14 มีนาคม 2545 11:31 น.

ช่วยแวะเวียนเข้ามาหน่อยเถอะค่ะ

เสี้ยว

วันนี้เสี้ยวอ่านหนังสือพิมพ์ตอนเช้า พาดหัวข่าวที่เสี้ยวอยากเล่าให้ทุกคนฟังก็คือ

ตชด.ล้างคลองเตย  ตร.รวบเด็กค้ายา อ้างเชิดเงินไม่ได้ค้ายา  แม่ครวญทั้งน้ำตา บอกลูกแล้วอย่าออกมามั่วสุม

เด็กปากน้ำกินดิน แก้หิว มีพัฒนาการทางสมองช้า ทั้งพ่อและแม่ติดยาบ้า

คลั่งยารัวอาก้าดวลตร. ล้อมจับกว่า 10 นาที จนท. เจ็บ3  คนร้ายดับ

รวบตัวพี่ชายโปรกอล์ฟไทย ตร.สงสัยค้ายาบ้า

เสี้ยวอ่านแล้วใจหายเลย ยังมีของวันก่อนๆอีก คือมีข่าวอย่างนี้ทุกๆวันเลย เสี้ยวย้อนคิดไปเมื่อประมาณปีที่แล้ว มีข่าวประเภทนี้น้อยกว่านี้ครึ่งหนึ่ง (จากการคาดประมาณโดยส่วนตัว)  หมายความว่าใน1 ปี มีอัตราการเพิ่มของปัญหายาเสพย์ 1 เท่าตัว น่าตกใจมากเลย 

ไม่รู้ใครได้ฟัง green wave หรือ bangkok radio หรือเปล่า ช่วงนี้มีการโปรโมทคอนเสิร์ตต่อต้านยาเสพย์ติดมากเลย แต่เสี้ยวก็ว่ามันยังน้อยอยู่ดีเมื่อเทียบกับปัญหาที่เกิดขึ้น  พวกเราควรทำอย่างไรดีคะ ในฐานะคนไทย 1 คน				
6 มีนาคม 2545 00:14 น.

ยอดเทคโนโลยี

เสี้ยว

ผู้บริหารสี่คนออกรอบตีกอล์ฟด้วยกัน ระหว่างตีกอล์ฟอยู่ที่หลุมสองเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ผู้บริหารชาวแคนาดาควักโทรศัพท์มือถือออกสั่งการให้ซื้อหุ้นไมโครซอฟท์ 1000 หุ้น เสร็จแล้วก็หันมาคุยอวด ผมต้องพกโทรศัพท์มือถือ เพื่อให้ลูกน้องติดต่อผมได้ตลอดเวลา กำลังไดรว์กันอยู่ที่หลุมสาม โทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก ผู้บริหารชาวอเมริกันก็ยกนิ้วชี้ไว้ที่ปาก และยัดนิ้วโป้งเข้าที่หู เขาพูดโทรศัพท์จบก็หันมาคุยโม้ ผมฝังไมโครโฟนและหูฟังไว้ในนิ้วมือ ผมไม่อยากพกโทรศัพท์มือถืออันโตให้เกะกะ ทั้งหมดตีกอล์ฟกันต่อไป ขณะที่กำลังพัทกันอยู่บนกรีน โทรศัพท์ก็ดังขึ้น ผู้บริหารชาวเยอรมันลุกขึ้นยืนหันซ้ายหันขวาและสั่งการลูกน้อง เสร็จแล้วก็หันมาคุยโอ้อวดบ้าง ผมฝังไมโครโฟนไว้ที่ลิ้น และฝังหูฟังไว้ในหู ผมเพียงแค่ยืนขึ้นให้สัญญานชัดก็พอแล้ว ทั้งก๊วนทึ่งในเทคโนโลยี่นี้จริงๆ โทรศัพท์ดังขึ้นอีกที่หลุมถัดมา ผู้บริหารชาวญี่ปุ่นรีบวิ่งหายเข้าไปหลังพุ่มไม้ เพื่อนร่วมก๊วนเห็นเขาหายไปนานจึงเดินไปดู พวกเขาเห็นชาวญี่ปุ่นถอดกางเกงนั่งยองๆ อยู่ พวกเขาจึงถอยหลังออกมา ไม่เป็นไรหรอกครับ ชาวญี่ปุ่นว่า ผมกำลังรับแฟกซ์อยู่				
6 มีนาคม 2545 00:14 น.

เรื่องนี้ก็น่าอ่านนะ

เสี้ยว

มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง อาศัยอยู่บ้านหลังหนึ่ง ทุกๆเช้า 
ภรรยาจะแอบมองดูเพื่อนบ้านจากหน้าต่างชั้นบนบ้าน 
และวิ่งกลับมารายงานให้สามีฟัง 
 เพื่อนบ้านเรานี่ซักผ้าไม่เป็นเลย เสื้อผ้าสกปรกเหลือเกิน 
ไม่รู้เขาใช้ผงซักฟอกยี่ห้ออะไร หรือใช้วิธีซักอย่างไร  
สามีก็ตอบว่า อย่าไปสนใจคนอื่นเขาเลย เราซักผ้าของเราให้สะอาดก็แล้วกัน 
แต่ภรรยาก็ยังไปแอบดูเพื่อนบ้านอยู่ทุกเช้าจากหน้าต่างข้างบนบ้าน 
และวิ่งกลับมารายงานสามีทุกเช้า 
 เสื้อผ้าของเขาสกปรกอีกแล้ว 
ต่อมาวันหนึ่ง ภรรยาวิ่งลงมารายงานสามี ด้วยความแปลกประหลาดใจ ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น เสื้อผ้าของเขาขาวสะอาด อยากจะรู้เหลือเกินว่า เขาเปลี่ยนมาใช้ผงซักฟอกยี่ห้ออะไร หรือทำอย่างไร.. 

สามีหัวเราะและกล่าวว่า นี่..ฉันรำคาญเธอเหลือเกิน 
เมื่อเช้าฉันตื่นแต่เช้ามืด และไปเช็ดกระจกหน้าต่างให้ใสสะอาด.. 
ก่อนหน้านี้ กระจกมันสกปรก เธอมองออกไป ก็เห็นแต่ความสกปรก.. 
มนุษย์เราชอบมองคนอื่น โดยผ่านจิตใจของเราออกไป 
เมื่อจิตใจของเราสะอาด เราก็จะเห็นแต่ความดีงามรอบๆ ตัว 
แต่ถ้าจิตใจของเราสกปรก เราก็จะเห็นแต่ความสกปรกรอบตัว 
การที่เราเห็นแต่ความเลวรอบ ๆ ตัวเรา เราต้องเข้าใจว่า 
แท้ที่จริงแล้ว สิ่งที่เราเห็น มันเกิดขึ้นในจิตใจของเรา 
และเราจะต้องหาทางฝึกจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ 
ถ้าเราเห็นแต่สิ่งที่เลว จิตใจก็ไม่สงบ เราก็จะกลุ้มอกกลุ้มใจ มีความทุกข์ 
แต่ถ้าเราหัดมองในแง่ดี เราก็จะคิดแต่สิ่งที่ดี 
จิตใจก็จะเบิกบานและมีความสุข 

หมายเหตุ.. 
บทความบทนี้เขียนโดย.. ดร. อาจ-อง ชุมสาย ณ อยุธยา 
จากหนังสือ ชีวิตงาม เล่มที่ ๘ หน้าที่ ๔๑				
3 มีนาคม 2545 21:07 น.

เรื่องของโรงพยาบาล โปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน (กลัวขี้เกียจอ่านกันจัง)

เสี้ยว

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อต้นเดือนม.ค.2545นี้เอง เป็นเรื่องจริงที่ไม่
เคยรับรู้มาก่อนจนกระทั่งได้พบเห็นกับตนเอง และครอบครัว เมื่อ
กลางดึกของคืนวันที่ 1 ม.ค. พ่อแน่นหน้าอกหายใจไม่ออกต้องรีบ
นำส่งรพ.โดยด่วน จึงนำส่งที่รพ.จุฬา เพราะเห็นว่าใกล้บ้านที่สุด
และมีบัตรคนไข้อยู่แล้ว (เมื่อวันที่ 30 ธ.ค.2544 พี่สาวพาพ่อไปหา
หมอที่จุฬาเพราะ มีอาการไอเจ็บคอ หมอตรวจแล้วบอกไม่มีอะไร
และให้ยามาทาน) 



คืนนั้นพ่อต้องนอนรพ.เพราะอาการหนัก หมอได้เจาะคอต่อท่อช่วย
หายใจและต่อสายให้ยาและอาหารทางจมูก หมอบอกให้ญาติกลับ
บ้านได้พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่เพราะห้ามเฝ้า เนื่องจากต้องนอนห้องรวม
ที่ ตึกวชิราวุธ (ชั้นล่าง) ทุกคนจึงต้องกลับบ้านในเวลาเกือบตีสาม 
วันรุ่งขึ้น (2 ม.ค.2545) พวกเราไปเยี่ยมพ่อ เมื่อไปถึงได้เห็นสภาพ
ห้องรวม 10 เตียง มีพัดลม 1 ตัว มีหนูวิ่งเล่น และยุงเยอะมาก (ตัว
โตเหมือนยุงป่า) เมื่อดูสภาพคนไข้แต่ละเตียงก็ยิ่งสลดหดหู่ใจ 
อาการหนักหนาสาหัสทุกราย 



ซ้ำร้ายเมื่อได้คุยกับญาติผู้ป่วยเตียงอื่นจึงรู้ว่ามีคนป่วยที่เป็นโรค
เอดส์, วัณโรค ฯลฯ ซึ่งเราคิดว่าไม่น่าที่จะนำมารวมอยู่ในห้องเดียว
กันเลย เพราะคนไข้แต่ละรายไม่แข็งแรงอยุ่แล้วอาจเกิดโรค
ติดต่อกันทางอากาศ และทำให้ทรุดหนักลงกว่าเดิม 



เราจึงถามพยาบาลและหมอว่าต้องการย้ายไปห้องพิเศษเดี่ยวได้
ไหม ซึ่งเขาบอกให้ติดต่อที่พยาบาลประจำการของวอร์ดนี้ ชื่อ มา
ณี สื่อทรงธรรม เมื่อเข้าไปสอบถามเราได้รับการมองลอดแว่นตา
ของพยาบาลผู้นี้ (ประมาณว่าคงไม่มีเงิน) และถามห้วน ๆ ว่าต้องการ
ห้องราคาเท่าไหร่ ราคาสูงสุด 3,000 บาท พี่ชายเราจึงตอบว่าราคา
เท่าไรก็ได้ขอย้ายห้อง พยาบาลคนนี้ก็ตอบว่าตอนนี้ไม่มีห้องเต็ม
หมดแล้ว แถมยังบอกอีกว่าได้นอนเตียงที่ตึกนี้ก็โชคดีอยู่แล้ว 
เพราะบางคนไม่มีเตียงจึงต้องนอนรอในห้องอุบัติเหตุ-ฉุกเฉินด้วย
ซ้ำไป 



แต่พี่ชายก็ยืนยันว่าย้ายไปห้องพิเศษเพราะไม่อยากให้ต้องนอน
ในสภาพที่เป็นอยู่ ก็ได้รับคำตอบว่างั้นต้องจองคิวไว้ก่อน และยังขอ
ให้ฝากเงินไว้ด้วย 5,000 บาท เพื่อเป็นค่าจองห้องพิเศษ 


ขณะที่กำลังดูเงินว่าพอหรือเปล่าและหันไปถามน้องสาวที่ยืนอยู่ด้วย
ว่า มีเงินเท่าไร พยาบาลคนนี้ก็มองลอดแว่นด้วยท่าทีดูถูกและบอก
ว่า ถ้ามีไม่ถึงเอามาสัก 3,000 บาทก่อนก็ได้ พี่ชายจึงวางเงินไว้ให้ 
หลังจากนั้นเราก็เข้าไปดูอาการของพ่อและถามหมอเจ้าของไข้ ได้
รับคำตอบว่าพ่อมีอาการหัวใจวาย แต่ยังไม่แน่ใจ ต้องรอตรวจให้
แน่นอนก่อนซึ่งหมอบอกว่ายังไม่สามารถทำอะไร จนกว่าจะรอให้
อาการดีขึ้นกว่านี้ก่อน เราจึงต้องเฝ้ารอดูอาการกันต่อไป 



ต่อมาช่วงบ่าย มีญาติคนไข้รายหนึ่งร้องไห้จากนั้นหมอและ 
พยาบาลประจำวอร์ดเข้ามาดูและบอกว่าเสียชีวิตแล้ว จากนั้นเอาผ้า
คลุมและเดินออกไป (โชคดีที่พ่อเราหลับอยู่ไม่งั้นถ้าเห็นคงแย่) 
จากนั้นมีคนไข้อีกรายเข้ามาพร้อมลูก เราได้ยินเขาบ่นกับลูกสาวว่า
ไม่เอาไม่นอนที่นี่ (อาจเป็นเพราะเห็นอาการแต่ละรายสาหัสและ
สภาพแวดล้อมแย่มาก) แต่ลูกเขาบอกว่าเออน่านอนไปก่อนพ่อ
เดี่ยวจัดการให้ แล้ววันรุ่งขึ้นเขาก็ได้ย้ายไปห้องพิเศษทันที (เพิ่ง
มาทราบภายหลังว่าเป็นข้าราชการซี 8) 



ขณะที่เฝ้าพ่ออยู่ห้องรวมเราได้เจอและพูดคุยกับญาติคนไข้หลาย
ราย เขาบอกกันว่าจองเตียงพิเศษทั้งห้องเดี่ยวหรือห้องรวมก็ได้มา
นานแล้ว บางเตียงอยู่เป็นอาทิตย์แล้วก็ยังไม่ได้เตียงเลย เขาบอก
กันว่าคงยากที่จะได้ห้อง บางคนบอกกลับบ้านแล้วยังไม่ได้ห้องเลย
มั้ง 


ตอนนั้นทุกคนพยายามทุกวิถีทางติดต่อหาคนรู้จักเผื่อพอมีเส้นสาย
ได้บ้าง จะได้ย้ายเตียงย้ายตึกเพราะเห็นว่าถ้ายังอยู่ตึกนี้อาจอาการ
แย่กว่าเดิม หรือตายเพราะเป็นไข้เลือดออกแน่ และอีกอย่างคือ 
ขาดการเอาใจใส่ของแพทย์ (ดูแล้วแต่ละคนจะเพิ่งเรียนจบ) คำ
ตอบของแพทย์ไม่สามารถแจงได้ว่าพ่อเป็นอะไรแน่ ทำให้ทุกคน
ไม่มั่นใจในการรักษาและมีความรู้สึกว่า เหมือนเอาคนไข้มาเป็น
หนูทดลองเรียนของสถาบันแห่งนี้ 



เราปรึกษากันและบอกหมอว่าต้องการย้ายพ่อไปรพ.เอกชน แต่ได้
รับคำตอบว่าเคลื่อนย้ายไม่ได้ หากจะย้ายญาติคนไข้ ต้องเซ็นย้าย
เอง หมอไม่เซ็นให้และยังพูดอีกว่า ระหว่างย้ายอาจช็อกอันตรายถึง
แก่ชีวิตก็ได้ 



เราจึงบอกไปตามตรงว่าไม่ค่อยสบายใจที่เห็นพ่อต้องนอนอยู่ใน
สภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่ อีกทั้งยังสรุปไม่ได้ว่าเป็นอะไรแน่ หมอทำ
เป็นยึนยันว่าหัวใจแน่นอน เราจึงถามไปว่างั้นมีที่ไหนที่มีการ
รักษาโดยตรงเกี่ยวกับโรคหัวใจ ก็ได้รับคำตอบอย่างหยิ่งยโสของ
หมอ (ที่ดูแล้วเหมือนเพิ่งเรียนจบ) ว่าไม่มี และหมอของที่นี่ก็เก่งกัน
ทุกคน พวกเราไม่สามารถทำอะไรได้ และรู้ว่าหมอไม่พอใจเพราะหลังจากวันนั้น หมอก็ไม่ค่อยมาสนใจ คงมีแต่อาจารย์พยาบาลที่นำ
นร.พยาบาลมาฝึกภาคปฎิบัติเป็นผู้ที่ เราคอยสอบถามอาการของพ่อ
ได้ แต่ท่านและนร.จะอยู่ช่วยดูแลผู้ป่วยแค่ 3 วัน (พุธ,พฤหัส,
ศุกร์) และกลับกันตอน 4 โมงเย็น เมื่อท่านและเด็ก ๆ กลับไปแล้ว 
ก็เพลือแต่พยาบาลเวรและแพทย์เวรประจำวอร์ด ซึ่งไร้
จรรยาบรรณไม่ใส่ใจดูแลคนไข้ เพราะเมื่อมีการกดออดเรียกจาก
คนไข้หลายเตียง ซึ่งส่วนใหญ่ลุกไม่ได้และต่อท่ออากาศและท่อ
หายใจ มีคนไข้ไอและมีเสลดจึงจำเป็นต้องเรียกพยาบาลมาดูดให้ ตอนนั้นพ่อเราก็ไอเช่นกัน มีคนไข้ประมาณ 4 เตียงกดออดเรียก 
พยาบาลเวรผู้หนึ่งเดินเข้ามาด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ และยืนเท้า
สะเอวและพูดว่า กดเรียกกันอยู่ได้ ทำเตียงไหนก่อนดีวะ จาก
นั้นก็เดินไปดูดเสลดคนไข้แต่ละเตียงอย่างไม่เต็มใจ และมาที่
เตียง พ่อเรา ซึ่งเรายืนอยู่ข้างเตียงพยาบาลผู้นี้ สั่งให้เราถอดสาย
ท่อตรงจมูกให้พ่อ ซึ่งเรางงว่า เราไม่ใช่พยาบาลถ้าทำพลาดแล้วจะ
เกิดอะไรขึ้น จึงบอกให้พยาบาลผู้นั้นช่วยทำเอง เธอจึงทำและหัน
มาบอกว่า ทำแบบนี้นะทีหลังจะได้ทำเองไม่ต้องเรียกพยาบาล (เรา
ลืมดูชื่อมาไม่งั้นจะพิมพ์ชื่อประจานให้คนทั่วไปได้รับรู้ถึง ความเลว
ร้ายของที่นี้) 



เราต้องมาเฝ้าพ่อทุกวันซึ่งที่นี่ให้อยู่ได้จนถึง 2 ทุ่มเท่านั้น ได้เห็น
และรับรู้พฤติกรรมเลว ๆ ของที่นี่หลายอย่าง เราได้พูดคุยกับอาจา
ร์ยที่พานร.พยาบาลมาสอน เขาบอกว่าเราเสียเงินมาใช้บริการของ
รพ.แล้วจึงควรใช้บริการ และเป็นหน้าที่รับผิดชอบของพยาบาลที่
ต้องทำ 



เรารู้ว่าท่านเข้าใจความรู้สึกและรู้ดีว่าการทำงานของเจ้าหน้าที่ตึกนี้
เป็นอย่างไรแต่ท่านไม่มีสิทธิ์หรืออำนาจใดๆที่จะช่วยเราได้ 



ยังมีเรื่องที่เราอยากให้ทุกคนได้รับรู้ถึงระบบการโกงเงินที่ทำได้
ง่าย ของจนท. นั่นคือ การให้ญาติฝากเงินไว้ ย้อนไปที่เล่าว่าวันที่ 
2 พยาบาลชื่อ มาณี สื่อทรงธรรม ได้เรียกเก็บเงินจากพี่เราไป 
3,000 บาท โดยบอกว่าเป็นค่าจองห้อง พอวันรุ่งขึ้น (3 ม.ค.) 
พยาบาลผู้นี้เรียกเราไป บอกว่าเงินที่ฝากไว้หมดแล้ว ขอเงินฝาก
เพิ่มใหม่ เนี่ยเมื่อคืนเลยไม่กล้าให้ยาคนไข้ เพราะไม่มีเงินเบิก 
เราก็งงไม่เข้าใจ (เพราะปกติรพ.ทั่วไปจะออกใบแจ้งหนี้ ทุก 3 วัน
เพื่อให้นำไปจ่ายเองที่ฝ่ายการเงิน) เราได้รับการชี้แจงแบบห้วน 
ๆ และไม่พอใจของพยาบาลผู้นี้ว่าเป็นระเบียบใหม่ของรพ..ต้องฝาก
เงินไว้ก่อน สำหรับเบิกค่ายาต่าง ๆ ให้คนไข้ ถ้าหมดแล้วต้องฝาก
ใหม่หรือ จะฝากทีเดียวก้อนใหญ่ถ้าเหลือจะคืนวันออกจากร พ. เรา
บอกขอใบเสร็จว่า ใช้ค่าอะไรไปบ้าง หล่อนบอกต้องรอวันพรุ่งนี้ถึง
ได้ แถมยังย้ำอีกว่า ถ้าฝากเงินไว้ไม่พอเวลาจำเป็นต้องเบิกยาให้
คนไข้ก็เบิกไม่ได้ จนกว่าจะมาฝากเงินเพิ่ม เราจึงถามหล่อนไปว่า 
งั้นคนไข้รายไหน ไม่มีเงินฝากไว้ก็จะมาก็ตอนเช้า หากเกิดฉุก
เฉินตอนกลางคืน ซึ่งห้ามญาติอยู่เฝ้า คนไข้ไม่ตายก่อนเหรอ 
หล่อนจึงตอบว่า เป็นระเบียบใหม่รพ.และไม่พอใจเรา และพูดว่า
งั้นไม่ต้องฝากก็ได้ แต่ต้องจ่ายเงินทุกวันหากบิลมาเก็บค่ายาหรือ
เอ็กซเรย์ต่าง ๆ ซึ่งทุกวันที่เรามาเฝ้าพ่อต้องจ่ายเงินสารพัด รวม 5 
วันที่นอน ตึกวชิราวุธ (ชั้นล่าง) รวมเป็นเงินเกือบสามหมื่นบาท 



นี่หรือรพ.ของรัฐบาลสำหรับประชาชน ขนาดไม่ได้อยู่ในโครงการ 
30 บาทรักษาทุกโรค ยังบริการย่ำแย่ห่วยแตกขนาดนี้ แล้วถ้าคน
ไข้ที่ไม่มีเงินละ คงเหมือนวันแรกที่ต้องตายนั่นแหละ 5 วันที่ต้อง
รักษาอยุ่ที่ตึกนี้ ทรมานมากทั้งคนไข้และญาติ พวกเราดิ้นรน
พยายามหารายชื่อหมอที่เป็นอาจาร์ยหมอบนคลินิกพิเศษและไป
เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟัง ท่านบอกเป็นอาจารย์คุมตึกนี้และจะไป
ดูอาการของพ่อให้ วันนั้นที่ท่านมามีแพทย์เวรประจำวอร์ดนี้หลาย
คนตามเข้ามา และโดนอาจารย์ท่านนี้ต่อว่า บอกให้เอาต่อท่อสาย
ต่างๆ ออก เพื่อคนไข้จะได้ดีขึ้นกว่านี้ และยังพูดกับแพทย์เวรเหล่า
นั้นว่า เขาไม่ใช่คนไข้ 30 บาท รักษาทุกโรคนะ จากนั้นก็ เรียกเข้า
ไปคุยกันต่อในห้อง หลังจากนั้นพวกเรารับรู้ได้ว่า ทั้งแพทย์เวร

และพยาบาลเวรประจำตึกนี้ไม่พอใจกับการถูกต่อว่า จึงยิ่งไม่ไส่ใจ
หนักขึ้นกว่าเดิม เรากลัวว่าช่วงกลางคืน คนเหล่านี้จะทำอะไรพ่อเราหรือเปล่า เพราะไม่มีคนเฝ้า เราจึงจ้างพยาบาลพิเศษมาเฝ้า
ต้องเสียเงินคืนละ 1,200 บาททุกคืน พวกเราไม่มั่นใจในความ
ปลอดภัยของพ่อ (ไม่ใช่ว่าคิดวิตกจริตไปเอง แต่หากเราเชื่อว่าสิ่ง
เหล่านี้อาจเกิดขึ้นได้) ในวันที่ 5 ม.ค. มีโอกาสเจอหัวหน้าตึกนี้ เรา
และพี่ชายจึงไปถามเรื่องขอย้ายรพ. ท่านจึงถามเหตุผล ขณะนั้น
แพทย์เวรเห็นจึงเดินมาหาและบอกว่า พ่อเราก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ 
แล้วอย่าย้ายเลย (ทั้งที่ความจริงไม่เห็นดีขึ้นเลย) 



แต่เรายืนยันว่าอยากย้าย แพทย์เวรจึงบอกว่าย้ายไม่ได้ เดี๋ยว
อาการกำเริบระหว่างทางอันตราย เราก็เลยพูดกับหน.ตึกว่า ขอย้าย
ไปห้องพิเศษซึ่งเราแจ้งพยาบายมาณีไว้ 5 วันแล้วยังไม่ได้เลย 
ท่านหน.ตึกจึงเดินไปห้องและต่อโทรศัพท์ สักพักเดินมาบอกว่า ได้
ห้องพิเศษแต่เป็นเตียงรวม 9 เตียงเพราะเดี่ยวเต็มหมด เราและ
พี่ชายตอบทันทีว่าเอาเพราะไม่อยากอยู่รักษาที่ตึกนี้แล้ว ท่านหน.
ตึกจึงเดินไปบอกพยาบาลมาณีและให้จัดการให้ พยาบาลผู้นี้เดิน
มาบอกเราว่า จริง ๆ ยังไม่ถึงคิวของพวกคุณ แล้วห้องพิเศษรวม
เป็นแอร์นะถ้าคนไข้หนาวขึ้นมาปิดไม่ได้นะ ย้ายไปแล้วจะขอย้าย
กลับมาไม่ได้นะ แต่เราก็ยืนยันว่าจะย้าย กว่าจะทำเรื่องเสร็จจาก 
10 โมงเช้ากว่าจะได้ย้ายปาเข้าไปเกือบ 4 โมงเย็น 



พวกเราทุกคนรวมทั้งพ่อมีความรู้สึกเหมือนได้ออกจากขุมนรก
มาก ทางตึกใหม่ก็เป็นแพทย์ประจำวอร์ดกลุ่มใหม่ (นศ.เพิ่งจบ
เหมือนกัน) เขาอ่านประวัติคนไข้ตามแพทย์ที่ตึกเดิมส่งมา แต่แรา
ได้ยินเขาคุยกันว่าดูแล้วผลการตรวจวินิจฉัยแปลก ๆ จึงต้องตรวจ
ใหม่หาสาเหตุใหม่มาสอบถามกันใหม่ว่าอาการเป็นอย่างไร เมื่อ
ย้ายมาตึกนี้แพทย์ตึกนี้ได้ถอดท่อต่าง ๆ ออกหมด และให้รับ
ประทานอาหารอ่อนๆ และไม่ให้ใส่แพมเพอร์สเหมือนตึกเก่าอีก ดู
แล้วอาการก็ดีขึ้นกว่าอยู่ตึกนั้น แต่ว่าผลจากการฉีดยาของตึกเดิม 
ทำให้มีเลือดออกในช่องท้องเกิดอาการเลือดจับตัวเป็นก้อนแข็ง
เป็นไต และเจ็บปวดมากต้องให้มอร์ฟีน เราไม่รู้ว่า 5 วันที่ตึก
วชิราวุธเขาให้ยาอะไรบ้าง แพทย์ที่ตึกนี้ก็อีกอักเพราะอย่างไรก็รพ.
เดียวกันก็ต้องเข้าข้างกัน เขาบอกว่าก้อนเลือดจะสลายไปเองช่วงนี้
ต้องนอนรอให้แข็งแรงไม่มีอะไร อีก 2-3 วันคงกลับบ้านได้ แต่ผ่าน
ไป2 วันพ่อก็ยังเจ็บอยู่ เราจึงคุยกับแพทย์เวรใหม่ว่าหากเคลื่อน
ย้ายคนไข้ได้ขอย้าย รพ. เขาถามเหตุผล เราเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น 
ณ ตึกวชิราวุธ และผลที่ปรากฎจากการรักษาคือความเจ็บปวดที่พ่อ
ได้รับอยู่ โดยที่สรุปไม่ได้ว่าเขาเป็นอะไรแน่ แพทย์ผู้นี้อีกอักอีกและบอกว่า อาการดีขึ้นแล้ว ย้ายไปรพ.อื่นก็เปลืองเงินเปล่า ๆ เรา
ปรึกษาพี่ ๆ แล้วจึงไปแจ้งหมอว่างั้นขอพาคนไข้กลับบ้าน หมอจึง
ยอม 



หลังจากนั้นเราและพี่ ๆ จึงพาพ่อไปเข้ารพ.เอกชนในทันที อยาก
ให้เมล์นี้ได้ส่งต่อ ๆ กันไป เพื่อให้ได้รับรู้ไว้ว่าระวังการเข้ารพ. อาจ
ทำให้ถึงตายได้โดยไม่รู้ตัว และผู้ที่คิดจะใช้ 30 บาท รักษาทุกโรค 
จงระวังเพราะนี้ขนาดเราจ่ายเงินแบบเต็ม ๆ ไม่ได้อยู่ในโครงการ 
ยังได้รับบริการแย่ขนาดนี้ และอย่าคิดว่ารพ.รัฐบาลถูก เพราะ
รักษาที่นี่ 8 วัน รวมเป็นเงิน สามหมื่นกว่าบาท (เฉพาะตึกวชิราวุธ
ก็เกีอบสามหมื่น) ถ้าคุณไม่ได้มีญาติเป็นหมอหรือพยาบาลหรือใหญ่
พอ อย่าคิดไปรักษาที่นี่เพราะไม่รู้ว่าจะหายหรือตายเร็วขึ้น บอก
ตรง ๆ ไม่เจอกับตัวไม่มีทางรู้ว่าในสังคมนี้จะมีเรื่องเลวร้าย แบบนี้
จริง ๆ				
3 มีนาคม 2545 20:52 น.

เข้ามาอ่าน อ่าน อ่าน อ่าน อ่าน อ่าน ซะ

เสี้ยว

เกรียงไกร : เฮ้ยโต้ง แกว่าถ้าแกเป็นโรคหัวใจ ลูกแกจะเป็นโรคหัวใจมั้ย ? 
โต้ง : เออ ก็น่าจะเป็นนะ เพราะว่ามันเป็นพันธุกรรม 
เกรียงไกร : แล้วถ้าแกเป็นโรคภูมิแพ้ ลูกแกจะเป็นไหม? 
โต้ง : อันนี้ชัดเลย เป็นแหง ๆ 
เกรียงไกร : แล้วถ้าแกเป็นหมันล่ะ ลูกแกจะเป็นมั้ย 
โต้ง : อันนี้ไม่แน่ใจว่ะ คงไม่เป็นมั้ง เพราะไม่ใช่พันธุกรรมนี่หว่า 
เกรียงไกร : *บ้า ถ้าแกเป็นหมันมันไม่เป็นอยู่แล้วล่ะ เพระมันไม่ใช่ลูกแก มันเป็นลูกชู้ 


**** 
ต้องต่อรอง 

ในขณะที่ เรืองศักดิ์กำลังปรารภกับว่าที่แม่ยายในอนาคตที่ชอบจู้จี้ต่อว่าเขาเรื่องที่ซื้อของไม่ยอมต่อราคา 
เรืองศักดิ์ - คุณแม่จำได้มั้ยที่คุณแม่เคยสอนผมว่าเวลาซื้อของกินหรือของใช้อะไรก็ ให้ลองดูก่อนว่าใส่ได้มั้ย คับหรือหลวมไปรึเปล่า แล้วก็ให้หัดต่อราคาเพื่อจะได้ซื้อสินค้า ในราคาที่ถูกลง 
แม่ยาย - อ๋อ จำได้สิ มันก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอจ๊ะ เราจะได้ใช้ของถูกและมีคุณภาพ ว่าแต่มีอะไรเหรอจ๊ะ 
เรืองศักดิ์ - คือเดือนหน้าเนี่ยผมกับลูกสาวแม่จะแต่งงานกันแล้ว คุณแม่ก็ทราบ แล้วตั้งแต่ผมคบกับลูกสาวคุณแม่มาสองปี ผมบอกตรง ๆ เลยว่าเราไม่เคยมีอะไรกันเลย ผมว่าผมเสียเปรียบที่ไม่มีโอกาสได้ลองสินค้าดูก่อนเลยว่าเป็นอย่างไรบ้าง แล้วเรื่องค่าสินสอดน่ะ ถ้าเป็นไปได้ผมว่าคุณแม่น่าจะลดลงมาหน่อยก็จะดีนะครับ ผมว่าค่อนจะแพงไป หน่อยนะครับ แล้วก็เป็นของมือสองด้วย เพราะผมก็ไม่ใช่แฟนคนแรกของลูกสาวแม่ด้วย 
แม่ยาย - !?! 

**** 

จะบ้าเหรอ 

.....ยามในห้างเซ็นทรัลสาขาหนึ่ง สังเกตเห็นสุภาพสตรีนางหนึ่งกำลังเดินออกจากห้าง หล่อนมีอะไรตุง ๆ อยู่ใต้กระโปรงซึ่งเป็นที่ผิดสังเกต ยามจึงตรงเข้าไปถามว่า 
ผมสงสัยว่าคุณขโมยของในห้าง ใต้กระโปรงซ่อนอะไรเอาไว้ เราขอตรวจคุณ 
มันจะดูถูกกันมากเกินไปแล้วนะยะ 
หล่อนแผดเสียงที่แตกห้าว 
ก็แค่ฉันยังไม่ได้ผ่าตัดแปลงเพศเท่านั้นเอง ก็หาว่าฉันแอบขโมยของ 

********** 
อย่าเข้าใจผิดซิฮะ 

.....ณ บาร์เบียร์แห่งหนึ่งในชิคาโก ปรากฎร่างสาวงามนางหนึ่งส่วนเว้าส่วนโค้งสะดุดตามกา สรุปแล้วเช้งทุกอย่าง จนศักดิ์ชัยนักท่องเที่ยว ราตรีชาวไทย น้ำลายไหลยืดอย่างน่าเกลียด อดรนทนไม่ไหวต้องถาม ทอมมี่ เพื่อนเจ้าบ้านว่า 

ศักดิ์ชัย : เฮ้! ทอมมี่ ผู้หญิงคนนี้สเปคไอเลยล่ะ โอ...พระเจ้า แกรู้จักเธอหรือเปล่า 
ทอมมี่ : ไอ รู้จักหล่อนดีเลยล่ะ เธอสมบูรณ์แบบทุกอย่าง แต่เสียดายอย่างเดียว ? 
ศักดิ์ชัย : หล่อนมีแฟนแล้วเหรอ ศักดิ์ชัยพูดเสียงอ่อยแบบเสียดายสุด ๆ 
ทอมมี่ : เฮ้ ! ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ข้อเสียของหล่อนคือ หล่อนเคยเป็นผู้ชายมาก่อนต่างหาก ล่ะ 

******** 
คนดีที่อยากได้ 

..บนเรือซีทรานท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง สตรีสองนางยืนจิบแชมเปญจ์แล้วคุยกันถึงเรื่องผู้ชายและผู้ชาย 
ซูซาน สมัยนี้นะหล่อนจะหาผู้ชายประเภทไม่ดื่มเหล้า ไม่เจ้าชู้ ประหยัดมี ตำแหน่งสูง ๆ มีคนนับถือคงหายากจริง ๆ น๊ะ 
ฟาติมา แต่คุณสมบัติที่เธอว่าเมื่อไม่กี่วันฉันรู้จักอยู่คนหนึ่งนะ 
ซูซาน ต๊ายจริงเหรอจ๊ะ เธอพบที่ไปไหนเป็นใครล่ะ ซูซานร้องถามด้วยความตื่นเต้นสุด ๆ 
ฟาติมา ก็พบที่วัดไทยใกล้ ๆ โรงแรมที่เราพักนั่นแหละ เค้าเพิ่งเลื่อนตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสเมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเสี้ยว
Lovings  เสี้ยว เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเสี้ยว
Lovings  เสี้ยว เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเสี้ยว
Lovings  เสี้ยว เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงเสี้ยว