหยอดหวานผ่านโสตสอง
เพียงแผ่วผิวริ้วรักจักจับจอง
ร้างสิ้นรักปกครองเจ้าของใจ
เมื่อใดหนอเมื่อใดใจจักเปิด
รับแสงเพริดพราวฟ้าคราสดใส
ในนัยน์ตาข้านี้ไม่มีใคร
ในนัยน์ตาเขานั้นไซร้มีเพียงเธอ
เธอและเขากระเซ้ากระซิกระริกหยอก
สัพยอกเดินตามความเสนอ
ปริศนาแห่งชีวิตลิขิตเจอ
เขาแหละเธอสัมผัสซึ้งซึ่งความนัย
ข้าจำต้องสบตาข้าพเจ้า
ฟังคำเล่านิราศรักจักสงสัย
ตาเขาตาเธอคือตาใจ
แล้วตัวข้าเมื่อใดได้พบพาน
แว่วเสียงเพรียกลำนำพร่ำกระทบ
เขาเธอมิรู้จบสบคำหวาน
แม้วันพรุ่งจะโหดร้ายคล้ายวันวาน
กลับห้าวหาญมิหวั่นเกรงเพลงอารมณ์
๏ ณ มุมนี้ข้าพินิจคิดสงสัย
ปนสับสนก่นน้อยใจไม่สุขสม
เหตุไฉนใจข้าจึงตราตรม
มองสุขรุกรมย์ก้มรอคอย
( แม้สักน้อยรักของข้าย่อมมาเยือน )
( มิลบเลือนรักหวานกรีดย่านใจ )
14 มกราคม 2549 12:18 น.
เสือยิ้มมุมปาก
ข้าพเจ้าสบตาข้าพเจ้า
แลไฟฝันสั่นร้าวท่ามกร้าวแข็ง
นัยน์ตาบ่งชัดชีพข้าว่าไร้แรง
หมดสิ้นซึ่งแสงแห่งดวงตา
ข้าพเจ้าสบตาข้าพเจ้า
ถามไถ่ไฝ่เล่าเฝ้าห่วงหา
ตอบเถิดตอบถ้อยแห่งวิญญาณ์
วิสัชนาไร้ปุจฉาจึงข้าครวญ
เว้ย!ท่านเหตุไฉนไร้แรงสิ้น
ไฟฝันกลับคืนดินสิ้นเกินหวน
แปรแล้วแปรเล่าเฝ้าแปรปรวน
ตัวข้าล้วนพบประเด็นเห็นตนรวม
ตัวตนตรงหน้าข้าใช่ไหม
หรือไม่ใช่เพียงเทริดที่เอิดสวม
หรือข้ามีสองชีวิตจิตกำกวม
หรือข้าร่วมใช้ชีวากับข้าเอง
( แบ่งบรรเลงเพลงชีวิตจิตผูกพัน )
2 มกราคม 2549 15:21 น.
เสือยิ้มมุมปาก
เมื่อคืน..
อีกแล้วล่ะ สำหรับฉันที่ทำให้หล่อนต้องเจ็บปวด
ทั้งร่างกายและจิตใจ หรือ มากกว่านั้น..
มิอาจรู้ได้
เป็นเพียงความเลินเล่อของฉันแท้ๆ
หล่อนเจ็บกาย..แต่น้ำจากเบ้าตาฉันซึมปริ่ม
ฉันร้องไห้ - -
แม้ฉันมิได้กระทบกระเทือนสักกระผีก
แต่ใจฉันนี่สิ..
มันอาจจะกลับกลายเป็นก้อนเนื้อดิ้นได้ ที่เป็นริ้วๆ
เหมือนตับเป็ดในหม้อต้ม .. ก็เป็นได้
มันเจ็บร้าวหลายเท่ากว่ากันนัก
จากบทกวี "ชีวิตกูที่มิใช่ของกู"
แสดงออกถึงความอหังการแห่งชีวิต
ยิ่งใหญ่บนความย่อยยับ - -
เมื่อคืน..
ฉันเห็นความทรมานของหล่อนคนหนึ่ง
ซึ่งเกิดจากฉัน..
ฉันร้องไห้ .. ฉันเสียใจ .. ฉันโกรธตัวเอง
และเกลียดตัวเองยิ่งนัก
ดวงตาส่องประกาย ภายใต้โคมแสงจันทร์ที่เยื้องหน้าระเบียง
ฉันพยายามอย่างยิ่งที่จะเก็บความอ่อนแอไว้
ซ่อนไว้ภายใต้หัวใจหม่น
... ฉันรู้แล้วว่า ...
หัวใจฉันยังคงมีความรู้สึก
รู้สึกต่อคนที่ควรค่าแก่การรู้สึก
.. ฉันยังเฝ้ามองปลายมือที่ช้ำเลือดของหล่อน
ด้วยใจที่ห่วงหา พะว้าพะวงยิ่งนัก
อย่าว่าแต่นอนเลย
แม้แต่จะกระพริบตา ยังไม่กล้า
ฉันลูบแขนอันไร้แรงของหล่อนแล้ว
น้ำตาก็เอ่อท้นรอบดวงตา
ผันหน้าหนี..
ทั้งที่ใจยังกอดรัดแขนและใจของหล่อนไว้ด้วยรัก
... ....
...............
ฉันรักหล่อนคนนี้เกินกว่าจะบอกให้ใครรู้ได้
แม้แต่ตัวฉันยังไม่เคยรู้เลยว่า - - รัก
ตอนนี้ ..
เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืนแล้ว
รู้สึกเลยว่า ไม่มีมือของใครจะอบอุ่นและน่าสัมผัส
เทียบเท่ามือของหล่อนได้อีกแล้ว
หาใช่มือที่เนียนนุ่ม
แต่กลับเป็นริ้วรอยแห่งกาลเวลา
เติบโตเป็นความหยาบกร้าน
อยากกระซิบเบาๆด้วยหัวใจที่ลิงโลด..
รักมาก - - รักด้วยหัวใจที่บอกได้เลยว่า
รัก 'เกินกว่าคำว่ารัก . . .
วันฝนกระหน่ำ๔๘
หาดใหญ่ ประเทศไทย
2 มกราคม 2549 15:18 น.
เสือยิ้มมุมปาก
ครั้งแรก..
สำหรับการทอดน่องย่างกรายด้วยความบังเอิญ
และ
สำหรับการเยือนบ้านหลังนี้
รู้สึกอบอุ่น
และคล้อยตามในบางวาระและรูปการณ์
...
..
แม้ปุถุชน มิควรพยักพเยิดสิ่งใดโดยไร้ซึ่งสติไตร่ตรอง
แต่ในบางคราว ..
การหยุดและพิจารณาสิ่งรอบตัว
ก็ทำให้สภาวะการณ์บางอย่าง
คลี่คลาย..
และหนีห่างเงื่อนปมปัญหา
อาจเล็กหรือใหญ่
ไม่สำคัญเท่ากับ ..
เรานำมันมาเป็นสิ่งปิดกั้นชีวิตหรือไม่
ความจริงซึ่งเป็นไป - -
เด็กหนุ่มผู้ซึ่งห้อมล้อมด้วย
ความระยิบระยับแห่งดวงดาว
อันเนื่องมาจากความคม
ซึ่งพร้อมเสมอ..
เป็นความอหังการ์แห่งชีวิต
ที่น้อยคนนักจะสามารถก้าวมาถึงจุดนี้ได้
.
.
อาจยังไม่ถึงแก่นแท้ว่า
บ้านหลังนี้..มีวิถีเช่นไร
แต่ - -
วินาทีนี้ ..
มีเพียงความชื่นชม
ในลักษณ์ของปูชนีย์
.
.
ดาวดวงอื่น..ซึ่งระยิบระยับเต็มท้องฟ้า
แต่เพียงไม่กี่ชั่วกาล
ก็กลับร่วงโรย
แต่ . .
สำหรับเด็กหนุ่มผู้นี้
เขามีเส้นทางอี่กยาวไกล
หากเพียงแต่พร้อมจะก้าวไปข้างหน้า
ด้วยแรงใจและไฟฝัน
.
.
กำลังใจซึ่งเปี่ยมล้นอยู่รอบกาย
และไหลทะท้นท่วมในจิตใจของเขา
อย่างแน่นอน - -
ที่จะนำพาเด็กหนุ่มผู้นี้
ไปถึงฝั่งฝันอีกด้านหนึ่งของปลายสะพาน
.
.