25 สิงหาคม 2550 20:50 น.
เสราดารัล
การใช้ชีวิตเพียงลำพังผู้เดียวในเมืองหลวงของฉันที่ทั้งชีวิตเป็นเด็กต่างจังหวัดมาโดยตลอดนั้น ถือเป็นการปรับตัวครั้งยิ่งใหญ่ของฉันเลยทีเดียว ไหนจะเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ และเรื่องหน้าที่การงาน...จากเด็กนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยที่มีหน้าที่รับผิดชอบเพียงแค่เรื่องเรียนอย่างเดียวเท่านั้น มาเป็นคนทำงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบหลากหลายยิ่งขึ้น...
อย่างไรก็ตามเพียงแค่ข้ามปี ด้วยความมานะอุตสาหะ มุ่งมั่น ขยัน และตั้งใจจริงของฉัน ฉันรวบรวมรายได้จากค่าคอมมิชชั่นที่ได้รับในแต่ละเดือน และเงินโบนัสก้อนโตในฐานะพนักงานดีเด่นที่ทำยอดขายอยู่ในระดับสูงทุกเดือนติดต่อกันซื้อรถยนต์ญี่ปุ่นมือ 2 สภาพดีเล็กๆ 1 คัน และเป็นเจ้าของคอนโดมิเนียมห้องเล็กๆ 1 ห้องด้วยเงินดาวน์ก้อนหนึ่ง..แม้ฉันจะได้มันมาด้วยระบบการผ่อนจ่าย แต่มันก็คือสมบัติชิ้นแรกที่ฉันหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง...ถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างที่สุดของฉัน
ถึงตอนนี้ ฉันไม่ได้เขียนจดหมายหาเขาอีกเลย นอกจากจดหมายฉบับสุดท้ายที่ฉันเขียนบอกเขาไปว่าฉันได้เข้ามาทำงานที่กรุงเทพแล้ว และได้ทำงานที่ไหน อย่างไรบ้าง ด้วยหน้าที่การงาน ทำให้ฉันไม่มีเวลาว่างมากพอที่จะส่งข่าวคราวถึงเขาได้บ่อยเหมือนเมื่อสมัยเรียน...
แต่วันหนึ่ง ในช่วงปีที่ 2 ของการทำงาน ฉันได้รับโทรศัพท์จากเสียงที่คุ้นใจของฉันมาเนิ่นนาน..เขาโทรมา...เขาบอกว่า เขามาสัมมนาที่กรุงเทพ..เขาอยากมาทานอาหารเย็นกับฉัน ไม่ต้องบอกคุณก็คงรู้ว่า คำตอบของฉันจะเป็นอย่างไร..ใช่ค่ะ ฉันรีบตอบรับแทบจะทันทีที่เขาพูดจบประโยค ราวกับกลัวว่าเขาจะเปลี่ยนใจ
เมื่อเราเจอกันในครั้งนี้...ฉันรู้สึกมั่นใจในตัวเองขึ้นมาเป็นอย่างมาก ฉันรู้สึกว่าในตอนนี้ ฉันกับเขาแทบจะไม่แตกต่างกัน ฉันเป็นคนวัยทำงานเช่นเดียวกับเขา ฉันมีพร้อมแล้วทุกอย่าง ตามความต้องการพื้นฐานที่คนทั่วๆไป อยากจะได้อยากจะมี ฉันมีหน้าที่การงานที่มั่นคง มีบ้าน มีรถ มีรายได้เพียงพอที่จะดูแลตัวเองได้อย่างสบายๆ...ฉันมีคุณสมบัติเพียงพอที่..ถ้าเขาเพียงแต่จะหันมามองฉัน...
เราพูดคุยกันในเรื่องทั่วๆไป..แปลก..ที่แม้ว่าเราจะไม่เจอกันนานแค่ไหน อย่างไร แต่เมื่อเวลาที่เราได้มาเจอกันทุกครั้ง เราก็สามารถพูดคุยกันได้อย่างไม่ขัดเขิน ไม่ประหม่า การพูดคุยรื่นไหล ต่อเนื่อง ราวกับเราได้เจอกันทุกวัน
เขาลาจากฉันหลังสิ้นสุดอาหารค่ำมื้อนั้น...แม้จะอาลัยอาวรณ์แค่ไหน..แต่ฉันก็ต้องยอมรับความเป็นจริงอยู่ดี
หลังจากนั้นราว 1 สัปดาห์ แม่โทรหาฉันด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ร้อนรนว่า ฉันทราบข่าวหรือยังว่า เขากำลังจะแต่งงานเดือนหน้านี้แล้ว.......หลังจากประโยคนี้ของแม่แล้ว ฉันแทบไม่ได้ยินประโยคอื่นต่อจากนั้นอีก..ฉันหูอื้อ ตาลาย ใจสั่นหวิวๆ ..ฉันอึ้งไปชั่วครู่..หลังจากตั้งสติได้ ฉันถามแม่ว่า แม่รู้ได้อย่างไร แม่บอกว่าแม่ได้รับการ์ดแต่งงานเขา จากแม่ของเขาเอง แล้วฉันก็ถามคำถามแม่อีกด้วยคำถามที่ฉันมาคิดได้ในภายหลังว่า มันช่างเป็นคำถามที่โง่เง่าที่สุดว่า..แม่อ่านดีหรือเปล่า อาจจะเป็นพี่สาวเขานะ ที่แต่งงานน่ะ...แม่ย้ำว่า แม่อ่านไม่ผิด เพื่อยืนยัน แม่อ่านให้ฉันฟังช้าๆชัดๆอีกครั้ง ...เสียงของแม่ เหมือนมีดกรีดหัวใจฉันอย่างช้าๆ กว่าที่แม่จะอ่านจบ ฉันรู้สึกว่าหัวใจของฉันมันฉีกขาดด้วยคมมีดนั้นอย่างไม่มีชิ้นดี....
มันจบลงแล้ว มันสิ้นสุดแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง...ความหวัง ความฝันในชีวิตของฉันมันได้สิ้นสุดลงแล้วนับแต่วันนี้..เขาได้ทำลายหัวใจดวงน้อย ของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่มีเขาเป็นฮีโร่ในดวงใจมาตั้งแต่วัยเยาว์...เขาผู้ซึ่งเป็นหลักยึดในหัวใจ เป็นแรงใจใฝ่ดีที่ทำให้เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง มีความฝัน มีความมุ่งมั่นที่จะทำทุกอย่างให้สำเร็จ ในวัยเรียน ฉันเป็นเด็กเรียนดี เพราะมีเขาเป็นแรงใจ อยากให้เขามองฉันด้วยสายตาภาคภูมิ เมื่อทำงาน ฉันเป็นพนักงานดีเด่น เพราะอยากให้เขาภูมิใจในตัวฉันว่าเด็กคนนี้ ก็มีดีไม่แพ้ใคร...ฉันทำทุกอย่างเพื่อเขา...ฉันกล้าบอกได้อย่างไม่อายใครเลยว่า เด็กบ้านแตกอย่างฉัน ได้ดีอย่างทุกวันนี้ เพราะมีเขาเป็นแรงใจ เป็นหลักชัยที่ใช้เป็นที่ยึดเหนี่ยวอยู่เสมอ
เขาเป็นผู้ชายคนแรก ที่ให้ความรัก ความอบอุ่นกับฉันเสมอมา ตลอดเวลาที่เรารู้จักกัน เขาเป็นผู้ให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันต้องการ..เขาเป็นผู้เสียสละ...เขาเป็นพี่ชายใจดี ที่เข้าใจอารมณ์ ความรู้สึกของเด็กผู้หญิงที่ขาดความอบอุ่นคนนี้ได้เป็นอย่างดี..ชีวิตของฉัน ไม่เคยมีสายตาไว้มองผู้ชายคนไหน ไม่มีหัวใจที่จะมอบให้ใครได้อีกแล้ว นอกจากเขาคนเดียวเท่านั้น
แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ มันคืออะไร...ยิ่งนึกถึงช่วงท้ายของการพูดคุยก่อนที่เราจะแยกจากกัน เขาถามว่า ฉันมีแฟนหรือยัง...ฉันเลี่ยงที่จะไม่ตอบ เขาถามฉันถึง 3 ครั้ง จนฉันต้องตอบคำถามของเขา ทั้งที่ฉันไม่อยากตอบ ด้วยการย้อนถามเขาไปว่า เขาคิดว่าฉันจะรักใครได้อีกหรือ...เขานิ่งไป..ฉันถามเขาต่อว่า แล้วเขาล่ะ มีแฟนหรือยัง..เขาตอบฉันอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า..เขาไม่มี..เขาทำแต่งานโดยไม่ได้สนใจใครเป็นพิเศษ...เขาตอบฉันอย่างนี้ได้อย่างไร..ในเมื่อเดือนหน้านี้แล้ว ที่เขาจะแต่งงาน...มันเป็นไปได้อย่างไรกัน
ฉันรำพันกับแม่ว่า ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะอาทิตย์ที่แล้ว เขายังมาหาฉัน เรายังได้นั่งทานข้าวด้วยกัน และเขาก็บอกว่า เขาไม่มีแฟน..ไม่น่าเชื่อ..มันจะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ได้อย่างไร...ฉันเฝ้าคิดทบทวนไปมา..จนเมื่อตั้งสติได้ และเริ่มยอมรับว่ามันเป็นเรื่องจริง ฉันร้องไห้โฮอย่างไม่อายใคร...เสียงร้องไห้ของฉันที่ดังต่อเนื่องยาวนานขนาดนี้ มันคงบาดหัวใจของแม่ฉันพอสมควร แม่ปลอบใจฉันว่า ร้องเถอะลูก ร้องให้พอ..เราร้องไห้เสียน้ำตาไปเท่าไรในวันนี้ ขอให้น้ำตาที่เสียไปให้บทเรียนกับเรา...วันนี้เขาทำให้เราเสียใจ..แต่วันนึง เราจะต้องทำให้เขาเสียดาย...นี่คือแม่..ผู้หญิงแกร่งของฉัน
ในตอนหน้าค่ะ ฉันจะบอก..ว่าทำไม แม่ฉันถึงพูดประโยคนี้
23 สิงหาคม 2550 11:23 น.
เสราดารัล
ไม่มีสัญญาณใดๆบ่งบอกเลยว่า ความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่ จะเปลี่ยนแปลงไป เขายังปฏิบัติตัวต่อฉันอย่างสม่ำเสมอ....จนกระทั่ง
เทอมสุดท้ายที่เขาใกล้จบการศึกษา เสียงของเขาที่ผ่านมาตามสายโทรศัพท์ทุกวันๆ เริ่มหายไป การมาหาฉันที่หอพักในมหาวิทยาลัยทุกสุดสัปดาห์ก็หายไปเช่นกัน คราวนี้ เป็นฝ่ายฉัน ที่ต้องคอยโทรหาเขา...ฉันถามเขาถึงเหตุผลในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เขาบอกสั้นๆ เพียงว่า เขาต้องเรียนจบภายในปีนี้ และกำลังยุ่งๆกับเรื่องขอจบการศึกษา ขอให้ฉันเข้าใจเขา...
ฉันเชื่อในคำพูดของเขา ตั้งแต่คบกันมา เขาไม่เคยโกหกฉัน คำพูดของเขาจึงเชื่อถือได้เสมอ...แม้จะทำใจเชื่อถือเหตุผลความจำเป็นของเขาอย่างไร ฉันก็อดน้อยใจไม่ได้ทุกที ฉันไม่เคยชินกับการเปลี่ยนแปลงนี้ ตั้งแต่ที่เริ่มคบหากัน ฉันมีเขาเคียงข้างเสมอมา..วันนี้ เมื่อเขาเปลี่ยนไป หัวใจของฉันจึงรู้สึกอ้างว้าง หวั่นไหวเสียเหลือเกิน
หลังจากที่เขาจบการศึกษา เขาก็ไม่ติดต่อฉันมาอีกเลย เขาหายไปโดยไม่ได้บอกลาฉันเสียด้วยซ้ำ ช่วงปิดเทอม ฉันกลับไปบ้าน แม่ฉันบอกว่า เขาเรียนจบแล้ว และตอนนี้เข้าทำงานเป็นพนักงานธนาคารในสาขาจังหวัดบ้านเกิดของเรานี่เอง....ก็เพียงเท่านี้กับข่าวคราวของเขาที่ฉันได้รับรู้ (คุณคงเข้าใจ ในสังคมต่างจังหวัด ใครทำอะไรที่ไหนอย่างไร เป็นเรื่องที่คนในชุมชนรับรู้กันได้ทั้งนั้น)
เมื่อไม่มีเขา การเรียนตามลำพังที่นี่จึงไม่มีประโยชน์กับฉันอีก กอรปกับฉันต้องการเรียนในคณะที่ฉันต้องการจริงๆที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ฉันจึงเอนทรานซ์อีกครั้ง ฉันยังโชคดีอีกเหมือนเคยที่เอนทรานซ์ติดในคณะที่ต้องการ ฉันยอมเสียเวลาเรียนไป 1 ปี เพื่อได้เรียนคณะนี้ และหลีกหนีความทรงจำเก่าๆที่คอยทำร้ายฉันเสมอมา การกลับมาเชียงใหม่ในครั้งนี้ ฉันกลับมาในสภาพนกปีกหัก ต้องกลับมาตายรังที่ตัวเองมั่นใจว่าเป็นเกราะป้องกันภัยแก่ฉันได้ ความรักความอบอุ่นของเพื่อนๆ ทำให้ฉันคลายโศกเศร้าไปได้พอสมควร
ฉันตั้งใจเรียนอย่างจริงจัง เพื่อชดเชยกับเวลาที่เสียไป 1 ปี ที่สุดฉันก็ทำสำเร็จ ฉันสามารถเรียนจบภายในเวลา 3 ปีครึ่ง
ฉํนยังคงคิดถึงเขาอยู่เสมอ ฉันเขียนจดหมายบอกเล่าเรื่องราวคราวเคลื่อไหวของฉัน ให้เขาทราบอยู่เนื่องๆๆ....ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเขา ไม่มีจดหมายตอบจากลายมือที่คุ้นตาของเขา ไม่มี แม้แต่เสียงของเขาที่คุ้นใจผ่านมาสายโทรศัพท์....เขาเงียบหายไป ราวกับไม่มีตัวตนบนโลกใบนี้
ฉันอยุ่อย่างเดียวดาย ไร้ความหวัง แต่เหมือนว่าเบื้องบนจะเห็นใจในความรักของฉัน เพราะขณะที่ฉันเรียน ปี2 ฉันได้รับโทรเลขจากเขา บอกมาว่า เขาจะมาหาฉันที่เชียงใหม่....ไม่ต้องบอกคุณๆคงรู้ว่าฉันจะรู้สึกตื่นเต้น ดีใจแค่ไหน ฉันเพียรอ่านข้อความเพียงไม่กี่คำบนโทรเลขฉบับนั้น ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อให้ตัวเองแน่ใจว่า นี่คือ ความจริง ฉันไม่ได้ฝันไป มือที่สั่นเทาของฉันยึดจับโทรเลขฉบับนั้นเสียแน่นหนาราวกับกลัวว่ามันจะหายวับไปกับตาอย่างนั้น
เขาจะรู้ไหมว่า แค่ข้อความไม่กี่คำของเขานั้น มันสามารถชุบซากต้นไม้ที่แห้งตายแล้วอย่างฉันให้กลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง ช่วงเวลาของการรอคอย ที่ใครหลายคนเบื่อหน่าย หากแต่ฉันกลับรู้สึกมีความสุขอย่างไม่น่าเชื่อ...ใครบางคนบอกว่า ความหวัง คือ กำลังใจ ฉันเพิ่งเข้าใจความหมายของมันตอนนี้นี่เอง
แล้วเราก็ได้เจอกัน...เขาดูเปลี่ยนไปจากเดิม ภาพหนุ่มน้อยหน้าใส ผมยาวสลวยปรกคอ ใส่เสื้อเชิ้ต กางเกนยีนส์เก่าๆ และรองเท้าผ้าใบเท่ห์ๆหายไป ภาพที่ปรากฎตรงหน้าฉันตอนนี้ คือผู้ชายใส่เสื้อยืดโปโลสีสดใส กางเกงสแลค และรองเท้าคัตชู...ท่วงท่ายังสง่างามเหมือนเดิม..สิ่งที่ฉันพบ นอกจากเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแล้ว...เขาเงียบขรึมมากยิ่งขึ้น ความ
ขี้เล่นน้อยลง คงเพราะชีวิตเขาเปลี่ยนไป จากวัยเรียน เป็นวัยทำงาน ในขณะที่เขาบอกว่า ฉันยังคงความร่าเริง ช่างพูดเหมือนเคย ฉันเริ่มรู้สึกถึงความต่าง และความห่างของเรา..แต่ช่างเถอะ...อะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ฉันไม่สนหรอก เพราะขณะนี้ เขาอยู่กับฉันแล้ว
เขาบอกว่า เขาจะบวชเดือนหน้า เลยขอมาเที่ยวพักผ่อนให้เต็มที่ก่อน เขาลางานมา 1 อาทิตย์เต็มๆ ฉันพาเขาไปเที่ยวหลายที่ หลายจังหวัดในภาคเหนือ ดูเขามีความสุข ร่าเริงมากกว่าวันแรกๆที่ฉันพบเขา ความเป็นตัวของตัวเองของเขากลับมาอีกครั้ง เขายังเป็นพี่ชายคนดีที่ฉันรู้จัก ความอาทร อ่อนโยนที่เขามีต่อฉันไม่ได้จางหายไปเลย..ฉันหลีกเลี่ยงที่จะไม่ถามเขาถึงสาเหตุที่เขาหายไป ฉันอยากให้เขาสบายใจที่สุด และมีความสุขมากที่สุดตลอดเวลาที่อยู่กับฉัน ส่วนฉัน ก็ขอเก็บเกี่ยวภาพความสุข ความทรงจำที่มีร่วมกับเขาให้มากที่สุดเช่นกัน
เวลาแห่งความสุขของฉัน ช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน ในที่สุด ก็ครบกำหนดที่เขาต้องเดินทางกลับ...ไม่มีคำสัญญา ไม่มีคำปลอบใจใดๆจากเขา ในวันที่ฉันอาลัยอาวรณ์กับการจากไปของเขา...ฉันเองก็ไม่คาดคั้นให้เขาสัญญาใดๆทั้งสิ้น...ฉันรู้ว่า ฉันมีชีวิตอยู่เพื่อวันนี้เท่านั้น
แล้วก็จริงอย่างที่ฉันคิด ตั้งแต่ลาจากกัน เขาก็หายไปเหมือนเช่นเคย จนกระทั่งฉันจบการศึกษา ฉันมาได้งานทำที่กรุงเทพ เป็นพนักงานฝ่ายโฆษณา ในหนังสือพิมพ์หัวสีฉบับหนึ่งของเมืองไทย
ฉันยังคงเขียนจดหมายถึงเขา...เช่นเดียวกับที่เขา ก็ไม่เคยติดต่อฉันมาเช่นเคย คุณคงแปลกใจ ทำไมฉันจึงไม่ลืมเขา ทำไมฉันยังเพียรทำอย่างสม่ำเสมอทั้งที่ไม่ได้รับการตอบรับ...ถ้าคุณรักใครซักคนอย่างจริงจัง...คุณจะรู้คำตอบค่ะ ว่า เพราะอะไร....
21 สิงหาคม 2550 22:27 น.
เสราดารัล
สำหรับเขา....ฉันวางเขาไว้อยู่เหนือใครๆทั้งปวง เขาไม่ใช่แค่คนรักเก่า หากแต่เขาเป็นมากกว่านั้น เขาเป็นทุกสิ่งอย่างในชีวิตฉัน เป็นความหวัง กำลังใจ เขาเป็นคนเดียวที่ฉันอยากเห็นสายตาที่ทอดมองมายังฉันด้วยความรัก และความภาคภูมิ เขาเป็นคนเดียวที่ทำให้ชีวิตฉันมีความหมาย
เขาผู้ที่ทำให้การเป็นโรงเรียนของเด็กหญิงคนหนึ่ง มีความหมาย ทุกเช้าในรถโดยสารประจำทาง บ้านฉันอยู่ต้นสาย ฉันจึงสามารถเลือกที่นั่งตามใจชอบ และแน่นอนที่สุด ฉันจะเลือกที่นั่งริมสุด เพื่อคอยถือกระเป๋านักเรียนให้พี่ชายใจดี ท่วงท่าสง่างาม และรอยยิ้มที่เป็นมิตรที่มักขึ้นระหว่างทาง...เหมือนเขาเองก็เต็มใจให้ฉันถือกระเป๋าให้ เขามักจะมายืนใกล้ๆที่ฉันนั่งเสมอ...มีนักเรียนหญิงทั้งรุ่นพี่ และรุ่นเดียวกับฉัน คอยที่จะถือกระเป๋าให้เขาเช่นกัน ...แต่..ฉันกลับได้รับสิทธิ์นั้นเพียงคนเดียว
เขาเป็นผู้ชายคนแรกที่ทำให้ฉันรู้สึกปลื้ม อยากพบ อยากเจอ ไม่ใช่เพราะเขาเป็นดาวโรงเรียนที่ทั้งเรียนเก่ง รูปหล่อ เป็นนักกิจกรรมตัวยง และนักกีฬาหลายประเภท...เป็นคนดังชนิดที่ว่าไม่มีใครในโรงเรียนที่ไม่รู้จักเขา..แต่ฉันมองเห็นผู้ชายคนนี้มากกว่านั้น ฉันมองเห็นผู้ชายขี้อาย พูดน้อย
เคร่งขรึม ไม่เคยเห่อเหิมกับชื่อเสียงและคุณสมบัติที่ตัวเองมี ไม่เคยหว่านเสน่ห์กับสาวๆ (ทั้งๆที่สาวๆอยากให้เค้าทำมากแค่ไหนก็ตาม)
ฉันแอบปลื้มเขาอย่างเงียบๆ และถือกระเป๋าให้เขานานนับปี โดยไม่เคยได้พูดกันซักคำ แม้ว่า เขาจะเคยตามเพื่อนเขามา ลองชิมขนมที่ฉันทำในชั่วโมงคหกรรม...ฉันก็แค่ส่งขนมให้เค้า เค้ายิ้มรับ ไม่กล้าแม้แต่จะถามเค้าว่ารสชาติเป็นยังไง อร่อยมั้ย...เฮ้อ....
จนกระทั่งฉันเรียนจบมัธยมต้น และเขาเองก็จบชั้นมัธยมปลาย เขาไปเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพ ส่วนฉันไปเรียนต่อม.ปลาย ที่โรงเรียนประจำจังหวัดเชียงใหม่....เหมือนเส้นชีวิตของเขากับฉันจะขนานกันอย่างสิ้นเชิง
วันนึง ช่วงปิดเทอม ม.5 ฉันได้กลับมาเยี่ยมบ้าน ขณะที่นั่งเล่นอยู่ในบ้าน ฉันมองเห็นเขาขับรถผ่านหน้าบ้านฉัน...เร็วเท่าความคิด ฉันวิ่งถลันไปหน้าบ้านตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้...ได้แต่ชะเง้อมองรถเขาที่แล่นผ่านไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ เขาคงเห็นฉัน..เขาเลี้ยวรถกลับมาหา ณ.จุดที่ฉันยืนอยู่...ไม่รู้ทำไม ครั้งนี้ ฉันถึงกล้าคุยกับเขา...เป็นฉัน..ที่ทักเขาก่อน (อาจเป็นเพราะฉันรู้ว่า นี่เป็นโอกาสเดียวที่ฉันมี หรือเพราะฉันโตขึ้น ฉันถึงกล้าที่จะทำตามใจของตัวเองมากขึ้น) เราคุยกันได้ซักพัก แล้วเราก็แลกที่อยู่พร้อมเบอร์โทรกัน..เชียงใหม่-กรุงเทพ ไกลกันเหลือเกินในความคิดของฉัน...แต่ใครจะสนล่ะ ในเมื่อผู้ชายในฝันของฉัน กำลังยืนพูดคุยกับฉันแบบตัวเป็นๆๆต่อหน้าฉันขนาดนี้...4 ปีที่ใกล้ แต่ฉันกลับไม่เคยมีแม้แต่โอกาสที่ได้พูดกับเขา หากแต่กลับกลายเป็นว่า เมื่ออยู่ไกลกันอย่างนี้..แรงผลักของอะไรบางอย่างทำให้เรากล้าที่จะทำความรู้จักกันอย่างจริงจัง
ไม่นานหลังจากนั้น ฉันได้รับโทรเลขจากเขา (ปีพ.ศ.2529 ยังไม่มีเพจเจอร์ และโทรมือถือ การติดต่อที่เร็วที่สุด คือโทรเลข โทรศัพท์) เขาบอกว่า จะขึ้นมาหาฉันที่เชียงใหม่...ไม่ต้องบอก คุณๆก็คงพอรู้นะคะ ว่าฉันตื่นเต้น ดีใจแค่ไหน ฉันเฝ้ารอคอยวันที่เขาจะมาหาด้วยใจจดจ่อ..เขามาตามนัดหมาย และอยู่รอจนฉันสอบเสร็จ เราจึงกลับบ้านที่ต่างจังหวัดพร้อมกัน
เขามาหาฉันที่เชียงใหม่ ทุกๆปิดเทอม เราติดต่อกันอย่างสม่ำเสมอ ทั้งทางโทรศัพท์และจดหมาย ฉันโชคดีที่ฉันได้รู้จักผู้ชายคนนี้ เขาเป็นผู้ชายที่ดี อบอุ่น เอาใจใส่ ห่วงใย จริงใจ และหวังดีกับฉันเสมอมา
จำได้มีอยู่ครั้งนึง เรา 2 คนมีเงินกัน 100 กว่าบาท แต่เราต้องนั่งรถกลับบ้านต่างจังหวัดด้วยกันในวันนี้ ฉันเกิดอยากทานอาหารขึ้นมา เขาเสียสละให้ฉันได้ทาน โดยที่ตัวเขาไม่ทาน เงินที่เราพอมีที่จะขึ้นรถทัวร์ได้ ก็เหลือเพียงแค่ขึ้นรถบัสสีส้ม ไม่มีแอร์ มีแต่พัดลมเก่าๆโบกไปมา พอให้หายร้อน
เขาผ่าตัดไส้ติ่งกระทันหัน หมอให้เค้าบอกชื่อญาติที่จะติดต่อได้ แทนที่เขาจะให้ชื่อพ่อแม่พี่น้องเขา แต่..ฉันกลับเป็นคนแรกที่ฉันนึกถึง....ทางโรงพยาบาลโทรทางไกลมาหาฉันที่เชียงใหม่ บอกว่าเขาผ่าตัดไส้ติ่งด่วน ให้มาเยี่ยม ด้วยความที่ฉันเป็นคนรักเรียน ทางโรงพยาบาลโทรมาวันพุธ ฉันไม่อยากขาดเรียน ฉันจึงนั่งรถมาหาเขาในคืนวันศุกร์ มาถึงที่โรงพยาบาล พ่อแม่และพี่ๆเขาอยู่กันพร้อมหน้าแล้ว..ฉันคงไม่มีความจำเป็นต่อไปอีก ...ฉันจึงบอกเขาว่าจะไปพักกับเพื่อนแถวบางกะปิ เขาบอกว่า ไปก่อน แล้วเขาจะตามไป ฉันไม่คิดว่าเขาพูดจริง เพราะเขาเพิ่งผ่าตัด แผลยังไม่แห้ง ยังไม่ได้ตัดไหม คิดเพียงว่า เขาพูดเพื่อปลอบใจฉัน
วันรุ่งขึ้น ฉันเห็นเขาปรากฎตัวที่หอพักเพื่อนฉันจริงๆ ดวงหน้า
ซีดเซียวของเขา แม้จะพยายามฝืนยิ้มอย่างไร ก็ไม่สามารถปกปิดร่องรอยความเจ็บปวดจากบาดแผลผ่าตัดได้ ฉันถามว่าเขามาได้อย่างไร เขาบอก หนีมา แต่เขียนจดหมายบอกญาติๆที่เฝ้าที่โรงพยาบาลแล้ว ฉันบอก แล้วมาทำไม ทำไมไม่รอให้แผลหายดี ไม่รอตัดไหมก่อน เขาบอกว่า เขาเป็นห่วงฉัน ไม่รู้ว่าฉันมาอยู่ที่นี่จะเป็นอย่างไร....นี่คือเขา..คุณคงไม่แปลกใจนะคะ ทำไมฉันถึงรักเขาเหลือเกิน
กระทั่งฉันเรียนจบ ม.6 ฉันเลือกมหาวิทยาลัยในกรุงเทพทั้งหมด เพื่อที่จะได้อยู่ใกล้เขา โชคดีฉันเอ็นทรานซ์ติด ได้ไปเรียนที่ทับแก้ว...เขายัง
ปฎิบัติตัวสม่ำเสมอเช่นเคยในช่วงปีแรกที่ฉันเรียนที่นั่น...ฉันเรียนปี1. แต่เขากำลังเรียนจบในปีนั้นเช่นกัน....
แล้วฉันก็ได้พบสิ่งที่ฉันไม่เคยคาดคิดมาก่อน ตลอดเวลาที่คบหากับเขา...ในปีที่เขาจบการศึกษานั่นเอง
27 กรกฎาคม 2550 09:48 น.
เสราดารัล
ที่สุด ฉันก็ตอบคุณพ่อไปว่า ฉันขอไปเรียนปรึกษาคุณแม่ฉันก่อน ซึ่งฉันคิดว่าเป็นคำตอบที่ดีที่สุดในขณะนั้น
ฉันเล่าเรื่องในเย็นนั้นให้แม่ฟัง แม่ถามฉันว่า รักเขาหรือเปล่า.....คำถามของแม่ ทำให้ฉันต้องนิ่งคิดไปชั่วครู่....จริงซิ ฉันรักเขาหรือเปล่า...ฉันไม่รู้....แต่ที่มั่นใจอย่างที่สุด คือเขารักฉัน...ฉันตอบแม่ไปว่า...ฉันเคยผิดหวัง เสียใจกับคนที่ฉันรักมามากแล้ว จะเป็นไรไปถ้าฉันจะขอเลือกคนที่เขารักฉันบ้าง....(ฉันอาจเป็นคนที่เห็นแก่ตัวเกินไป แต่ฉันเหนื่อยเหลือเกินกับความรักครั้งก่อนๆ ความรักที่ไม่ลงตัว ความเพียรพยายามที่จะทำให้ความรักราบรื่น และฉันก็ค้นพบว่า มีแต่ฉันฝ่ายเดียวต่างหากที่ได้พยายาม)
ที่สำคัญที่สุด ฉันรู้ว่าเขาเป็นคนดี ผู้หญิงเรา คงไม่ต้องการอะไรมากไปกว่า คนดีที่รักเราจริงหรอกนะคะ....
แล้วงานแต่งงานของเราก็ถูกจัดขึ้น ท่ามกลางความยินดีของครอบครัว พ่อแม่ พี่น้อง ญาติสนิทมิตรสหายทุกท่าน
พิธีแต่งงาน เรากลับไปจัดที่จังหวัดบ้านเกิดของฉัน พิธีเช้า มีท่านผู้ว่าราชการจังหวัด และท่านเจ้ากรมทหารให้เกียรติมาสวมมงคลสมรส....เพื่อนของเขาที่เป็นนักบิน ขับเครื่องบินมาวนรอบบริเวณงานเพื่อโปรยข้าวตอกดอกไม้ให้เป็นสิริมงคลแก่งาน
พิธีลอดซุ้มกระบี่ในงานเลี้ยงช่วงค่ำ (ซึ่งถือเป็นพิธีที่มีเกียรติอย่างสูงสุดที่นายทหารตำรวจสัญญาบัตรทุกคนมอบให้เจ้าสาวในวันวิวาห์ เป็นการแสดงการยอมรับ เธอผู้นั้นให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต) ยิ่งใหญ่สมเกียรติสามารถสะกดสายตาทุกคู่ของแขกที่มาร่วมงาน พร้อมเสียงปรบมือที่กึกก้องยาวนาน จนเป็นที่กล่าวขานมาถึงวันนี้....
เราเริ่มต้นชีวิตคู่ของเรา โดยการซื้อทาวเฮาส์เล็กๆแถบชานเมือง ฉันต้องย้ายออกจากคอนโดในเมืองที่ฉันซื้อไว้มาอยู่กับเขาที่บ้านของเรา.....
เนื่องจากเราเลือกซื้อบ้านอยู่ใกล้ที่ทำงานเขา แต่ไกลที่ทำงานฉัน ฉันจะต้องตื่นเช้ามาก เพื่อให้ทันมาทำงาน เมื่อฉันตื่น เขาก็ตื่นพร้อมฉัน เช็ครถ ชงกาแฟและคอยเปิดประตูหน้าบ้านให้ฉัน เขาทำแบบนี้ทุกเช้า ทั้งๆที่เขาไม่จำเป็นต้องตื่นเช้าขนาดนั้น และทั้งที่ฉันไม่เคยร้องขอ แต่เขาก็ทำ...เพื่อฉัน
แต่ถึงแม้เขาจะแสดงออกถึงความรัก และการดูแลเอาใจใส่ฉันอย่างดีแค่ไหน ฉันกลับพบว่า ระหว่างเรามีช่องว่าง...
ช่วงแรกของการอยู่ร่วมกัน เราต้องใช้เวลาในการปรับตัวค่อนข้างมาก เรามักคิดเห็นไม่เหมือนกัน พูดสื่อสารทำความเข้าใจผิดพลาดอยู่บ่อยครั้ง ฉันแอบท้อ..และร้องไห้..ฉันให้กำลังใจตัวเองว่า มันเป็นเรื่องปกติ ของคน 2 คนที่มีที่มาต่างกัน ถูกอบรมเลี้ยงดูต่างกัน เมื่อต้องมาอยู่ร่วมกัน มันย่อมมีปัญหา หรือความขัดแย้งเกิดขึ้นบ้าง...โชคดีที่เรา 2 คนมองเห็นปัญหา และพยายามหาทางแก้ไข
การคุยแบบเปิดใจของเราก็เกิดขึ้น....เราพูดคุยทำความเข้าใจกันอย่าง
ลึกซึ้ง เราช่วยกันแจกแจงในสิ่งที่เราชอบ หรือเราไม่ชอบ...ฉันเป็นแบบนี้ เขาเป็นแบบนี้...เราสัญญากันว่า เราจะก้าวข้ามผ่านมันไปให้ได้...เราจะหลีกเลี่ยงการกระทำ คำพูดที่อีกฝ่ายไม่ชอบ..และเราจะสร้างครอบครัวของเราให้แข็งแรง มีความสุขต่อไป
เมื่อเราผ่านพ้นช่วงเวลาของการปรับตัว..เราต่างสามารถยอมรับกันและกันได้มากขึ้น รู้สึกใกล้ชิดผูกพันกันยิ่งขึ้น...เราเริ่มรู้สึกว่า....จะดีกว่านี้มั้ย ถ้าจะมีสมาชิกใหม่เพิ่มเข้ามาในบ้าน...เป็นสมาชิกที่มาจากเลือดเนื้อเชื้อไขของเรา...เป็นคนที่เราทั้งคู่จะรักและดูแลเขาไปตลอดชีวิตด้วยความเต็มใจ....
เราทั้งคู่ พร้อมจะรับเขามาอยู่กับเราแล้วค่ะ
16 กรกฎาคม 2550 21:55 น.
เสราดารัล
พี่มะลิบอกฉันว่า เขาต้องการพูดสายกับฉัน ฉันตอบพี่มะลิไปอย่างไม่ต้องคิดเลยว่า ฉันไม่พร้อมจะพูดกับเขา ไม่อยากได้ยินเสียงเขา..แม้แต่แค่ทักทาย..ฉันเจ็บปวดเกินไปที่จะทำอย่างนั้น
พี่มะลิไม่คาดคั้นให้ฉันทำในสิ่งที่ฉันไม่ต้องการ ก่อนวางสาย พี่มะลิทิ้งท้ายไว้ว่า เขามีเรื่องสำคัญที่อยากจะบอกกับฉันด้วยตัวเอง เขาอยากปรับความเข้าใจกับฉันอีกซักครั้ง...ฉันควรที่จะลองเปิดใจฟังเขา...บางทีสิ่งที่ฉันคิดมันอาจจะไม่ใช่...เมื่อได้ฟังเขาแล้ว ฉันจะตัดสินใจอย่างไร..ก็สุดแล้วแต่....
ฉันขอบคุณในความหวังดีของพี่มะลิ และบอกว่าฉันจะเก็บสิ่งที่พี่มะลิพูดกลับไปทบทวน...แต่คงจะไม่ใช่ตอนนี้...ตอนที่ฉันรู้สึกผิดหวัง ท้อแท้อย่างเหลือเกิน..
หลังจากนั้น 3 วัน พี่เอโทรมาหาฉัน (พี่เอ เป็นพี่ชายที่ฉันรักและเคารพมาก เราเคยเรียนโรงเรียนเดียวกัน ฉันรู้จักพี่เอตั้งแต่ยังเรียนในชั้นมัธยมต้น ช่างบังเอิญอย่างเหลือเชื่อ ที่พี่เอเป็นญาติสนิทของเขา) พี่เอเล่าว่า เพิ่งรู้ว่าฉันรู้จักคบหากับน้องชายของเขา และขณะนี้มีปัญหากันอยู่ พี่เอขอร้องให้ฉันได้เปิดโอกาสให้น้องชายเขาได้พูด ปรับความเข้าใจกัน ฉันให้คำตอบพี่เอ เหมือนที่พูดกับพี่มะลิ..ฉันยังไม่พร้อมจะคุยกับเขาตอนนี้...พี่เอเข้าใจสภาพจิตใจฉันเป็นอย่างดี...และได้ขอร้องว่า...ถ้าฉันยังไม่พร้อมคุยตอนนี้ ก็ไม่เป็นไร...แต่อย่าเพิ่งตัดขาดจากน้องชายเขา...เมื่อฉันรู้สึกดีขึ้นกว่านี้แล้ว...ก็ควรได้คุยกัน
เย็นวันนั้น เขาส่ง sms.มาหาฉัน ด้วยข้อความว่า."ผมมีความในใจอยากบอกกับคุณ..ผมรู้ใจตัวเองแล้วว่าผมรู้สึกกับคุณอย่างไร...นักเรียนสอบตก ยังมีโอกาสสอบใหม่เพื่อแก้ตัว...ผมขอโอกาสนั้นบ้างได้ไหม"
ฉันตัดสินใจได้แล้วว่า ฉันไม่ควรวิ่งหนีปัญหา และขลาดกลัวกับการเผชิญหน้ากับความจริง..โดยวิสัยฉันแล้ว..ฉันไม่เคยเป็นแบบนี้...ทุกปัญหาที่เจอ..เคยทำให้ฉันรู้สึกท้าทาย...และภาคภูมิทุกครั้ง เมื่อแก้ปัญหาต่างๆเหล่านั้น ให้สำเร็จลุล่วงไปได้..แต่..อนิจจา...กับแค่ปัญหาหัวใจ..ทำไมฉันจึงเหมือนผู้แพ้..ที่อ่อนแอจนไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้อย่างนี้
หมดเวลาสำหรับการหลบอยู่แต่ในถ้ำ ขังตัวเอง และร่ำไห้ให้กับความช้ำใจ ความเสียใจ และความผิดหวังอีกแล้ว...ฉันต้องออกไปสู้กับความจริง...เผชิญหน้ากับทุกสิ่งอย่างองอาจอีกครั้ง...ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ฉันพร้อมที่จะเจอเขาแล้ว..เรานัดเจอกันในวันหนึ่ง...เขาในวันนี้..ดูผิดตาไปจากที่ฉันเคยเห็น ผมยาวขึ้นกว่าเดิม หนวดเคราเขียวครึ้ม ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่สนใจที่จะดูแลเอาใจใส่กับมัน..ดวงตาแห้งผาก รูปร่างผอมซุบกว่าเดิม
ถ้าไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไปนัก...ฉันแอบเห็นประกายความยินดีในแววตาเขาวูบนึง ทันทีที่เขาเห็นฉัน...เราทักทายกันอย่างเก้อกระดาก..สถานการณ์อย่างนี้..หลายคนคงเข้าใจ..ฉันทำลายกำแพงความเงียบระหว่างเรา 2 คนด้วยคำถามที่ตรงไปตรงมาว่า ฉันรู้สึกว่าเขาผอมไป หน้าตาซีดเซียว เขาบอกว่า เขาไม่มีความสุข ไม่สบายใจ กินไม่ได้ นอนไม่หลับเลย ตั้งแต่วันที่เขาให้จดหมายฉบับนั้นกับฉันไป...เขาเพิ่งรู้ใจตัวเองว่า หัวใจของเขาหลุดลอยไปกับจดหมายฉบับนั้นแล้ว
แทนที่เขาจะรู้สึกโล่งใจ สบายใจ ที่เขาได้ให้คำตอบฉันไป เขากลับพบว่า เขารู้สึกตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง...เค้าเพิ่งรู้ใจตัวเองในวันนั้นว่า..เขารักฉัน...และทุกอย่างที่เขาบอกมาในจดหมายไม่เป็นความจริงเลยซักนิด
เขาสารภาพว่า จริงๆเขาคงรักฉันมานานแล้ว เขาได้แต่ปฏิเสธใจตัวเอง ว่าคงไม่ใช่ความรัก เขาไม่ได้รักฉัน...แต่เขาก็ให้คำตอบกับตัวเองไม่ได้ว่า เมื่อไม่รัก ทำไมเขาจึงอยากได้ยินเสียงฉันทุกวัน อยากอยู่ใกล้ฉัน อยากเห็นรอยยิ้มของฉัน และอยากทำให้ทุกวันของฉันมีความสุข....
เขาเคยผิดหวังในรักมาถึง 2 ครั้ง จึงคิดตั้งใจไว้ว่า เขาจะไม่รักใครอีกต่อไป เขากลัวความผิดหวัง (เขาเป็นผู้ชายที่ทุ่มเท และจริงจังกับความรักมาก..เมื่อผิดหวัง..เค้าจึงรู้สึกเจ็บปวดเจียนตาย... ) เมื่อเจอฉัน แม้จะรู้สึกดีเพียงไร เขาก็ปฏิเสธใจตัวเองเรื่อยมาว่า..ไม่ใช่รัก...แต่เมื่อเขาได้ให้คำตอบกับฉันไปแล้ว..เขากลับรู้สึกเขาเจ็บปวด ทุกข์ร้อนมากกว่าครั้งที่ผ่านมา
ฉันถามเขาว่า ถ้าฉันไม่ให้โอกาสเขามาบอกความในใจแบบนี้ เขาจะทำอย่างไร เขาบอกว่า เขาคงรู้สึกเสียใจไปจนตาย เขาไม่ได้เสียใจที่ฉันไม่ให้อภัยเขา แต่เขาเสียใจ ที่เขาขลาดกลัวกับความรักจนเกินไป แม้เมื่อพบคนที่เขารัก และรักเขาแล้ว เขากลับทิ้งหัวใจไปอย่างง่ายดาย..ชาตินี้ เขาจะไม่ให้อภัยตัวเองอีกเลย....
เขาขอโทษ ที่ทำให้ฉันเสียใจมากมายขนาดนี้ จริงๆแล้ว เขาไม่เคยรู้เลยว่า ฉันรู้สึกอย่างไรกับเขา ฉันวางตัวกับเขา เหมือนเขาเป็นแค่เพื่อนคนหนึ่ง แต่เมื่อพี่มะลิเล่าว่า ฉันเอง ก็มีอาการเช่นเดียวกับเขา เขายิ่งรู้สึกเสียใจมาก ว่าเขาได้ทำให้คนที่เขารักเสียใจ
เราปรับความเข้าใจกันได้ในที่สุด...และยังเห็นพ้องต้องกันว่า เราควรไปกราบขอบคุณพี่มะลิ พี่สาวที่แสนดี ที่อยู่เคียงข้าง ให้คำปรึกษา และให้กำลังใจเราเสมอเวลาที่เรามีปัญหา....เราไปหาพี่มะลิที่บ้าน พี่มะลิดีใจที่เรา 2 คนปรับความเข้าใจกันได้...เขาได้พูดสิ่งที่ฉันไม่คาดคิดว่าจะได้ยินต่อหน้าพี่มะลิ...
"พี่มะลิครับ ขอบคุณสำหรับความรัก ความเมตตาที่มีให้เราทั้งคู่ตลอดมา...ผมรักเขา และขอสัญญาว่า ผมจะรักเขาจนวันตาย..." (พิมพ์มาถึงตอนนี้ ฉันรู้สึกวูบ..ขนลุก..คำพูดเขาดูเหมือนยังคงก้องอยู่ในหู เหมือนเขาเพิ่งพูดเมื่อเร็วๆนี้ แต่จริงๆมันผ่านมาถึง 7 ปีแล้วค่ะ...ใช่ค่ะ เขาพูดแบบนั้นจริงๆ)
พี่มะลิ น้ำตาคลอ ซาบซึ้งกับคำมั่นของชายชาติทหารอย่างเขา ส่วนฉันไม่ต้องพูดถึง....ร้องไห้โฮ..อย่างไม่อายใครทันที่ที่เขาพูดประโยคนั้น
หลังจากนั้นไม่นาน เขาขอให้ฉันพาเขาไปรู้จักกับครอบครัวของฉัน เพื่อไปแนะนำตัวกับคุณพ่อคุณแม่ของฉันอย่างเป็นทางการ และเพื่อให้ผู้ใหญ่รับรู้ว่าเรา 2 คนคิดคบหาดูใจกันอย่างจริงจัง
เช่นเดียวกับเขา ที่พาฉันไปรู้จักครอบครัวของเขา มีคุณพ่อ เป็นอดีตนายทหาร ข้าราชการบำนาญ คุณแม่เป็นแม่บ้าน เขามีพี่น้องผู้ชายทั้งหมด 5 คน และรับราชการทหารทั้ง 5 คนเช่นกัน (น้องชายคนสุดท้องของเขา เป็นนักบิน ยังโสดค่ะ) ครั้งแรกที่ฉันได้ทำความรู้จักกับครอบครัวของเขา ฉันก็สัมผัสได้ถึงการต้อนรับที่อบอุ่น จริงใจ เป็นมิตร
ทุกๆๆวันหยุด ถ้าเขาไม่มาทานอาหารที่บ้านฉัน เขาก็มักพาฉันไปรับประทานอาหารกับครอบครัวของเขา เรามักมีกิจกรรมร่วมกับคนในครอบครัวของเราทั้ง 2 ฝ่ายอยู่เสมอๆๆ ทำให้เขากับครอบครัวฉัน และฉันกับครอบครัวเขา สนิทสนม ใกล้ชิดกันมากขึ้น
เมื่อน้องชายเขาบวช เขาพาฉันไปร่วมงานและทำความรู้จักกับญาติพี่น้องของเขาทุกคน และแน่นอน 1 ในนั้นก็คือ พี่เอ...ทันทีที่เห็นฉัน พี่เอปรี่เข้ามาทักทาย พร้อมรอยยิ้ม และกระเซ้าว่า "ขอแสดงความยินดี ที่เราจะได้ใช้นามสกุลเดียวกัน (พี่เอ เป็นลูกน้องชายของพ่อเขา)" ฉันตอบไปว่า "คงไม่ขนาดนั้นหรอกน่า" พี่เอ ตอบกลับมาว่า "ชัวร์...ธรรมเนียมของตระกูลพี่ ถ้าลูกหลาน พาใครมาแนะนำตัวกับญาติๆแบบนี้ ก็คือจะแต่งงานกับคนนั้นแหละ"...ฉันได้แต่ยิ้ม..
หลังจากนั้นไม่นาน..ในเย็นวันหนึ่ง..เขาบอกฉันว่า อาทิตย์นี้ คุณพ่อของเขาจะพาลูกๆไปทานอาหารนอกบ้าน และให้เชิญฉันไปด้วย..ฉันอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าหากเชิญเป็นเรื่องเป็นราวแบบนี้ น่าจะมีวาระพิเศษ จึงถามเขาไปว่า..เป็นวันพิเศษอะไรหรือไม่ วันเกิดใครในบ้านหรือเปล่า ฉันจะได้เตรียมหาของขวัญ เขาบอก ไม่ใช่วันเกิดใคร ของขวัญอะไรๆ ก็ไม่ต้องเตรียม..ไปถึงแล้วก็รู้เอง
เขาทิ้งปริศนาไว้แค่นั้น...ฉันตอบตกลง...
วันนั้น เขามารับฉันที่บ้าน คุณพ่อเลือกร้านอาหารที่มีบรรยากาศเงียบสงบ และจองห้องรับประทานอาหารส่วนตัว นั่นหมายความว่า ทั้งห้องอาหารเล็กๆนั้น มีแต่ครอบครัวเรา ครอบครัวเดียว
ฉันสังเกตเห็นว่า ทุกคนมีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสเป็นพิเศษ พูดจาหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน..โดยเฉพาะเขา ที่เป็นเป้าหมายในการหยอกล้อเป็นระยะๆ ฉันจับไม่ได้ว่าพวกพี่ๆน้องเขาหยอกล้อเขาเรื่องอะไร...แต่พอจะทราบว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับเขา
เมื่อการรับประทานอาหารสิ้นสุดลง คุณพ่อกระแอมขึ้นมา 1 ครั้ง ทุกเสียงที่กำลังพูดคุย หยุดพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย คุณพ่อหันมาทางฉัน สายตาจับจ้องฉันไม่วางตา และคุณพ่อถามฉันด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ทำให้ฉันรู้สึกครั่นคร้ามขึ้นมากลายๆ แม้ว่า จะได้รู้จักกับคุณพ่อมาบ้าง แต่ก็ไม่เคยเห็นคุณพ่อมีทีท่าแบบนี้ คุณพ่อถามฉันว่า..ในสายตาของฉัน ลูกชายของท่านเป็นคนอย่างไร...ฉันรู้ว่า
คุณพ่อจริงจังกับคำถามนั้นเป็นอย่างมาก ดังนั้นก่อนตอบ ฉันจึงต้องคิดใคร่ครวญเป็นอย่างดี ...ฉันเรียนตอบคุณพ่อไปตามจริงว่า "แม้เราจะรู้จักกันไม่นาน แต่ฉันก็สัมผัสได้ว่าเขาเป็นคนดี มีน้ำใจ มีความจริงใจ รับผิดชอบ และรักครอบครัว" คุณพ่อยิ้มน้อยๆ กับคำตอบของฉัน และถามคำถามต่อมา ชนิดที่ไม่ทันให้ฉันตั้งตัวว่า...เขาต้องการแต่งงานกับฉัน และให้คุณพ่อไปสู่ขอฉันกับคุณพ่อคุณแม่ ฉันจะว่าอย่างไร...
ฉันนิ่งอึ้งไปชั่วครู่....คราวนี้ ทุกสายตาในห้องนั้นมองมาที่ฉัน อย่างค้นหาคำตอบ โดยเฉพาะเขา ฉันแอบเห็น เขาใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กซับเหงื่อที่ผุดมาบนใบหน้า ทั้งๆที่อากาศในห้องเย็นเฉียบจับใจ แต่เขากลับร้อนอย่างไม่น่าเชื่อ
นี่ฉันจะตอบอย่างไรดี..ฉันเชื่อว่า ผู้หญิงทุกคน มีภาพฝันที่คล้ายๆกัน นั่นคือ การขอแต่งงานจากชายคนรัก..เราอยากได้ยินคำบอกรักซึ้งๆ ในบรรยากาศโรแมนติก และการขอแต่งงานที่เว้าวอน อ่อนหวาน....
แต่ความจริงที่ปรากฎตรงหน้าฉันขนาดนี้ มันไม่ใช่....ไม่มีคำบอกรัก ไม่มีการขอแต่งงานจากเขา...นี่เขาข้ามขั้นตอนอะไรไปหรือเปล่า...เขาลืมอะไรไปหรือไม่ ฉันก็คือผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ต้องการแบบนั้น....
ฉันงุนงง สับสน...ถูก..แม้การคบหาของเราทั้งคู่ เป้าหมายสูงสุด คือการแต่งงาน แต่เขาไม่เคยบอกฉันให้รู้ตัวมาก่อน ....ไม่มีภาพฝันที่ฉันเคยวาดไว้ ไม่มีฉากบอกรักที่โรแมนติก...ไม่มี..เลย ทำไมเขาไม่คิดนะ...อย่างน้อย..มันก็ทำให้ฉันจดจำไปชั่วชีวิต...ให้ฉันได้มีภาพการขอแต่งงานเก็บไว้เป็นความประทับใจในชีวิตไม่ได้เชียวหรือ..
ป่วยการจะคิด เพราะทุกอย่างที่ฝันไว้ มันพังทลายกับความเป็นจริงที่อยู่ข้างหน้า ฉันดึงความคิดเลื่อนลอยของตัวเองกลับมา..ทุกคนรอฟังคำตอบของฉันอยู่ โดยเฉพาะเขา....คำตอบของฉัน ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการตอบรับหรือปฎิเสธ ล้วนมีผลต่อชีวิตในภายหน้าของฉันแทบทั้งสิ้น..
ฉันตัดสินใจให้คำตอบ ในสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับฉันและเขา...