16 มีนาคม 2555 11:34 น.
เสี้ยว
หากจะรักใครสักคนแล้ว
ลองรักเพียงแผ่วๆ ก่อนจะดีไหม
อย่าเพิ่งทุ่มความรู้สึกตอนเจอะเจอใคร
จนกว่าจะแน่ใจว่าเข้าใจตรงกันแน่นอน
เห็นแก่ตัวไว้ก่อนตอนก่อนจะรีบรัก
เพราะมันยากนักหากปักลึกแล้วนึกถอน
ตอนมีรักรักตัวเองยากยิ่งกว่าทุกตอน
กอดตัวเองให้อุ่นก่อน ก่อนคิดจะกอดใคร
จะรักใครเผื่อใจไว้สักครึ่ง
เก็บไว้ให้อีกคนหนึ่งที่ต้องรักให้ไหว
อย่ารอจนถึงวันที่ใครคนนั้นเดินจากไป
แล้วพบว่าเราไม่เหลือแม้ใครกระทั่งตัวเอง
2 พฤศจิกายน 2554 00:15 น.
เสี้ยว
อันความนึกคิดระทดท้อห่างวิสัย
ผิไม่ชอบใจใส่สีให้ศักดิ์สูญ
รักล้นอนธการเผาผลาญให้อาดูร
อคติสถุลทูนเทิดไว้ให้เดียวดาย
อันปรานีผิซ่อนซ้อนให้เร้นลึก
มาดไว้จะสำนึกผนึกไว้เหมือนหาย
แล้วเด็ดปีกฉีกลำปล้องให้ตัวตาย
น้ำตาทะลักทะลายแม้นเลือดนอง
เจ็บสิหนอใจใครจะไม่เจ็บ
หนาวสิจะเหน็บเบื้องในสุดสนอง
ผิแววว้างทอดเปล่ายังกรีดร้อง
จะกู่กว้างดังทำนองสะท้านย้ำ
23 ตุลาคม 2554 10:17 น.
เสี้ยว
เห็นเหมือนกันไหม
แสงสว่างที่รอคอยมานานนับ
อย่ากลัว อย่ากลัว
อย่าเพิกเฉยต่อเสียงร้องเรียก
แค่ก้าวเข้ามา แค่เอื้อมมือคว้า
เงียบสิ แล้วฟังเสียง
เราได้ยินเหมือนกันใช่ไหม
ตามมันไป ตามันไป
เสียงภายในยังเร่งเร้า
แสงสลัวยังเร่งร้อน
หากพันธนาการยังฉุดรั้ง
เสียงกระซิบเยาะหยันในความมืด
กลับมาเถิด กลับมาเถิด
หลับตาลง เจ้าคนขลาด
กลับมาซุกกายในเงามืดตรงนี้
ไม่ได้, อีกเสียงดังเร่งร้อน
ความหวังจะหรี่แสงจนดับหากเพิกเฉย
อย่าช้า อย่าช้า
เพราะเราต่างมาไกลเกินถอยกลับ
เธอต้องไป เพราะเราต้องไป
ไปตรงนั้น เพราะมันอยู่ตรงนั้น
ยินเสียงเร่งเร้าดุจกลองระรัว
อย่าหันกลับ อย่าหันกลับ
ตราบที่ความฝันของเธอยังคงดิ้นพล่าน
และศรัทธานั้นยังเป็นของเรา
แม้ความหวังจะสลัวลางเจียนดับ
แต่เราจะเชื่อ ตราบที่ใครอีกคนยังเชื่อ
ไปด้วยกัน ไปด้วยกัน
แม้ผวาหวาด ก็จะเอื้อมมือคว้า
ตราบบนหนทางยังมี แค่..ใครสักคน
5 กันยายน 2554 19:09 น.
เสี้ยว
เคว้งๆ เหมือนเว้งว้าง
ตกอยู่ในความว่างตรงหว่างฝัน
มืดมิดในความคิดอนันต์
จนเมามายคืนวันผ่านชีวิต
ติดกรอบแสวงหา
บนมรรคาที่ต่างยึดติด
ขอบเขตขีดคั่นความคิด
คือที่เลือกลิขิตชีวิตไว้
ด้วยถือมั่นอย่างนักแสวงหา
จึงมุ่งหน้าคล้ายว่าหลงใหล
ลำแสงทาบทอล่อให้ตามไป
คือแรงบันดาลใจลุกไหวเนิ่นนาน
ด้วยรัก มักดื้อรั้น
จนเกิดสารพันเรื่องขับขาน
ใครจะรู้ ไฟหรี่โหมฝันจนตระการ
จะกลับหว่านพันธ(น)าการความขลาดกลัว
กระแสลางๆ ของความคิด
คือทางเดินชีวิตสลัวๆ
ก้าวซ้ำๆ ถลำลึกไม่รู้ตัว
บนหนทางอันมืดมัวเหมือนตีบตัน
แต่คงเชื่อในแสงสะท้าน
จึงแต่งตำนานอย่างคนดื้อรั้น
ขยับคืบเคลื่อนไปตามมัน
โหมแรงโรมรันด้วยศรัทธา
แรงเร้าอันวิบไหว
คือดวงไฟกระพริบพร่า
สะท้อนสั่นในเงาตา
ชั่วกาลอาจร้างลาแล้วลับเลือน
ม่านหนาหนักหม่นดำ
รูดปิดตอกย้ำอย่างเชือดเฉือน
วูบดับจับตาแล้วลาเลือน
แรงเร้าคลายเคลื่อนคล้อยจากกัน
ยังดิ้นพล่านเหมือนบ้าใบ้
วิ่งแหวกแทรกไปตามใจกระสัน
ร้องแรกแหกกระเชออยู่อย่างนั้น
จนเสื่อมทรุดฉับพลันแล้วลับไป
21 สิงหาคม 2554 06:51 น.
เสี้ยว
ความเหงาถักถ้อยร้อยเรียง
เป็นสรรพสำเนียงคอยขับขาน
ความรัก..? นั่นเป็นแค่นิทาน
เหมือนเรื่องเล่าโบราณก่อนเข้านอน
ชีวิตลำพังเช่นนั้นไม่อาจเปลี่ยน
แม้เรื่องราววนเวียนตามหลอกหลอน
ความรัก..? เพียงมายาของบทละคร
ผูกพันคงเพียงชั่วบทตอนแล้วผ่านไป
ถวิลหาไล่คว้าความคิดฝัน
เพียงเงาใช่ไหมนั่นที่อาจคว้าได้
ความรัก..? ตื่นลืมตารักจะจากไป
เหมือนเพียงละเมอไปในหนึ่งนิทรา
เศร้าสิเศร้า ... ใจเจ้า
มิอาจยึดเอาสิ่งสิเน่หา
ความรัก..? จุดดวงไฟประกายกล้า
ก่อนจะลับลาวูบพร่าดับไป
.............
บทกวีของชีวิต
ถูกจดบันทึกครั้งแล้วครั้งเล่า
เล่าซ้ำเวียนวนไปมา
แรงปรารถนาอันล้ำลึก
มักไม่จางหายไปไหน
แต่กลับย้ำคิดย้ำรู้สึกอยู่เช่นนั้น
จนกว่าความนึกคิดจะเติบโต
เมื่อความฝันถูกนวดซ้ำจนอ่อนนุ่ม
และหัวใจถูกโบยตีจนแข็งกระด้าง
ชีวิตจะถูกบันทึก
ณ ชั่วกาลแห่งความขัดแย้ง
สะท้อนลึกในบทรำพึง
กลีบดอกไม้จะร่วงโรยอีกครั้ง
เพื่อให้กำเนิดเมล็ดพันธุ์
กลัวอะไรกับการเติบโต
...โดยลำพัง...