29 สิงหาคม 2550 11:27 น.

คุณจะรู้สึกอย่างไร..เมื่อได้กลับมาเจอคนรักเก่าที่พรากจากกันถึง 13 ปี ตอน เพราะเรามีกัน

เสราดารัล

เป็นเช้าที่ฉันยังไม่ลุกจากที่นอน...การทำงานอย่างดึกดื่นของคืนก่อน ทำให้ฉันอยากตื่นสายกว่าปกติ ฉันถูกปลุกด้วยเสียงโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะเล็กข้างเตียงนอน

         รับสายอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก...นึกไม่พอใจคนโทรว่าช่างรบกวนกันได้แต่เช้า กรอกเสียงไปอย่างเสียไม่ได้ น้ำเสียงงัวเงีย หงุดหงิดของฉัน ทำให้คนปลายสายอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนพูดว่า "...เปิดรายการจมูกมด ช่อง7 ซิ พี่อ๊อด คีรีบูนของเรามาแน่ะ พี่จำได้ว่าเราชอบพี่อ๊อดมากนี่"....น้ำเสียงที่ไม่คุ้นเคย เบอร์โทรที่ไม่คุ้นตา ไม่ทำให้ฉันแปลกใจได้เท่า เจ้าของเสียงที่โทรมานี้ เป็นใคร....คนที่รู้ข้อมูลเชิงลึกของฉันขนาดนี้ ไม่ใช่เพื่อนเรียนมหาวิทยาลัย ไม่ใช่เพื่อนที่ทำงานแน่ๆ ต้องเป็นเพื่อนสมัยเรียนมัธยม..แต่ถ้าเพื่อน ก็จะไม่แทนตัวว่าพี่...เขาคือใคร...ใครที่รู้เรื่องของฉันดีขนาดนี้ ต้องเป็นคนที่สนิทกับฉันมากๆๆแน่
ฉันถามว่าเขาเป็นใคร ...แต่เขาไม่ตอบ ยังชวนฉันคุยไปเรื่อยๆ...ฉันไม่กล้าคุยด้วยมาก เพราะไม่แน่ใจว่าเป็นใคร....เขาบอกว่าฉันเปลี่ยนไป น้ำเสียงเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ดูพูดจาเป็นงานเป็นการ เด็กร่าเริง ขี้เล่น ที่พี่รู้จักหายไปไหน...เมื่อเขาพูดประโยคนี้จบหัวใจฉันกระตุกวูบ...ใจเต้นแรงแทบนับจังหวะไม่ทัน..เป็นสัญญาณว่าความรู้สึกตื่นเต้นของฉันมาถึงขีดสุดแล้ว...ใช่...เขา....เขาจริงๆค่ะ...

       น้ำเสียงเขาแปลกไปจากเสียงที่ฉันเคยคุ้น แต่คนที่พูดแบบนี้กับฉัน ก็ไม่มีใคร นอกจากเขา ฉันทั้งแน่ใจ และไม่แน่ใจ ว่าจะใช่เขา ความคิดสับสน ขัดแย้งกันไปมา เขาโทรมาได้อย่างไร ทำไมเขาถึงโทรมา..ทุกคำถามวนเวียนอยู่ในใจฉัน..แปลกที่ฉันกลับพูดไม่ออก อยากถาม แต่ก็ถามไม่ออก เหมือนเขาได้ยินเสียงคำถามในหัวใจฉัน...เขาตอบ ทุกคำถามโดยที่ไม่ได้ยินเสียงฉันถามซักคำ เมื่อเขาพูด ทุกอย่างจึงกระจ่าง...ใช่ค่ะ....คือเขาจริงๆ

         13 ปีที่ผ่าน น้ำเสียงเขาเปลี่ยน จนฉันจำแทบไม่ได้ นอกจากน้ำสียงแล้ว เขาจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้างอีกมั๊ยน๊อ...แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันเพิ่งแน่ใจในวันนี้ ว่าเขาไม่มีวันเปลี่ยน ก็คือ ฉันยังคงอยู่ในใจเขาเสมอ..การกระทำของเขาวันนี้ พิสูจน์ได้ดีค่ะ (ฉันไม่ได้เข้าข้างตัวเองจนเกินไปหรอกนะคะ)

         เขาบอกว่า ที่ทำงานของเขา เปิดรายการนี้พอดี เขาเห็นพี่อ๊อดมาออกรายการ จำได้ว่าฉันชอบ เขาเลยรีบโทรมาบอก เขาได้เบอร์โทรฉันจากเพื่อนสนิทของฉันมานานแล้ว คิดอยู่หลายครั้งว่าควรโทรหรือไม่โทรดี หลายครั้งที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดเบอร์แล้วก็วางสาย พอวันนี้เขาแทบไม่มีเวลาคิดด้วยซ้ำว่าจะโทรดีหรือไม่ เห็นรายการแล้ว กดโทรศัพท์หาฉันทันที 

         (ทำไมเขาจะจำไม่ได้ว่าฉันชอบพี่อ๊อดมากแค่ไหน...เมื่อตอนฉันเรียนมัธยมต้น วงคีรีบูน มาทำการแสดงที่งานประจำจังหวัดบ้านฉัน เมื่อทางวงประกาศหน้าไมค์ ขออาสาสมัครผู้หญิงร้องเพลงคู่กับพี่อ๊อด ฉันเป็นคนแรกที่กระโดดขึ้นบนเวที โดยมีเพื่อนทั้งกลุ่มช่วยกันดันขึ้น(เวทีสูงมาก) คืนนั้นฉันได้กุหลาบแดงจากพี่อ๊อด 1 ดอก ปลื้มไปหลายปี หลังจากนั้น วันรุ่งขึ้น ไม่มีใครในโรงเรียนที่ไม่รู้จักฉัน (ดังชั่วข้ามคืน...ทำไปได้) ตอนมัธยมปลาย เมื่อปิดเทอม ฉันลงมาหาเขาที่กรุงเทพ เพื่อจะกลับบ้านพร้อมกัน ฉันมาหาเขาพร้อมผลสอบได้ที่ 1 ของฉัน เขาให้รางวัลฉัน โดยพาฉันนั่งแท๊กซี่ไปหาพี่อ๊อดถึงบ้าน...ปลื้มจริงๆ)

         เราคุยกันไม่นานนัก..ต่างคนต่างขัดเขิน เราไม่รู้ว่าเราควรพูดคุยกันได้อย่างไร แค่ไหน..คนที่ไม่ได้ติดต่อกันถึง 13ปี ด้วยเหตุผลความจำเป็นบางอย่างที่เราต่างก็กระอักกระอ่วนใจที่จะพูดถึง แล้วมาวันหนึ่ง เรากลับมาคุยกันอีกครั้ง จะด้วยเหตุอะไรก็แล้วแต่ การพูดคุยสนิทสนมแบบก่อน ก็คงไม่ใช่ วันเวลาเปลี่ยน ชีวิตคนก็เปลี่ยน เราห่างเหินกันมานาน จนแทบเรียกว่ากลายเป็นคนแปลกหน้าของกันและกันก็ว่าได้

          แต่.....เขาก็กลับมา...ด้วยสายใย ด้วยความผูกพัน..ฉันรู้จักวงคีรีบูนตั้งแต่ปี 2527 เขารู้ว่าฉันชอบวงดนตรีวงนี้มาก..นี่ปี2550 เวลาผ่านมาถึง 23 ปี เขายังคงจำได้ว่าฉันชอบพี่อ๊อด วงคีรีบูน คุณจะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นได้อย่างไร....ถ้าจะบอกว่า เขาไม่เคยลืม เขาไม่เคยลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับฉัน...เขามีเบอร์โทรของฉันอยู่ในมือมานานมาก แต่เขาก็หักห้ามใจที่จะไม่โทรหาฉัน แต่มาวันนี้ แค่เพียงเขาเจอพี่อ๊อด คีรีบูนนจอทีวี เขารีบโทรหาฉันโดยไม่รั้งรอ

         ฉันรีบเขียนเมล์ไปยังรายการจมูกมด ขอบคุณรายการที่ทำให้ฉันได้มีวันดีๆอย่างนี้อีกครั้ง...ขอบคุณเขา ที่ยังมีฉันในความทรงจำ...

        คงไม่ต้องบอกว่าฉันดีใจ ปลาบปลื้ม และซาบซึ้งใจแค่ไหน ที่เขายังจำทุกรายละเอียดของฉันได้ แม้กาลเวลาจะผ่านเนิ่นนานแค่ไหน...แต่นั่น ก็เป็นเพียงสายลมที่พัดผ่านมาเพียงชั่วครู่ ให้ฉันรู้สึกเย็นใจชั่วขณะเท่านั้น แล้วมันก็จะผ่านไป ฉันไม่หวังอะไรมากกว่านี้อีกแล้ว...แค่วันนี้ที่ได้ยินเสียงเขา ได้สัมผัสความอาทรอบอุ่นของเขาที่มีต่อฉัน..ก็เป็นความสุขใจในชีวิตอย่างที่สุดแล้วล่ะค่ะ

       แต่เหมือนเบื้องบน ต้องการทดสอบความเข็มแข็งในจิตใจของฉันอีกครั้ง...เมื่อ 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา ฉันได้รับโทรศัพท์จากเขา....เขาโทรมาบอกว่า เขามาสัมมนาที่อยุธยา เขาอยากมาทานอาหารเย็นกับฉัน..เขาจะขับรถมาหาฉันที่กรุงเทพ...แม้จะดีใจที่เขาอยากเจอ..แต่ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี เตือนว่า ฉันไม่ควรเจอกับเขาอีก..สถานภาพของเขาเปลี่ยนไป...อะไรๆมันไม่เหมือนเดิม แล้วฉันจะให้คำตอบเขาอย่างไรดี...ทำตามใจตัวเอง หรือทำตามความถูกต้อง

       ถ้าเป็นคุณ คุณจะเลือกอย่างไหนกันคะ				
26 สิงหาคม 2550 23:19 น.

คุณจะรู้สึกอย่างไร...เมื่อได้กลับมาเจอคนรักเก่าที่พรากจากันถึง 13 ปี ตอน สายใยคงมั่น ความผูกพันคงมี

เสราดารัล

ฉันเคยคิดว่านิยายน้ำเน่า เป็นเรื่องเพ้อฝัน เป็นเรื่องสมมติ ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นได้กับคนในชีวิตจริง...ฉันยังคงเชื่อเช่นนั้น ถ้าวันนึงเรื่องน้ำเน่าเหล่านี้ มันจะไม่เกิดขึ้นกับฉัน

               หลังจากเสียงสะอิ้นไห้ของฉันเบาบางลงไปมากแล้ว...แม่บอกฉันว่า ทำใจเสียเถอะ อย่างไรเรื่องของฉันกับเขาก็ไม่มีวันลงเอยกันได้ เพราะบ้านเขา ไม่ชอบบ้านเรา...เหตุผลน่ะหรอ....บ้านคหบดีที่มีฐานะร่ำรวย มีลูกชายคนเดียวอย่างบ้านเขา คงไม่ต้องการลูกสะใภ้ที่เป็นลูกแม่ค้าธรรมดาๆอย่างฉันเป็นแน่..ถูก..แม้ฉันจะถูกเลี้ยงดูมาอย่างไม่ได้ลำบาก..อยากได้อะไรแม่ก็หาให้ได้เสมอ..แต่ความที่เราสร้างเนื้อสร้างตัวมาจากการค้าขาย...ไม่มียศฐาบรรดาศักดิ์ เกียรติยศชื่อเสียงสมกับตระกูลผู้ดีเก่าอย่างเขา...ฉันจึงถูกกีดกันจากชีวิตเขาโดยสิ้นเชิง

               เมื่อฟังแม่เล่าถึงตอนนี้ ฉันอดมองย้อนภาพในวันวาน ที่บัดนี้มันกลับกระจ่างชัดขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้...ในวันที่ฉันไปเยี่ยมเขาที่เข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลนั้น ฉันเจอคุณพ่อ คุณแม่ และพี่สาวคนโตของเขาที่เป็นพยาบาลอยู่ที่นั่น ทุกคนให้การต้อนรับฉันอย่างเย็นชา หมางเมิน พ่อเขารับไหว้ฉัน แต่ไม่ทัก ไม่พูดกับฉันซักคำ ส่วนแม่เขา ก็ซักถามถึงเรื่องราวที่บ้านฉัน จนฉันอึดอัด และพี่สาวเขาที่ลอบมองฉันเงียบๆ ด้วยสายตาไม่เป็นมิตร ในคืนนั้น เขาฝากฉันนอนกับพี่สาวเขา ที่มีที่พักอยู่ในโรงพยาบาล...แต่เมื่อลับตาเขาไปนั้น..พี่สาวเขาไม่ได้สนใจไยดี หรือดูแลฉันตามที่เขาฝากฝังแม้แต่น้อย คนที่เอื้อเฟื้อให้ที่นอน ที่พักกับฉัน กลับกลายเป็นเพื่อนของพี่สาวเขา..ฉันต้องนอนกับคนที่ฉันไม่เคยรู้จัก แต่ช่างมีน้ำใจต่อฉันอย่างมากมายเหลือเกิน..รุ่งเช้า ฉันขอเขากลับไปพักกับเพื่อนที่บางกะปิ โดยไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับฉันเมื่อคืนวาน กับความไร้น้ำใจของพี่สาวของเขาแต่อย่างใด...เรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้น ฉันเพิ่งได้คำตอบในวันนี้นี่เอง 

                  แม่ฉันบอกว่า...เขาทำให้เราเสียใจในวันนี้ ต่อไปเราต้องทำให้เขารู้สึกเสียดายเราได้เช่นกัน ขอให้น้ำตาของความเสียใจ ผิดหวังของลูก จงเป็นแรงผลักดันที่จะทำให้เราต้องมีชีวิตที่ดีกว่านี้...เราแม่ลูก..จะพิสูจน์ตัวเอง

                    ความรู้สึกสูญเสีย ความผิดหวัง ความเสียใจ ทำให้ฉันผูกใจเจ็บโดยไม่รู้ตัว..ฉันคิดแต่ว่า..ต่อไปนี้ ฉันกับเขาคงเหมือนอยู่คนละโลก..ฉันจะไม่ติดต่อกับเขาด้วยวิธีใดๆก็ตาม..เมื่อเขาไม่เห็นค่าฉัน...ฉันก็ไม่ควรวิ่งตามเขาอีก เขาจะแต่งงานแล้ว แล้วเขาก็จะเป็นของผู้หญิงคนอื่น..ฉันต้องตัดใจ..และลืมเขาเสียตั้งแต่วันนี้ ฝังอดีตของเขากับฉันไว้ทั้งหมด ฉันไม่ควรคิดถึงเรื่องราวต่างๆอีกต่อไปแล้ว ชีวิตฉัน ตัวฉัน ยังมีค่า ไม่ได้ต่ำต้อยน้อยหน้าใคร ฉันควรจะรอวันที่จะมีใครซักคน เห็นค่าของเรา และรักเราอย่างจริงใจ  ชีวิตฉันยังคงต้องดำเนินต่อไป..ฉันไม่ควรที่จะโหยหาอาลัยกับสิ่งที่เขาได้เลือกแล้ว ด้วยตัวเขาเอง...

                     ฉันไม่คิดว่าแม่จะจริงจังกับคำพูดนั้น..ตราบจนเมื่อเวลาผ่านไป..จากแม่ค้าธรรมดาที่ต้องเช่าตึกเพื่อค้าขาย กู้แบงค์เอาเงินมาลงทุน เดี๋ยวนี้เราเป็นเจ้าของตึกแถว 4 คูหา ปลดหนี้แบงค์ได้ทั้งหมดกิจการค้าของแม่ขยายไปอย่างใหญ่โตและรวดเร็ว..เป็นร้านค้าที่ขายสินค้าครบวงจร ใหญ่ที่สุดในอำเภอ สำหรับฉัน..2 ปีให้หลัง แม่ส่งฉันเรียนในระดับปริญญาโท ซึ่งฉันสามารถสอบเข้าเรียนได้ในมหาวิทยาลัยรัฐอันดับ1ของเมืองไทย ฉันเรียนจบภายในเวลา 2 ปี และตัดสินใจอำลาชีวิตพนักงานบริษัท ทิ้งรายได้ก้อนโต เพื่อมาทำงานราชการ ฉันสอบบรรจุได้เป็นข้าราชการครู สอนระดับอุดมศึกษา ณ.มหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่งในกรุงเทพ...


                      ปี 2542 ฉันได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรอบรมครูในสังกัด สปช.ที่จังหวัดบ้านเกิดของฉัน...1 ในครูที่เข้าร่วมอบรมในวันนั้น เป็นพี่สาวคนที่ 2 ของเขา พี่เขายิ้มให้ฉัน และเข้ามาทัก พี่สาวคนนี้ แตกต่างจากคนแรกโดยสิ้นเชิง..แม้คุยกันไม่กี่คำ แต่ฉันก็สัมผัสได้ถึงน้ำใจไมตรีที่พี่เขาหยิบยื่นให้ ในวันสุดท้ายของการอบรม หลังจากพิธีปิดการอบรมเสร็จสิ้นลงแล้ว พี่สาวเขา เดินมาหาฉันพร้อมดอกไม้ช่อโต...โอว..เป็นดอกไม้โปรดของฉันเสียด้วย อดแปลกใจไม่ได้ว่า..ทำไมพี่เขาช่างเลือกได้เหมาะเจาะตรงใจฉันเช่นนี้ ฉันแอบคิดสงสัยอยุ่ได้ไม่นาน คำตอบมาถึง เมื่อพี่เขายื่นดอกไม้มาให้ฉัน พร้อมกับพูดว่า "มีคนฝากมาให้ และแสดงความยินดีกับอีกก้าวหนึ่งของฉัน" แม้จะไม่มีการ์ดอวยพรจากคนฝาก แต่ฉันก็จำข้อความนั้นได้ขึ้นใจ...เขาไม่เคยลืมฉัน....

                      ตอนนี้ แม้ดอกไม้ช่อนั้น จะเหี่ยวเฉาไปตามกาลเวลา..แต่เขาจะรู้ไหมว่า...มันยังคงบานอยู่ในใจของฉันตลอดไป...และแม้ใจจะบอกให้ลืมเขาอย่างไร..ฉันกลับไม่เคยลืมเขาได้ซักวัน..ฉันใจไม่แข็งพอที่จะปฏิเสธดอกไม้ช่อนี้ของเขา...มันมีความหมายมากมายกับฉันจริงๆ

                      เวลาผ่านไป..ผ่านไป...และก็ผ่านไป.13 ปีที่เขาหายไปจากชีวิตฉัน ฉันเพียงแต่ทราบข่าวคราวของเขาเป็นระยะๆ จากเพื่อนฝูง จากคนในครอบครัว...ทุกครั้งที่ญาติๆฉันไปติดต่อธุรกรรมที่แบงค์ที่เขาทำงานอยู่ เขาก็มักจะช่วยอำนวยความสะดวกให้อยู่เสมอๆ และก็ถามข่าวคราวของฉันแทบทุกครั้ง

                     เราต่างรับรู้เรื่องราวของกันและกันอย่างเงียบๆๆ จนวันหนึ่ง เมื่อช่วงเดือน  พฤษภาคมที่ผ่านมา..ฉันได้รับโทรศัพท์จากเบอร์ไม่คุ้นตา ผ่านทางมือถือฉัน..แม้เมื่อรับสายแล้ว เสียงที่ฉันแน่ใจว่า ไม่เคยได้ยินมาก่อน ก็ทำให้ฉันงุนงงสงสัยเป็นชั่วครู่ว่า...เขาคือใคร....

คุณๆรู้มั้ยคะ... เขาคือใคร?????				
25 สิงหาคม 2550 20:50 น.

คุณจะรู้สึกอย่างไร..เมื่อได้กลับมาเจอคนรักเก่าที่พรากจากกันถึง 13 ปี ตอน ใจสลาย

เสราดารัล

การใช้ชีวิตเพียงลำพังผู้เดียวในเมืองหลวงของฉันที่ทั้งชีวิตเป็นเด็กต่างจังหวัดมาโดยตลอดนั้น ถือเป็นการปรับตัวครั้งยิ่งใหญ่ของฉันเลยทีเดียว ไหนจะเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ และเรื่องหน้าที่การงาน...จากเด็กนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยที่มีหน้าที่รับผิดชอบเพียงแค่เรื่องเรียนอย่างเดียวเท่านั้น มาเป็นคนทำงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบหลากหลายยิ่งขึ้น...

          อย่างไรก็ตามเพียงแค่ข้ามปี ด้วยความมานะอุตสาหะ มุ่งมั่น ขยัน และตั้งใจจริงของฉัน ฉันรวบรวมรายได้จากค่าคอมมิชชั่นที่ได้รับในแต่ละเดือน และเงินโบนัสก้อนโตในฐานะพนักงานดีเด่นที่ทำยอดขายอยู่ในระดับสูงทุกเดือนติดต่อกันซื้อรถยนต์ญี่ปุ่นมือ 2 สภาพดีเล็กๆ 1 คัน และเป็นเจ้าของคอนโดมิเนียมห้องเล็กๆ 1 ห้องด้วยเงินดาวน์ก้อนหนึ่ง..แม้ฉันจะได้มันมาด้วยระบบการผ่อนจ่าย แต่มันก็คือสมบัติชิ้นแรกที่ฉันหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง...ถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างที่สุดของฉัน

         ถึงตอนนี้ ฉันไม่ได้เขียนจดหมายหาเขาอีกเลย นอกจากจดหมายฉบับสุดท้ายที่ฉันเขียนบอกเขาไปว่าฉันได้เข้ามาทำงานที่กรุงเทพแล้ว และได้ทำงานที่ไหน อย่างไรบ้าง ด้วยหน้าที่การงาน ทำให้ฉันไม่มีเวลาว่างมากพอที่จะส่งข่าวคราวถึงเขาได้บ่อยเหมือนเมื่อสมัยเรียน...

        แต่วันหนึ่ง ในช่วงปีที่ 2 ของการทำงาน ฉันได้รับโทรศัพท์จากเสียงที่คุ้นใจของฉันมาเนิ่นนาน..เขาโทรมา...เขาบอกว่า เขามาสัมมนาที่กรุงเทพ..เขาอยากมาทานอาหารเย็นกับฉัน ไม่ต้องบอกคุณก็คงรู้ว่า คำตอบของฉันจะเป็นอย่างไร..ใช่ค่ะ ฉันรีบตอบรับแทบจะทันทีที่เขาพูดจบประโยค ราวกับกลัวว่าเขาจะเปลี่ยนใจ

        เมื่อเราเจอกันในครั้งนี้...ฉันรู้สึกมั่นใจในตัวเองขึ้นมาเป็นอย่างมาก ฉันรู้สึกว่าในตอนนี้ ฉันกับเขาแทบจะไม่แตกต่างกัน ฉันเป็นคนวัยทำงานเช่นเดียวกับเขา ฉันมีพร้อมแล้วทุกอย่าง ตามความต้องการพื้นฐานที่คนทั่วๆไป อยากจะได้อยากจะมี ฉันมีหน้าที่การงานที่มั่นคง มีบ้าน มีรถ มีรายได้เพียงพอที่จะดูแลตัวเองได้อย่างสบายๆ...ฉันมีคุณสมบัติเพียงพอที่..ถ้าเขาเพียงแต่จะหันมามองฉัน...

         เราพูดคุยกันในเรื่องทั่วๆไป..แปลก..ที่แม้ว่าเราจะไม่เจอกันนานแค่ไหน อย่างไร แต่เมื่อเวลาที่เราได้มาเจอกันทุกครั้ง เราก็สามารถพูดคุยกันได้อย่างไม่ขัดเขิน ไม่ประหม่า การพูดคุยรื่นไหล ต่อเนื่อง ราวกับเราได้เจอกันทุกวัน

         เขาลาจากฉันหลังสิ้นสุดอาหารค่ำมื้อนั้น...แม้จะอาลัยอาวรณ์แค่ไหน..แต่ฉันก็ต้องยอมรับความเป็นจริงอยู่ดี

         หลังจากนั้นราว 1 สัปดาห์ แม่โทรหาฉันด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ร้อนรนว่า ฉันทราบข่าวหรือยังว่า เขากำลังจะแต่งงานเดือนหน้านี้แล้ว.......หลังจากประโยคนี้ของแม่แล้ว ฉันแทบไม่ได้ยินประโยคอื่นต่อจากนั้นอีก..ฉันหูอื้อ ตาลาย ใจสั่นหวิวๆ ..ฉันอึ้งไปชั่วครู่..หลังจากตั้งสติได้ ฉันถามแม่ว่า แม่รู้ได้อย่างไร แม่บอกว่าแม่ได้รับการ์ดแต่งงานเขา จากแม่ของเขาเอง แล้วฉันก็ถามคำถามแม่อีกด้วยคำถามที่ฉันมาคิดได้ในภายหลังว่า มันช่างเป็นคำถามที่โง่เง่าที่สุดว่า..แม่อ่านดีหรือเปล่า อาจจะเป็นพี่สาวเขานะ ที่แต่งงานน่ะ...แม่ย้ำว่า แม่อ่านไม่ผิด เพื่อยืนยัน แม่อ่านให้ฉันฟังช้าๆชัดๆอีกครั้ง ...เสียงของแม่ เหมือนมีดกรีดหัวใจฉันอย่างช้าๆ กว่าที่แม่จะอ่านจบ ฉันรู้สึกว่าหัวใจของฉันมันฉีกขาดด้วยคมมีดนั้นอย่างไม่มีชิ้นดี....

           มันจบลงแล้ว มันสิ้นสุดแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง...ความหวัง ความฝันในชีวิตของฉันมันได้สิ้นสุดลงแล้วนับแต่วันนี้..เขาได้ทำลายหัวใจดวงน้อย ของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่มีเขาเป็นฮีโร่ในดวงใจมาตั้งแต่วัยเยาว์...เขาผู้ซึ่งเป็นหลักยึดในหัวใจ เป็นแรงใจใฝ่ดีที่ทำให้เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง มีความฝัน มีความมุ่งมั่นที่จะทำทุกอย่างให้สำเร็จ ในวัยเรียน ฉันเป็นเด็กเรียนดี เพราะมีเขาเป็นแรงใจ อยากให้เขามองฉันด้วยสายตาภาคภูมิ เมื่อทำงาน ฉันเป็นพนักงานดีเด่น เพราะอยากให้เขาภูมิใจในตัวฉันว่าเด็กคนนี้ ก็มีดีไม่แพ้ใคร...ฉันทำทุกอย่างเพื่อเขา...ฉันกล้าบอกได้อย่างไม่อายใครเลยว่า เด็กบ้านแตกอย่างฉัน ได้ดีอย่างทุกวันนี้ เพราะมีเขาเป็นแรงใจ เป็นหลักชัยที่ใช้เป็นที่ยึดเหนี่ยวอยู่เสมอ

          เขาเป็นผู้ชายคนแรก ที่ให้ความรัก ความอบอุ่นกับฉันเสมอมา ตลอดเวลาที่เรารู้จักกัน เขาเป็นผู้ให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันต้องการ..เขาเป็นผู้เสียสละ...เขาเป็นพี่ชายใจดี ที่เข้าใจอารมณ์ ความรู้สึกของเด็กผู้หญิงที่ขาดความอบอุ่นคนนี้ได้เป็นอย่างดี..ชีวิตของฉัน ไม่เคยมีสายตาไว้มองผู้ชายคนไหน ไม่มีหัวใจที่จะมอบให้ใครได้อีกแล้ว นอกจากเขาคนเดียวเท่านั้น

         แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ มันคืออะไร...ยิ่งนึกถึงช่วงท้ายของการพูดคุยก่อนที่เราจะแยกจากกัน เขาถามว่า ฉันมีแฟนหรือยัง...ฉันเลี่ยงที่จะไม่ตอบ เขาถามฉันถึง 3 ครั้ง จนฉันต้องตอบคำถามของเขา ทั้งที่ฉันไม่อยากตอบ ด้วยการย้อนถามเขาไปว่า เขาคิดว่าฉันจะรักใครได้อีกหรือ...เขานิ่งไป..ฉันถามเขาต่อว่า แล้วเขาล่ะ มีแฟนหรือยัง..เขาตอบฉันอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า..เขาไม่มี..เขาทำแต่งานโดยไม่ได้สนใจใครเป็นพิเศษ...เขาตอบฉันอย่างนี้ได้อย่างไร..ในเมื่อเดือนหน้านี้แล้ว ที่เขาจะแต่งงาน...มันเป็นไปได้อย่างไรกัน

         ฉันรำพันกับแม่ว่า ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะอาทิตย์ที่แล้ว เขายังมาหาฉัน เรายังได้นั่งทานข้าวด้วยกัน และเขาก็บอกว่า เขาไม่มีแฟน..ไม่น่าเชื่อ..มันจะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ได้อย่างไร...ฉันเฝ้าคิดทบทวนไปมา..จนเมื่อตั้งสติได้ และเริ่มยอมรับว่ามันเป็นเรื่องจริง ฉันร้องไห้โฮอย่างไม่อายใคร...เสียงร้องไห้ของฉันที่ดังต่อเนื่องยาวนานขนาดนี้ มันคงบาดหัวใจของแม่ฉันพอสมควร แม่ปลอบใจฉันว่า ร้องเถอะลูก ร้องให้พอ..เราร้องไห้เสียน้ำตาไปเท่าไรในวันนี้ ขอให้น้ำตาที่เสียไปให้บทเรียนกับเรา...วันนี้เขาทำให้เราเสียใจ..แต่วันนึง เราจะต้องทำให้เขาเสียดาย...นี่คือแม่..ผู้หญิงแกร่งของฉัน

        ในตอนหน้าค่ะ ฉันจะบอก..ว่าทำไม แม่ฉันถึงพูดประโยคนี้				
23 สิงหาคม 2550 11:23 น.

คุณจะรู้สึกอย่างไร..เมื่อได้กลับมาเจอคนรักเก่าที่พรากจากกันถึง 13 ปี ตอน แรกเริ่มร้าง

เสราดารัล

ไม่มีสัญญาณใดๆบ่งบอกเลยว่า ความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่ จะเปลี่ยนแปลงไป เขายังปฏิบัติตัวต่อฉันอย่างสม่ำเสมอ....จนกระทั่ง

             เทอมสุดท้ายที่เขาใกล้จบการศึกษา เสียงของเขาที่ผ่านมาตามสายโทรศัพท์ทุกวันๆ เริ่มหายไป การมาหาฉันที่หอพักในมหาวิทยาลัยทุกสุดสัปดาห์ก็หายไปเช่นกัน คราวนี้ เป็นฝ่ายฉัน ที่ต้องคอยโทรหาเขา...ฉันถามเขาถึงเหตุผลในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เขาบอกสั้นๆ เพียงว่า เขาต้องเรียนจบภายในปีนี้ และกำลังยุ่งๆกับเรื่องขอจบการศึกษา ขอให้ฉันเข้าใจเขา...

             ฉันเชื่อในคำพูดของเขา ตั้งแต่คบกันมา เขาไม่เคยโกหกฉัน คำพูดของเขาจึงเชื่อถือได้เสมอ...แม้จะทำใจเชื่อถือเหตุผลความจำเป็นของเขาอย่างไร ฉันก็อดน้อยใจไม่ได้ทุกที ฉันไม่เคยชินกับการเปลี่ยนแปลงนี้ ตั้งแต่ที่เริ่มคบหากัน ฉันมีเขาเคียงข้างเสมอมา..วันนี้ เมื่อเขาเปลี่ยนไป หัวใจของฉันจึงรู้สึกอ้างว้าง หวั่นไหวเสียเหลือเกิน

              หลังจากที่เขาจบการศึกษา เขาก็ไม่ติดต่อฉันมาอีกเลย เขาหายไปโดยไม่ได้บอกลาฉันเสียด้วยซ้ำ ช่วงปิดเทอม ฉันกลับไปบ้าน แม่ฉันบอกว่า เขาเรียนจบแล้ว และตอนนี้เข้าทำงานเป็นพนักงานธนาคารในสาขาจังหวัดบ้านเกิดของเรานี่เอง....ก็เพียงเท่านี้กับข่าวคราวของเขาที่ฉันได้รับรู้ (คุณคงเข้าใจ ในสังคมต่างจังหวัด ใครทำอะไรที่ไหนอย่างไร เป็นเรื่องที่คนในชุมชนรับรู้กันได้ทั้งนั้น)

              เมื่อไม่มีเขา การเรียนตามลำพังที่นี่จึงไม่มีประโยชน์กับฉันอีก กอรปกับฉันต้องการเรียนในคณะที่ฉันต้องการจริงๆที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ฉันจึงเอนทรานซ์อีกครั้ง ฉันยังโชคดีอีกเหมือนเคยที่เอนทรานซ์ติดในคณะที่ต้องการ ฉันยอมเสียเวลาเรียนไป 1 ปี เพื่อได้เรียนคณะนี้ และหลีกหนีความทรงจำเก่าๆที่คอยทำร้ายฉันเสมอมา การกลับมาเชียงใหม่ในครั้งนี้ ฉันกลับมาในสภาพนกปีกหัก ต้องกลับมาตายรังที่ตัวเองมั่นใจว่าเป็นเกราะป้องกันภัยแก่ฉันได้ ความรักความอบอุ่นของเพื่อนๆ ทำให้ฉันคลายโศกเศร้าไปได้พอสมควร

             ฉันตั้งใจเรียนอย่างจริงจัง เพื่อชดเชยกับเวลาที่เสียไป 1 ปี ที่สุดฉันก็ทำสำเร็จ ฉันสามารถเรียนจบภายในเวลา 3 ปีครึ่ง

             ฉํนยังคงคิดถึงเขาอยู่เสมอ ฉันเขียนจดหมายบอกเล่าเรื่องราวคราวเคลื่อไหวของฉัน ให้เขาทราบอยู่เนื่องๆๆ....ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเขา ไม่มีจดหมายตอบจากลายมือที่คุ้นตาของเขา  ไม่มี แม้แต่เสียงของเขาที่คุ้นใจผ่านมาสายโทรศัพท์....เขาเงียบหายไป ราวกับไม่มีตัวตนบนโลกใบนี้

             ฉันอยุ่อย่างเดียวดาย ไร้ความหวัง แต่เหมือนว่าเบื้องบนจะเห็นใจในความรักของฉัน เพราะขณะที่ฉันเรียน ปี2  ฉันได้รับโทรเลขจากเขา บอกมาว่า เขาจะมาหาฉันที่เชียงใหม่....ไม่ต้องบอกคุณๆคงรู้ว่าฉันจะรู้สึกตื่นเต้น ดีใจแค่ไหน ฉันเพียรอ่านข้อความเพียงไม่กี่คำบนโทรเลขฉบับนั้น ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อให้ตัวเองแน่ใจว่า นี่คือ ความจริง ฉันไม่ได้ฝันไป มือที่สั่นเทาของฉันยึดจับโทรเลขฉบับนั้นเสียแน่นหนาราวกับกลัวว่ามันจะหายวับไปกับตาอย่างนั้น

            เขาจะรู้ไหมว่า แค่ข้อความไม่กี่คำของเขานั้น มันสามารถชุบซากต้นไม้ที่แห้งตายแล้วอย่างฉันให้กลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง ช่วงเวลาของการรอคอย ที่ใครหลายคนเบื่อหน่าย หากแต่ฉันกลับรู้สึกมีความสุขอย่างไม่น่าเชื่อ...ใครบางคนบอกว่า ความหวัง คือ กำลังใจ ฉันเพิ่งเข้าใจความหมายของมันตอนนี้นี่เอง

            แล้วเราก็ได้เจอกัน...เขาดูเปลี่ยนไปจากเดิม ภาพหนุ่มน้อยหน้าใส ผมยาวสลวยปรกคอ ใส่เสื้อเชิ้ต กางเกนยีนส์เก่าๆ และรองเท้าผ้าใบเท่ห์ๆหายไป ภาพที่ปรากฎตรงหน้าฉันตอนนี้ คือผู้ชายใส่เสื้อยืดโปโลสีสดใส กางเกงสแลค และรองเท้าคัตชู...ท่วงท่ายังสง่างามเหมือนเดิม..สิ่งที่ฉันพบ นอกจากเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแล้ว...เขาเงียบขรึมมากยิ่งขึ้น ความ
ขี้เล่นน้อยลง คงเพราะชีวิตเขาเปลี่ยนไป จากวัยเรียน เป็นวัยทำงาน ในขณะที่เขาบอกว่า ฉันยังคงความร่าเริง ช่างพูดเหมือนเคย ฉันเริ่มรู้สึกถึงความต่าง และความห่างของเรา..แต่ช่างเถอะ...อะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ฉันไม่สนหรอก เพราะขณะนี้ เขาอยู่กับฉันแล้ว

             เขาบอกว่า เขาจะบวชเดือนหน้า เลยขอมาเที่ยวพักผ่อนให้เต็มที่ก่อน เขาลางานมา 1 อาทิตย์เต็มๆ ฉันพาเขาไปเที่ยวหลายที่ หลายจังหวัดในภาคเหนือ ดูเขามีความสุข ร่าเริงมากกว่าวันแรกๆที่ฉันพบเขา ความเป็นตัวของตัวเองของเขากลับมาอีกครั้ง เขายังเป็นพี่ชายคนดีที่ฉันรู้จัก ความอาทร อ่อนโยนที่เขามีต่อฉันไม่ได้จางหายไปเลย..ฉันหลีกเลี่ยงที่จะไม่ถามเขาถึงสาเหตุที่เขาหายไป ฉันอยากให้เขาสบายใจที่สุด และมีความสุขมากที่สุดตลอดเวลาที่อยู่กับฉัน ส่วนฉัน ก็ขอเก็บเกี่ยวภาพความสุข ความทรงจำที่มีร่วมกับเขาให้มากที่สุดเช่นกัน

             เวลาแห่งความสุขของฉัน ช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน ในที่สุด ก็ครบกำหนดที่เขาต้องเดินทางกลับ...ไม่มีคำสัญญา ไม่มีคำปลอบใจใดๆจากเขา ในวันที่ฉันอาลัยอาวรณ์กับการจากไปของเขา...ฉันเองก็ไม่คาดคั้นให้เขาสัญญาใดๆทั้งสิ้น...ฉันรู้ว่า ฉันมีชีวิตอยู่เพื่อวันนี้เท่านั้น

             แล้วก็จริงอย่างที่ฉันคิด ตั้งแต่ลาจากกัน เขาก็หายไปเหมือนเช่นเคย จนกระทั่งฉันจบการศึกษา ฉันมาได้งานทำที่กรุงเทพ เป็นพนักงานฝ่ายโฆษณา ในหนังสือพิมพ์หัวสีฉบับหนึ่งของเมืองไทย

             ฉันยังคงเขียนจดหมายถึงเขา...เช่นเดียวกับที่เขา ก็ไม่เคยติดต่อฉันมาเช่นเคย คุณคงแปลกใจ ทำไมฉันจึงไม่ลืมเขา ทำไมฉันยังเพียรทำอย่างสม่ำเสมอทั้งที่ไม่ได้รับการตอบรับ...ถ้าคุณรักใครซักคนอย่างจริงจัง...คุณจะรู้คำตอบค่ะ ว่า เพราะอะไร....				
21 สิงหาคม 2550 22:27 น.

คุณจะรู้สึกอย่างไร..เมื่อได้กลับมาเจอคนรักเก่าที่พรากจากกันถึง 13 ปี ตอน แรกเริ่มรัก

เสราดารัล

สำหรับเขา....ฉันวางเขาไว้อยู่เหนือใครๆทั้งปวง เขาไม่ใช่แค่คนรักเก่า หากแต่เขาเป็นมากกว่านั้น เขาเป็นทุกสิ่งอย่างในชีวิตฉัน เป็นความหวัง กำลังใจ เขาเป็นคนเดียวที่ฉันอยากเห็นสายตาที่ทอดมองมายังฉันด้วยความรัก และความภาคภูมิ เขาเป็นคนเดียวที่ทำให้ชีวิตฉันมีความหมาย

                เขาผู้ที่ทำให้การเป็นโรงเรียนของเด็กหญิงคนหนึ่ง มีความหมาย ทุกเช้าในรถโดยสารประจำทาง บ้านฉันอยู่ต้นสาย ฉันจึงสามารถเลือกที่นั่งตามใจชอบ และแน่นอนที่สุด ฉันจะเลือกที่นั่งริมสุด เพื่อคอยถือกระเป๋านักเรียนให้พี่ชายใจดี ท่วงท่าสง่างาม และรอยยิ้มที่เป็นมิตรที่มักขึ้นระหว่างทาง...เหมือนเขาเองก็เต็มใจให้ฉันถือกระเป๋าให้ เขามักจะมายืนใกล้ๆที่ฉันนั่งเสมอ...มีนักเรียนหญิงทั้งรุ่นพี่ และรุ่นเดียวกับฉัน คอยที่จะถือกระเป๋าให้เขาเช่นกัน ...แต่..ฉันกลับได้รับสิทธิ์นั้นเพียงคนเดียว

               เขาเป็นผู้ชายคนแรกที่ทำให้ฉันรู้สึกปลื้ม อยากพบ อยากเจอ ไม่ใช่เพราะเขาเป็นดาวโรงเรียนที่ทั้งเรียนเก่ง รูปหล่อ เป็นนักกิจกรรมตัวยง และนักกีฬาหลายประเภท...เป็นคนดังชนิดที่ว่าไม่มีใครในโรงเรียนที่ไม่รู้จักเขา..แต่ฉันมองเห็นผู้ชายคนนี้มากกว่านั้น ฉันมองเห็นผู้ชายขี้อาย พูดน้อย 
เคร่งขรึม ไม่เคยเห่อเหิมกับชื่อเสียงและคุณสมบัติที่ตัวเองมี ไม่เคยหว่านเสน่ห์กับสาวๆ (ทั้งๆที่สาวๆอยากให้เค้าทำมากแค่ไหนก็ตาม)

              ฉันแอบปลื้มเขาอย่างเงียบๆ และถือกระเป๋าให้เขานานนับปี โดยไม่เคยได้พูดกันซักคำ แม้ว่า เขาจะเคยตามเพื่อนเขามา ลองชิมขนมที่ฉันทำในชั่วโมงคหกรรม...ฉันก็แค่ส่งขนมให้เค้า เค้ายิ้มรับ ไม่กล้าแม้แต่จะถามเค้าว่ารสชาติเป็นยังไง อร่อยมั้ย...เฮ้อ.... 
              
                จนกระทั่งฉันเรียนจบมัธยมต้น และเขาเองก็จบชั้นมัธยมปลาย  เขาไปเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพ ส่วนฉันไปเรียนต่อม.ปลาย ที่โรงเรียนประจำจังหวัดเชียงใหม่....เหมือนเส้นชีวิตของเขากับฉันจะขนานกันอย่างสิ้นเชิง

                วันนึง ช่วงปิดเทอม ม.5 ฉันได้กลับมาเยี่ยมบ้าน ขณะที่นั่งเล่นอยู่ในบ้าน ฉันมองเห็นเขาขับรถผ่านหน้าบ้านฉัน...เร็วเท่าความคิด ฉันวิ่งถลันไปหน้าบ้านตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้...ได้แต่ชะเง้อมองรถเขาที่แล่นผ่านไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ เขาคงเห็นฉัน..เขาเลี้ยวรถกลับมาหา ณ.จุดที่ฉันยืนอยู่...ไม่รู้ทำไม ครั้งนี้ ฉันถึงกล้าคุยกับเขา...เป็นฉัน..ที่ทักเขาก่อน (อาจเป็นเพราะฉันรู้ว่า นี่เป็นโอกาสเดียวที่ฉันมี หรือเพราะฉันโตขึ้น ฉันถึงกล้าที่จะทำตามใจของตัวเองมากขึ้น) เราคุยกันได้ซักพัก แล้วเราก็แลกที่อยู่พร้อมเบอร์โทรกัน..เชียงใหม่-กรุงเทพ ไกลกันเหลือเกินในความคิดของฉัน...แต่ใครจะสนล่ะ ในเมื่อผู้ชายในฝันของฉัน กำลังยืนพูดคุยกับฉันแบบตัวเป็นๆๆต่อหน้าฉันขนาดนี้...4 ปีที่ใกล้ แต่ฉันกลับไม่เคยมีแม้แต่โอกาสที่ได้พูดกับเขา หากแต่กลับกลายเป็นว่า เมื่ออยู่ไกลกันอย่างนี้..แรงผลักของอะไรบางอย่างทำให้เรากล้าที่จะทำความรู้จักกันอย่างจริงจัง

                  ไม่นานหลังจากนั้น ฉันได้รับโทรเลขจากเขา (ปีพ.ศ.2529 ยังไม่มีเพจเจอร์ และโทรมือถือ การติดต่อที่เร็วที่สุด คือโทรเลข โทรศัพท์) เขาบอกว่า จะขึ้นมาหาฉันที่เชียงใหม่...ไม่ต้องบอก คุณๆก็คงพอรู้นะคะ ว่าฉันตื่นเต้น ดีใจแค่ไหน ฉันเฝ้ารอคอยวันที่เขาจะมาหาด้วยใจจดจ่อ..เขามาตามนัดหมาย และอยู่รอจนฉันสอบเสร็จ เราจึงกลับบ้านที่ต่างจังหวัดพร้อมกัน

                  เขามาหาฉันที่เชียงใหม่ ทุกๆปิดเทอม เราติดต่อกันอย่างสม่ำเสมอ ทั้งทางโทรศัพท์และจดหมาย ฉันโชคดีที่ฉันได้รู้จักผู้ชายคนนี้ เขาเป็นผู้ชายที่ดี อบอุ่น เอาใจใส่ ห่วงใย จริงใจ และหวังดีกับฉันเสมอมา

                   จำได้มีอยู่ครั้งนึง เรา 2 คนมีเงินกัน 100 กว่าบาท แต่เราต้องนั่งรถกลับบ้านต่างจังหวัดด้วยกันในวันนี้ ฉันเกิดอยากทานอาหารขึ้นมา เขาเสียสละให้ฉันได้ทาน โดยที่ตัวเขาไม่ทาน เงินที่เราพอมีที่จะขึ้นรถทัวร์ได้ ก็เหลือเพียงแค่ขึ้นรถบัสสีส้ม ไม่มีแอร์ มีแต่พัดลมเก่าๆโบกไปมา พอให้หายร้อน

                  เขาผ่าตัดไส้ติ่งกระทันหัน หมอให้เค้าบอกชื่อญาติที่จะติดต่อได้ แทนที่เขาจะให้ชื่อพ่อแม่พี่น้องเขา แต่..ฉันกลับเป็นคนแรกที่ฉันนึกถึง....ทางโรงพยาบาลโทรทางไกลมาหาฉันที่เชียงใหม่ บอกว่าเขาผ่าตัดไส้ติ่งด่วน ให้มาเยี่ยม ด้วยความที่ฉันเป็นคนรักเรียน ทางโรงพยาบาลโทรมาวันพุธ ฉันไม่อยากขาดเรียน ฉันจึงนั่งรถมาหาเขาในคืนวันศุกร์ มาถึงที่โรงพยาบาล พ่อแม่และพี่ๆเขาอยู่กันพร้อมหน้าแล้ว..ฉันคงไม่มีความจำเป็นต่อไปอีก ...ฉันจึงบอกเขาว่าจะไปพักกับเพื่อนแถวบางกะปิ เขาบอกว่า ไปก่อน แล้วเขาจะตามไป ฉันไม่คิดว่าเขาพูดจริง เพราะเขาเพิ่งผ่าตัด แผลยังไม่แห้ง ยังไม่ได้ตัดไหม คิดเพียงว่า เขาพูดเพื่อปลอบใจฉัน

                    วันรุ่งขึ้น ฉันเห็นเขาปรากฎตัวที่หอพักเพื่อนฉันจริงๆ ดวงหน้า
ซีดเซียวของเขา แม้จะพยายามฝืนยิ้มอย่างไร ก็ไม่สามารถปกปิดร่องรอยความเจ็บปวดจากบาดแผลผ่าตัดได้ ฉันถามว่าเขามาได้อย่างไร เขาบอก หนีมา แต่เขียนจดหมายบอกญาติๆที่เฝ้าที่โรงพยาบาลแล้ว ฉันบอก แล้วมาทำไม ทำไมไม่รอให้แผลหายดี ไม่รอตัดไหมก่อน เขาบอกว่า เขาเป็นห่วงฉัน ไม่รู้ว่าฉันมาอยู่ที่นี่จะเป็นอย่างไร....นี่คือเขา..คุณคงไม่แปลกใจนะคะ ทำไมฉันถึงรักเขาเหลือเกิน

                    กระทั่งฉันเรียนจบ ม.6  ฉันเลือกมหาวิทยาลัยในกรุงเทพทั้งหมด เพื่อที่จะได้อยู่ใกล้เขา โชคดีฉันเอ็นทรานซ์ติด ได้ไปเรียนที่ทับแก้ว...เขายัง
ปฎิบัติตัวสม่ำเสมอเช่นเคยในช่วงปีแรกที่ฉันเรียนที่นั่น...ฉันเรียนปี1. แต่เขากำลังเรียนจบในปีนั้นเช่นกัน....

                    แล้วฉันก็ได้พบสิ่งที่ฉันไม่เคยคาดคิดมาก่อน ตลอดเวลาที่คบหากับเขา...ในปีที่เขาจบการศึกษานั่นเอง				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเสราดารัล
Lovings  เสราดารัล เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเสราดารัล
Lovings  เสราดารัล เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเสราดารัล
Lovings  เสราดารัล เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงเสราดารัล