27 กรกฎาคม 2550 09:48 น.

เรื่องจริงของฉันกับเขา (คนดีที่ไม่รัก...) ตอนที่ 7

เสราดารัล

ที่สุด ฉันก็ตอบคุณพ่อไปว่า ฉันขอไปเรียนปรึกษาคุณแม่ฉันก่อน ซึ่งฉันคิดว่าเป็นคำตอบที่ดีที่สุดในขณะนั้น
         ฉันเล่าเรื่องในเย็นนั้นให้แม่ฟัง แม่ถามฉันว่า รักเขาหรือเปล่า.....คำถามของแม่ ทำให้ฉันต้องนิ่งคิดไปชั่วครู่....จริงซิ ฉันรักเขาหรือเปล่า...ฉันไม่รู้....แต่ที่มั่นใจอย่างที่สุด คือเขารักฉัน...ฉันตอบแม่ไปว่า...ฉันเคยผิดหวัง เสียใจกับคนที่ฉันรักมามากแล้ว จะเป็นไรไปถ้าฉันจะขอเลือกคนที่เขารักฉันบ้าง....(ฉันอาจเป็นคนที่เห็นแก่ตัวเกินไป แต่ฉันเหนื่อยเหลือเกินกับความรักครั้งก่อนๆ ความรักที่ไม่ลงตัว ความเพียรพยายามที่จะทำให้ความรักราบรื่น และฉันก็ค้นพบว่า มีแต่ฉันฝ่ายเดียวต่างหากที่ได้พยายาม)
          ที่สำคัญที่สุด ฉันรู้ว่าเขาเป็นคนดี ผู้หญิงเรา คงไม่ต้องการอะไรมากไปกว่า คนดีที่รักเราจริงหรอกนะคะ....
          แล้วงานแต่งงานของเราก็ถูกจัดขึ้น ท่ามกลางความยินดีของครอบครัว พ่อแม่ พี่น้อง ญาติสนิทมิตรสหายทุกท่าน
          พิธีแต่งงาน เรากลับไปจัดที่จังหวัดบ้านเกิดของฉัน  พิธีเช้า มีท่านผู้ว่าราชการจังหวัด และท่านเจ้ากรมทหารให้เกียรติมาสวมมงคลสมรส....เพื่อนของเขาที่เป็นนักบิน ขับเครื่องบินมาวนรอบบริเวณงานเพื่อโปรยข้าวตอกดอกไม้ให้เป็นสิริมงคลแก่งาน
          พิธีลอดซุ้มกระบี่ในงานเลี้ยงช่วงค่ำ (ซึ่งถือเป็นพิธีที่มีเกียรติอย่างสูงสุดที่นายทหารตำรวจสัญญาบัตรทุกคนมอบให้เจ้าสาวในวันวิวาห์ เป็นการแสดงการยอมรับ เธอผู้นั้นให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต) ยิ่งใหญ่สมเกียรติสามารถสะกดสายตาทุกคู่ของแขกที่มาร่วมงาน  พร้อมเสียงปรบมือที่กึกก้องยาวนาน จนเป็นที่กล่าวขานมาถึงวันนี้....
         เราเริ่มต้นชีวิตคู่ของเรา โดยการซื้อทาวเฮาส์เล็กๆแถบชานเมือง ฉันต้องย้ายออกจากคอนโดในเมืองที่ฉันซื้อไว้มาอยู่กับเขาที่บ้านของเรา.....
         เนื่องจากเราเลือกซื้อบ้านอยู่ใกล้ที่ทำงานเขา แต่ไกลที่ทำงานฉัน ฉันจะต้องตื่นเช้ามาก เพื่อให้ทันมาทำงาน เมื่อฉันตื่น เขาก็ตื่นพร้อมฉัน เช็ครถ ชงกาแฟและคอยเปิดประตูหน้าบ้านให้ฉัน เขาทำแบบนี้ทุกเช้า ทั้งๆที่เขาไม่จำเป็นต้องตื่นเช้าขนาดนั้น และทั้งที่ฉันไม่เคยร้องขอ แต่เขาก็ทำ...เพื่อฉัน
         แต่ถึงแม้เขาจะแสดงออกถึงความรัก และการดูแลเอาใจใส่ฉันอย่างดีแค่ไหน  ฉันกลับพบว่า ระหว่างเรามีช่องว่าง...
         ช่วงแรกของการอยู่ร่วมกัน เราต้องใช้เวลาในการปรับตัวค่อนข้างมาก เรามักคิดเห็นไม่เหมือนกัน พูดสื่อสารทำความเข้าใจผิดพลาดอยู่บ่อยครั้ง ฉันแอบท้อ..และร้องไห้..ฉันให้กำลังใจตัวเองว่า มันเป็นเรื่องปกติ ของคน 2 คนที่มีที่มาต่างกัน ถูกอบรมเลี้ยงดูต่างกัน เมื่อต้องมาอยู่ร่วมกัน มันย่อมมีปัญหา หรือความขัดแย้งเกิดขึ้นบ้าง...โชคดีที่เรา 2 คนมองเห็นปัญหา และพยายามหาทางแก้ไข
         การคุยแบบเปิดใจของเราก็เกิดขึ้น....เราพูดคุยทำความเข้าใจกันอย่าง
ลึกซึ้ง เราช่วยกันแจกแจงในสิ่งที่เราชอบ หรือเราไม่ชอบ...ฉันเป็นแบบนี้ เขาเป็นแบบนี้...เราสัญญากันว่า เราจะก้าวข้ามผ่านมันไปให้ได้...เราจะหลีกเลี่ยงการกระทำ คำพูดที่อีกฝ่ายไม่ชอบ..และเราจะสร้างครอบครัวของเราให้แข็งแรง มีความสุขต่อไป
        เมื่อเราผ่านพ้นช่วงเวลาของการปรับตัว..เราต่างสามารถยอมรับกันและกันได้มากขึ้น รู้สึกใกล้ชิดผูกพันกันยิ่งขึ้น...เราเริ่มรู้สึกว่า....จะดีกว่านี้มั้ย ถ้าจะมีสมาชิกใหม่เพิ่มเข้ามาในบ้าน...เป็นสมาชิกที่มาจากเลือดเนื้อเชื้อไขของเรา...เป็นคนที่เราทั้งคู่จะรักและดูแลเขาไปตลอดชีวิตด้วยความเต็มใจ....
        เราทั้งคู่ พร้อมจะรับเขามาอยู่กับเราแล้วค่ะ				
16 กรกฎาคม 2550 21:55 น.

เรื่องจริงของฉันกับเขา (คนดีที่ไม่รัก...) ตอนที่ 6 (สมบูรณ์จ้า)

เสราดารัล

พี่มะลิบอกฉันว่า เขาต้องการพูดสายกับฉัน ฉันตอบพี่มะลิไปอย่างไม่ต้องคิดเลยว่า ฉันไม่พร้อมจะพูดกับเขา ไม่อยากได้ยินเสียงเขา..แม้แต่แค่ทักทาย..ฉันเจ็บปวดเกินไปที่จะทำอย่างนั้น

      พี่มะลิไม่คาดคั้นให้ฉันทำในสิ่งที่ฉันไม่ต้องการ ก่อนวางสาย พี่มะลิทิ้งท้ายไว้ว่า เขามีเรื่องสำคัญที่อยากจะบอกกับฉันด้วยตัวเอง เขาอยากปรับความเข้าใจกับฉันอีกซักครั้ง...ฉันควรที่จะลองเปิดใจฟังเขา...บางทีสิ่งที่ฉันคิดมันอาจจะไม่ใช่...เมื่อได้ฟังเขาแล้ว ฉันจะตัดสินใจอย่างไร..ก็สุดแล้วแต่....

       ฉันขอบคุณในความหวังดีของพี่มะลิ และบอกว่าฉันจะเก็บสิ่งที่พี่มะลิพูดกลับไปทบทวน...แต่คงจะไม่ใช่ตอนนี้...ตอนที่ฉันรู้สึกผิดหวัง ท้อแท้อย่างเหลือเกิน..

       หลังจากนั้น 3 วัน พี่เอโทรมาหาฉัน (พี่เอ เป็นพี่ชายที่ฉันรักและเคารพมาก เราเคยเรียนโรงเรียนเดียวกัน ฉันรู้จักพี่เอตั้งแต่ยังเรียนในชั้นมัธยมต้น ช่างบังเอิญอย่างเหลือเชื่อ ที่พี่เอเป็นญาติสนิทของเขา)  พี่เอเล่าว่า เพิ่งรู้ว่าฉันรู้จักคบหากับน้องชายของเขา และขณะนี้มีปัญหากันอยู่ พี่เอขอร้องให้ฉันได้เปิดโอกาสให้น้องชายเขาได้พูด ปรับความเข้าใจกัน ฉันให้คำตอบพี่เอ เหมือนที่พูดกับพี่มะลิ..ฉันยังไม่พร้อมจะคุยกับเขาตอนนี้...พี่เอเข้าใจสภาพจิตใจฉันเป็นอย่างดี...และได้ขอร้องว่า...ถ้าฉันยังไม่พร้อมคุยตอนนี้ ก็ไม่เป็นไร...แต่อย่าเพิ่งตัดขาดจากน้องชายเขา...เมื่อฉันรู้สึกดีขึ้นกว่านี้แล้ว...ก็ควรได้คุยกัน

       เย็นวันนั้น เขาส่ง sms.มาหาฉัน ด้วยข้อความว่า."ผมมีความในใจอยากบอกกับคุณ..ผมรู้ใจตัวเองแล้วว่าผมรู้สึกกับคุณอย่างไร...นักเรียนสอบตก ยังมีโอกาสสอบใหม่เพื่อแก้ตัว...ผมขอโอกาสนั้นบ้างได้ไหม"

       ฉันตัดสินใจได้แล้วว่า ฉันไม่ควรวิ่งหนีปัญหา และขลาดกลัวกับการเผชิญหน้ากับความจริง..โดยวิสัยฉันแล้ว..ฉันไม่เคยเป็นแบบนี้...ทุกปัญหาที่เจอ..เคยทำให้ฉันรู้สึกท้าทาย...และภาคภูมิทุกครั้ง เมื่อแก้ปัญหาต่างๆเหล่านั้น ให้สำเร็จลุล่วงไปได้..แต่..อนิจจา...กับแค่ปัญหาหัวใจ..ทำไมฉันจึงเหมือนผู้แพ้..ที่อ่อนแอจนไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้อย่างนี้

       หมดเวลาสำหรับการหลบอยู่แต่ในถ้ำ ขังตัวเอง และร่ำไห้ให้กับความช้ำใจ ความเสียใจ และความผิดหวังอีกแล้ว...ฉันต้องออกไปสู้กับความจริง...เผชิญหน้ากับทุกสิ่งอย่างองอาจอีกครั้ง...ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

        ฉันพร้อมที่จะเจอเขาแล้ว..เรานัดเจอกันในวันหนึ่ง...เขาในวันนี้..ดูผิดตาไปจากที่ฉันเคยเห็น ผมยาวขึ้นกว่าเดิม หนวดเคราเขียวครึ้ม ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่สนใจที่จะดูแลเอาใจใส่กับมัน..ดวงตาแห้งผาก รูปร่างผอมซุบกว่าเดิม

        ถ้าไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไปนัก...ฉันแอบเห็นประกายความยินดีในแววตาเขาวูบนึง ทันทีที่เขาเห็นฉัน...เราทักทายกันอย่างเก้อกระดาก..สถานการณ์อย่างนี้..หลายคนคงเข้าใจ..ฉันทำลายกำแพงความเงียบระหว่างเรา 2 คนด้วยคำถามที่ตรงไปตรงมาว่า ฉันรู้สึกว่าเขาผอมไป หน้าตาซีดเซียว เขาบอกว่า เขาไม่มีความสุข ไม่สบายใจ กินไม่ได้ นอนไม่หลับเลย ตั้งแต่วันที่เขาให้จดหมายฉบับนั้นกับฉันไป...เขาเพิ่งรู้ใจตัวเองว่า หัวใจของเขาหลุดลอยไปกับจดหมายฉบับนั้นแล้ว

         แทนที่เขาจะรู้สึกโล่งใจ สบายใจ ที่เขาได้ให้คำตอบฉันไป เขากลับพบว่า เขารู้สึกตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง...เค้าเพิ่งรู้ใจตัวเองในวันนั้นว่า..เขารักฉัน...และทุกอย่างที่เขาบอกมาในจดหมายไม่เป็นความจริงเลยซักนิด

       เขาสารภาพว่า จริงๆเขาคงรักฉันมานานแล้ว เขาได้แต่ปฏิเสธใจตัวเอง ว่าคงไม่ใช่ความรัก เขาไม่ได้รักฉัน...แต่เขาก็ให้คำตอบกับตัวเองไม่ได้ว่า เมื่อไม่รัก ทำไมเขาจึงอยากได้ยินเสียงฉันทุกวัน อยากอยู่ใกล้ฉัน อยากเห็นรอยยิ้มของฉัน และอยากทำให้ทุกวันของฉันมีความสุข....

      เขาเคยผิดหวังในรักมาถึง 2 ครั้ง จึงคิดตั้งใจไว้ว่า เขาจะไม่รักใครอีกต่อไป เขากลัวความผิดหวัง  (เขาเป็นผู้ชายที่ทุ่มเท และจริงจังกับความรักมาก..เมื่อผิดหวัง..เค้าจึงรู้สึกเจ็บปวดเจียนตาย... ) เมื่อเจอฉัน แม้จะรู้สึกดีเพียงไร เขาก็ปฏิเสธใจตัวเองเรื่อยมาว่า..ไม่ใช่รัก...แต่เมื่อเขาได้ให้คำตอบกับฉันไปแล้ว..เขากลับรู้สึกเขาเจ็บปวด ทุกข์ร้อนมากกว่าครั้งที่ผ่านมา

      ฉันถามเขาว่า ถ้าฉันไม่ให้โอกาสเขามาบอกความในใจแบบนี้ เขาจะทำอย่างไร เขาบอกว่า เขาคงรู้สึกเสียใจไปจนตาย เขาไม่ได้เสียใจที่ฉันไม่ให้อภัยเขา แต่เขาเสียใจ ที่เขาขลาดกลัวกับความรักจนเกินไป แม้เมื่อพบคนที่เขารัก และรักเขาแล้ว เขากลับทิ้งหัวใจไปอย่างง่ายดาย..ชาตินี้ เขาจะไม่ให้อภัยตัวเองอีกเลย....

       เขาขอโทษ ที่ทำให้ฉันเสียใจมากมายขนาดนี้ จริงๆแล้ว เขาไม่เคยรู้เลยว่า ฉันรู้สึกอย่างไรกับเขา ฉันวางตัวกับเขา เหมือนเขาเป็นแค่เพื่อนคนหนึ่ง แต่เมื่อพี่มะลิเล่าว่า ฉันเอง ก็มีอาการเช่นเดียวกับเขา เขายิ่งรู้สึกเสียใจมาก ว่าเขาได้ทำให้คนที่เขารักเสียใจ

      เราปรับความเข้าใจกันได้ในที่สุด...และยังเห็นพ้องต้องกันว่า เราควรไปกราบขอบคุณพี่มะลิ พี่สาวที่แสนดี ที่อยู่เคียงข้าง ให้คำปรึกษา และให้กำลังใจเราเสมอเวลาที่เรามีปัญหา....เราไปหาพี่มะลิที่บ้าน พี่มะลิดีใจที่เรา 2 คนปรับความเข้าใจกันได้...เขาได้พูดสิ่งที่ฉันไม่คาดคิดว่าจะได้ยินต่อหน้าพี่มะลิ...

      "พี่มะลิครับ ขอบคุณสำหรับความรัก ความเมตตาที่มีให้เราทั้งคู่ตลอดมา...ผมรักเขา และขอสัญญาว่า ผมจะรักเขาจนวันตาย..." (พิมพ์มาถึงตอนนี้ ฉันรู้สึกวูบ..ขนลุก..คำพูดเขาดูเหมือนยังคงก้องอยู่ในหู เหมือนเขาเพิ่งพูดเมื่อเร็วๆนี้ แต่จริงๆมันผ่านมาถึง 7 ปีแล้วค่ะ...ใช่ค่ะ เขาพูดแบบนั้นจริงๆ)

       พี่มะลิ น้ำตาคลอ ซาบซึ้งกับคำมั่นของชายชาติทหารอย่างเขา ส่วนฉันไม่ต้องพูดถึง....ร้องไห้โฮ..อย่างไม่อายใครทันที่ที่เขาพูดประโยคนั้น

       หลังจากนั้นไม่นาน เขาขอให้ฉันพาเขาไปรู้จักกับครอบครัวของฉัน เพื่อไปแนะนำตัวกับคุณพ่อคุณแม่ของฉันอย่างเป็นทางการ และเพื่อให้ผู้ใหญ่รับรู้ว่าเรา 2 คนคิดคบหาดูใจกันอย่างจริงจัง

       เช่นเดียวกับเขา ที่พาฉันไปรู้จักครอบครัวของเขา มีคุณพ่อ เป็นอดีตนายทหาร ข้าราชการบำนาญ คุณแม่เป็นแม่บ้าน  เขามีพี่น้องผู้ชายทั้งหมด 5 คน และรับราชการทหารทั้ง 5 คนเช่นกัน (น้องชายคนสุดท้องของเขา เป็นนักบิน ยังโสดค่ะ) ครั้งแรกที่ฉันได้ทำความรู้จักกับครอบครัวของเขา ฉันก็สัมผัสได้ถึงการต้อนรับที่อบอุ่น จริงใจ เป็นมิตร

       ทุกๆๆวันหยุด ถ้าเขาไม่มาทานอาหารที่บ้านฉัน เขาก็มักพาฉันไปรับประทานอาหารกับครอบครัวของเขา เรามักมีกิจกรรมร่วมกับคนในครอบครัวของเราทั้ง 2 ฝ่ายอยู่เสมอๆๆ ทำให้เขากับครอบครัวฉัน และฉันกับครอบครัวเขา สนิทสนม ใกล้ชิดกันมากขึ้น

      เมื่อน้องชายเขาบวช เขาพาฉันไปร่วมงานและทำความรู้จักกับญาติพี่น้องของเขาทุกคน และแน่นอน 1 ในนั้นก็คือ พี่เอ...ทันทีที่เห็นฉัน พี่เอปรี่เข้ามาทักทาย พร้อมรอยยิ้ม และกระเซ้าว่า "ขอแสดงความยินดี ที่เราจะได้ใช้นามสกุลเดียวกัน (พี่เอ เป็นลูกน้องชายของพ่อเขา)" ฉันตอบไปว่า "คงไม่ขนาดนั้นหรอกน่า" พี่เอ ตอบกลับมาว่า "ชัวร์...ธรรมเนียมของตระกูลพี่ ถ้าลูกหลาน พาใครมาแนะนำตัวกับญาติๆแบบนี้ ก็คือจะแต่งงานกับคนนั้นแหละ"...ฉันได้แต่ยิ้ม..

       หลังจากนั้นไม่นาน..ในเย็นวันหนึ่ง..เขาบอกฉันว่า อาทิตย์นี้ คุณพ่อของเขาจะพาลูกๆไปทานอาหารนอกบ้าน และให้เชิญฉันไปด้วย..ฉันอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าหากเชิญเป็นเรื่องเป็นราวแบบนี้ น่าจะมีวาระพิเศษ จึงถามเขาไปว่า..เป็นวันพิเศษอะไรหรือไม่ วันเกิดใครในบ้านหรือเปล่า ฉันจะได้เตรียมหาของขวัญ เขาบอก ไม่ใช่วันเกิดใคร ของขวัญอะไรๆ ก็ไม่ต้องเตรียม..ไปถึงแล้วก็รู้เอง
เขาทิ้งปริศนาไว้แค่นั้น...ฉันตอบตกลง...

      วันนั้น เขามารับฉันที่บ้าน คุณพ่อเลือกร้านอาหารที่มีบรรยากาศเงียบสงบ และจองห้องรับประทานอาหารส่วนตัว นั่นหมายความว่า ทั้งห้องอาหารเล็กๆนั้น มีแต่ครอบครัวเรา ครอบครัวเดียว

       ฉันสังเกตเห็นว่า ทุกคนมีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสเป็นพิเศษ พูดจาหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน..โดยเฉพาะเขา ที่เป็นเป้าหมายในการหยอกล้อเป็นระยะๆ ฉันจับไม่ได้ว่าพวกพี่ๆน้องเขาหยอกล้อเขาเรื่องอะไร...แต่พอจะทราบว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับเขา

       เมื่อการรับประทานอาหารสิ้นสุดลง คุณพ่อกระแอมขึ้นมา 1 ครั้ง ทุกเสียงที่กำลังพูดคุย หยุดพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย คุณพ่อหันมาทางฉัน สายตาจับจ้องฉันไม่วางตา และคุณพ่อถามฉันด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ทำให้ฉันรู้สึกครั่นคร้ามขึ้นมากลายๆ แม้ว่า จะได้รู้จักกับคุณพ่อมาบ้าง แต่ก็ไม่เคยเห็นคุณพ่อมีทีท่าแบบนี้ คุณพ่อถามฉันว่า..ในสายตาของฉัน ลูกชายของท่านเป็นคนอย่างไร...ฉันรู้ว่า
คุณพ่อจริงจังกับคำถามนั้นเป็นอย่างมาก ดังนั้นก่อนตอบ ฉันจึงต้องคิดใคร่ครวญเป็นอย่างดี ...ฉันเรียนตอบคุณพ่อไปตามจริงว่า "แม้เราจะรู้จักกันไม่นาน แต่ฉันก็สัมผัสได้ว่าเขาเป็นคนดี มีน้ำใจ มีความจริงใจ รับผิดชอบ และรักครอบครัว" คุณพ่อยิ้มน้อยๆ กับคำตอบของฉัน และถามคำถามต่อมา ชนิดที่ไม่ทันให้ฉันตั้งตัวว่า...เขาต้องการแต่งงานกับฉัน และให้คุณพ่อไปสู่ขอฉันกับคุณพ่อคุณแม่ ฉันจะว่าอย่างไร...

      ฉันนิ่งอึ้งไปชั่วครู่....คราวนี้ ทุกสายตาในห้องนั้นมองมาที่ฉัน อย่างค้นหาคำตอบ โดยเฉพาะเขา ฉันแอบเห็น เขาใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กซับเหงื่อที่ผุดมาบนใบหน้า ทั้งๆที่อากาศในห้องเย็นเฉียบจับใจ แต่เขากลับร้อนอย่างไม่น่าเชื่อ

      นี่ฉันจะตอบอย่างไรดี..ฉันเชื่อว่า ผู้หญิงทุกคน มีภาพฝันที่คล้ายๆกัน นั่นคือ การขอแต่งงานจากชายคนรัก..เราอยากได้ยินคำบอกรักซึ้งๆ ในบรรยากาศโรแมนติก และการขอแต่งงานที่เว้าวอน อ่อนหวาน....

แต่ความจริงที่ปรากฎตรงหน้าฉันขนาดนี้ มันไม่ใช่....ไม่มีคำบอกรัก ไม่มีการขอแต่งงานจากเขา...นี่เขาข้ามขั้นตอนอะไรไปหรือเปล่า...เขาลืมอะไรไปหรือไม่ ฉันก็คือผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ต้องการแบบนั้น....

      ฉันงุนงง สับสน...ถูก..แม้การคบหาของเราทั้งคู่ เป้าหมายสูงสุด คือการแต่งงาน แต่เขาไม่เคยบอกฉันให้รู้ตัวมาก่อน ....ไม่มีภาพฝันที่ฉันเคยวาดไว้ ไม่มีฉากบอกรักที่โรแมนติก...ไม่มี..เลย  ทำไมเขาไม่คิดนะ...อย่างน้อย..มันก็ทำให้ฉันจดจำไปชั่วชีวิต...ให้ฉันได้มีภาพการขอแต่งงานเก็บไว้เป็นความประทับใจในชีวิตไม่ได้เชียวหรือ..

      ป่วยการจะคิด เพราะทุกอย่างที่ฝันไว้ มันพังทลายกับความเป็นจริงที่อยู่ข้างหน้า ฉันดึงความคิดเลื่อนลอยของตัวเองกลับมา..ทุกคนรอฟังคำตอบของฉันอยู่ โดยเฉพาะเขา....คำตอบของฉัน ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการตอบรับหรือปฎิเสธ ล้วนมีผลต่อชีวิตในภายหน้าของฉันแทบทั้งสิ้น.. 

      ฉันตัดสินใจให้คำตอบ ในสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับฉันและเขา...				
16 กรกฎาคม 2550 11:29 น.

เรื่องจริงของฉัน กับเขา (คนดีที่ไม่รัก....) ตอนที่ 6

เสราดารัล

ตอนที่ 6 เขียนไป 2 ครั้งแล้วค่ะ...post แล้ว แต่ไม่ปรากฏที่หน้าจอ.....ไม่ทราบว่าเพราะอะไรอ่ะค่ะ...ใครทราบช่วยบอกด้วยนะคะ				
11 กรกฎาคม 2550 14:39 น.

เรื่องจริงของฉันกับเขา (คนดีที่ไม่รัก...) ตอนที่ 5

เสราดารัล

ฉันแทบไม่รับรู้รสของอาหารในวันนั้น จำไม่ได้ว่าเราคุยเรื่องใดกันบ้าง และฉันก็คิดว่า เขาก็คงเป็นเช่นเดียวกัน เสียงพูดคุยของเขา ผ่านหูฉัน รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง หลายคำถามของเขาที่ถาม ฉันเรียกร้องให้เขาถามซ้ำ..สมองฉันแล่นช้ากว่าที่เคยเป็น ความคิด คำพูดที่เคยลื่นไหล กลับตีบตัน...ฉันลอบสังเกตเขาเองก็มีท่าที่ครุ่นคิด เหม่อลอยในบางขณะ

      ฉันเฝ้ารอคำตอบของเขาอย่างจดจ่อ แต่แปลก..ที่เขากลับไม่พูดถึงตลอดเวลาที่เราทานอาหารด้วยกัน...ทำไมนะ เขาช่างไม่รู้เลยหรือไร ว่าฉันกระวนกระวายกับคำตอบของเขามากแค่ไหน 

       จนเมื่อการทานของหวานซึ่งเป็นอาหารชุดสุดท้ายเสร็จสิ้นลง ฉันกำลังจะเอ่ยปากทวงถามเรื่องที่ค้างคาใจ เขากลับยื่นซองจดหมายสีฟ้า ส่งให้ฉัน และบอกว่า "คำตอบทั้งหมดของเขาอยู่ในนี้ ขอให้ฉันกลับไปอ่านเมื่อถึงบ้านแล้ว" ฉันถามว่า "ทำไมต้องเขียน บอกกับฉันตอนนี้เลยไม่ได้หรือ" เขาตอบกลับมาว่า "การเขียน จะทำให้เขาสื่อสารกับฉันได้ละเอียดและสมบูรณ์มากกว่าการพูด" เขาจบประโยคด้วยรอยยิ้ม...แต่ฉันกลับเห็นมือของเขาที่สั่นเล็กน้อย ขณะยื่นซองจดหมายนั้นกับฉัน

        เราแยกย้ายกันกลับบ้าน  ไม่มีทางที่ฉันจะระงับความอยากรู้ของฉันแล้วไปเปิดอ่านที่บ้านตามที่เขาบอก ฉันจอดรถข้างทาง และเปิดจดหมายอ่านในทันที

        เขาเก็บรายละเอียดของวันที่เขาได้รู้จักกับฉันครั้งแรก พรรณนาความรู้สึกของเขาที่มีต่อฉันตลอดเวลาที่เรารู้จักกัน เขาบอกว่า เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับผู้หญิงคนไหน เขามีความสุขที่ได้พูดคุยกับฉัน อยากเจอฉันตลอดเวลา และฉันก็เป็นผู้หญิงในแบบที่เขาค้นหามาแสนนาน

        อ่านมาถึงตรงนี้ ไม่ว่าใครก็คงรับรู้ได้ถึงคุณค่า และความสำคัญที่เราที่มีต่อผู้ชายคนหนึ่ง...ซึ่งฉันอดที่จะคาดเดากับคำตอบของเขาไม่ได้เลยว่า ฉัน..คือคนที่เขาต้องการคบหาอย่างจริงจัง

        ฉันแอบยิ้มขณะที่สายตาไล่เรียงตัวอักษรที่มาจากลายมือของเขา รู้สึก
วาบหวาม อบอุ่นใจเท่าๆกับที่เขาจะมานั่งพูดให้ฟังตรงหน้า 

         แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น เมื่อฉันอ่านมาถึงช่วงท้ายของจดหมาย รอยยิ้มเมื่อครู่ของฉันที่คิดว่ามันเป็นยิ้มที่งดงาม อ่อนหวานที่สุด มานจางหายไปในทันที เมื่อเขาบอกว่า "ถึงแม้ผมจะรู้สึกดีกับคุณแค่ไหน แต่ผมก็ยังไม่สามารถตอบใจตัวเองได้ว่า ผมต้องการคบกับคุณแบบแฟนมากกว่าเพื่อนหรือเปล่า หากถ้าคุณต้องการคำตอบที่ชัดเจน ผมก็ยังไม่มีให้ และผมก็ไม่ต้องการเป็นคนเหนี่ยวรั้ง หรือปิดโอกาสคุณในการที่จะทำความรู้จักกับคนอื่น...สำหรับผมแล้ว..ในตอนนี้ภาพของการมีแฟน และการมีครอบครัวยังห่างไกลตัวผมเหลือเกิน...."
          
           เขายังเขียนอะไรต่อไปอีกยืดยาว แต่สายตาฉันมันพร่าเลือนไปซะหมดแล้ว หูฉันอื้ออึงกับประโยคเดิมๆของเขาที่ตอกย้ำว่าเขาไม่คิดมีแฟน..

          นี่คือการปฏิเสธ..นี่คือคำตอบของเขาที่ฉันไม่คิดว่าจะได้รับ...ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาปฏิบัติตัวต่อฉันเหมือนฉันเป็นคนพิเศษ ฉันคิดไปเองหรอกหรือ..ว่าเขามีใจกับฉัน....ฉันไม่เคยมีเพื่อนผู้ชาย โทรหาฉันวันละ 5 ครั้งทุกวันเป็นประจำ ไม่เคยขาด...ฉันไม่เคยมีเพื่อนผู้ชายที่พาฉันออกงานสังคม ไปงานแต่งงาน งานเลี้ยงรุ่น (เพราะถ้าเพื่อนผู้ชายเหล่านั้นของฉัน จะพาใครไปซักคน มันก็คงต้องเป็นแฟนเขา ไม่ใช่เพื่อนธรรมดาๆๆแบบฉันแน่ๆ...จริงมั้ยคะ ) 

        แต่ความจริงที่ปรากฏต่อหน้าแนขณะนี้ คือ...เขาแค่รู้สึกดีกับฉัน แต่เขาไม่พร้อมจะพัฒนาความสัมพันธ์ของเรา...

        ฉันไม่รู้ว่าฉันขับรถกลับบ้านมาได้อย่างไร ด้วยสภาพจิตใจเลื่อนลอย น้ำตาที่รินไหล เต็มสองตา มาตลอดทาง  ฉันเก็บตัวอยู่ในห้องอย่างเงียบเชียบ จนเป็นที่ห่วงใยของคนในบ้าน แม่กับน้องชายเฝ้าดูอยู่ห่างๆ แต่ไม่กล้าเค้ามาซักไซร้ สอบถาม แม่คงคิดว่าฉันคงเป็นผู้ใหญ่เพียงพอที่จะรับมือและแก้ปัญหาด้วย
ตัวเองได้ แม่กล่าวด้วยความห่วงใยว่า "มีไร..เล่าให้แม่ฟังได้นะ..แม่ยินดี" แม้จะเป็นคำพูดสั้นๆเพียงไม่กี่คำ แต่ฉันก็ซาบซึ้งถึงความรัก ความห่วงใยของแม่อย่างมากมาย

       จำได้ว่าเหตุการณ์นั้น เกิดในช่วงเทศกาลปีใหม่ บรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองที่สดใสรอบๆๆตัวฉัน ไม่ได้ช่วยให้จิตใจที่เป็นทุกข์ หม่นหมอง โศกเศร้าของฉันหายไปได้เลย

        ฉันรักเขาหรือ ทำไมฉันถึงได้เสียใจมากมาย กับคำตอบของเขา...การถูกผู้ชายปฏิเสธ...มันทำไมรู้สึกแย่ได้ขนาดนี้....ช่วงเวลานั้นฉันคิดอะไรไม่ออกฉันไม่รู้ว่าฉันเป็นแบบนี้ เพราะอะไร...รู้แต่เพียงว่า..ทำไมเขาไม่ให้โอกาสทั้งกับตัวเขาเองและฉัน ให้ได้ลองเปิดใจคบหา ศึกษากัน คำตอบของเขาแบบนี้ คือการปิดกั้นทุกอย่างระหว่างเรา

       ฉันโทรไปหาพี่มะลิ (เจ้าของห้อง chatที่ทั้งฉันกับเขา สนิทสนมและเคารพมาก พี่มะลิ จะรับรู้เรื่องราวของเราทั้งคู่ตั้งแต่รู้จักกัน)เพื่อเล่า เพื่อระบาย เพื่อต้องการคำปรึกษา แนะนำ และที่สุด คือต้องการกำลังใจจากใครซักคนในเวลาที่เรา สับสน ท้อแท้ สิ้นหวัง เสียใจมากมายขนาดนี้  พี่มะลิรับสาย และบอกว่า พี่มะลิรู้เรื่องของเราหมดแล้ว และตอนนี้เขาอยู่ที่บ้านพี่มะลินี่เอง (ทันทีทีได้ยินว่า เขาอยู่ที่นั่น ใจฉันเต้นแรงอย่างระงับไม่อยู่ แม้แต่ชื่อของเขา ก็มีอิทธิพลกับจฉันมากมายขนาดนี้)

        พี่มะลิต่อด้วยการบรรยายถึงสภาพของเขานตอนนี้ดูอิดโรย ดวงตาแดงช้ำ หนวดเคราครึ้มเขียว เขามาหาพี่มะลิ...มาหาทำไม...เพื่ออะไร ...ในเมื่อทุกอย่าง เขาได้ตัดสินไปแล้ว...ด้วยตัวเขาเอง...				
8 กรกฎาคม 2550 13:39 น.

เรื่องจริงของฉันกับเขา (คนดีที่ไม่รัก...) ตอนที่ 4

เสราดารัล

เรานัดเจอกันในวันหยุดวันหนึ่ง ฉันเลือกที่จะทานมื้อกลางวันกับเขา มากกว่ามื้อเย็นที่อาจต่อเนื่องยาวนาน เพราะหนึ่งฉันยังไม่ได้รู้จักเขาดีพอ เขาก็แค่คนแปลกหน้าที่เราบังเอิญมารู้จักกัน และต้องการคบหากันต่อไป สองก็คือฉันยังไม่ได้รู้สึกพิเศษกับเขามากกว่าเพื่อนคนหนึ่ง...เพื่อน...เท่านั้นจริงๆ

      มื้อกลางวันอย่างง่ายๆของเรา จบลงในร้านที่ค่อนข้างสะอาด บรรยากาศ โล่ง โปร่งสบาย ฉันไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นเมื่อเจอเขา เราทักทายกันอย่างสนิทสนมเหมือนคุ้นเคยกันมานาน แปลก...ณ.วินาทีที่ฉันเห็นเขาครั้งแรก หัวใจฉันกลับเต้นในที่จังหวะปกติอย่างไม่น่าเชื่อ

      มีนัดทานข้าวกับหนุ่มซักคนที่เราไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน มันน่าจะรู้สึกตื่นเต้นมากกว่านี้ไม่ใช่หรือ อย่างน้อย..จังหวะการเต้นของหัวใจมันน่าจะถี่กว่านี้ การพูดคุยกันในระยะใกล้ชิด..มันน่าจะทำให้ฉันรู้สึกเก้อเขินอยู่บ้าง แต่นี่..
ไม่เลย...ฉันไม่ได้รู้สึกใดๆๆนอกจาก การที่ได้ทานข้าวกับเพื่อนคนนึง และ
พูดคุยในทุกเรื่องราวที่เราต่างสนใจ

      เราแยกจากกันหลังจากใช้เวลาในการเจอครั้งแรกใน 2 ชั่วโมงต่อมา...ไม่มีอะไรน่าประทับใจ ไม่มีอะไรพิเศษ นอกจากว่า ฉันมีเพื่อนเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน

      หลังจากนั้น เขายังคงโทรหาฉันสม่ำเสมอเช่นเคย เรามีนัดทานข้าวบ้าง ดูหนังบ้าง ตามเวลาและโอกาสที่เหมาะสม...เขาไม่เคยรุกคืบมากกว่านี้ จนฉันแปลกใจ และไม่แน่ใจว่า เขาต้องการคบกับฉันแบบใดกันแน่  ความที่ฉันเป็นคนที่ไม่เคยเก็บคำถามไว้ในใจโดยไม่รู้คำตอบได้เลย

       ในเย็นวันหนึ่ง ที่เขาโทรมาหาฉัน ฉันก็ได้ถามคำถามนั้นออกไป "คุณต้องการคบกับฉันแบบไหน ฉันจะได้วางตัวได้ถูก...ถ้าเป็นเพื่อน คุณก็ไม่จำเป็นต้องโทรหาฉันบ่อยๆๆแบบนี้ ฉันควรได้มีโอกาสได้ลองคบกับคนอื่นดูบ้าง แต่ถ้าคุณอยากคบฉันแบบคนรัก...ฉันก็จะรับไว้พิจารณา"

        ฉันรู้ คำถามแบบนี้ ผู้หญิงไม่ควรเป็นฝ่ายถาม แต่ฉันเป็นผู้หญิงที่ไม่เคยเห็นความต่างระหว่างเพศ ฉันคิดว่า ทำไมเราต้องเป็นฝ่ายรอ เพื่อให้ผู้ชายซักคนมาเลือก เราต่างหาก ที่ต้องเป็นฝ่ายเลือกผู้ชาย..ฉันให้เวลาเขาในการทำความรู้จักฉันระยะหนึ่งแล้ว และตอนนี้ เขาก็น่าจะมีคำตอบสำหรับฉันได้แล้ว..เช่นกัน

       เขาเงียบไปชั่วครู่ ฉันบอกเขาว่า คุณยังไม่จำเป็นต้องตอบตอนนี้ ฉันให้เวลาคุณได้คิดและตัดสินใจ...นับจากวันนี้ คุณไม่ต้องโทรหาฉัน เราไม่ต้องติดต่อกัน ให้ใจคุณนิ่งสักพัก แล้วคุณจะคิดได้เอง ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ ฉันจะยอมรับโดยดี เรายังคงเป็นเพื่อนกันได้ ถ้าคุณต้องการ

        เขาหายไปจากชีวิตฉัน 10 วันเต็มๆๆ แม้ใจจะบอกว่าไม่เคยมีความรู้สึกที่พิเศษให้เขาแต่อย่างใด แต่ฉันกลับพบว่า ช่วงเวลาที่เขาหายไปนั้น ฉันกลับรู้สึกกระวนกระวาย รุ่มร้อน และเฝ้ารอคอยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

        ฉันไม่เคยรู้เลยว่า เขาได้เข้ามาอยู่ในใจของฉันแล้ว โดยที่ฉันไม่รู้ตัว

        ฉันได้รับโทรศัพท์จากเขาในเย็นวันหนึ่ง เขาบอกว่า เขาพร้อมจะให้คำตอบฉันแล้ว....และเขาควรจะบอกคำตอบนี้ด้วยตัวเอง

        หัวใจฉันเต้นแรง นับตั้งแต่ได้ยินเสียงเขา ตลอดเวลาของการสนทนา (ปกติเขาจะใช้เวลาในการคุยโทรกะฉันครั้งละนานๆ แต่แปลกที่คราวนี้ เหมือนเราต่างจนด้วยคำพูด ฉันเอง ก็กระวนกระวายใจกับคำตอบของเขา จนไม่มีแก่ใจชวนคุย) ฉันไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน..กับเขา..

        เรานัดเจอกันในเย็นวันหนึ่ง...ที่ร้านอาหารเดิมที่เราเคยมาทานด้วยกันเป็นครั้งแรก...แม้ฉันจะเจอเขามาแล้วหลายครั้ง..แต่ครั้งนี้ กลับไม่เหมือนครั้งไหนๆๆ ฉันรู้สึกตื่นเต้น..กระวนกระวาย...ใช่ค่ะ..ฉันถึงกับนอนไม่หลับในคืนก่อนที่เราจะเจอกัน..คำตอบของเขาจะเป็นแบบใด..มันคุ้มค่ากับการรอคอยของฉันหรือไม่...ฉันจะได้รู้จากเขาพรุ่งนี้แล้วค่ะ				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเสราดารัล
Lovings  เสราดารัล เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเสราดารัล
Lovings  เสราดารัล เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเสราดารัล
Lovings  เสราดารัล เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงเสราดารัล