16 กรกฎาคม 2550 11:29 น.
เสราดารัล
ตอนที่ 6 เขียนไป 2 ครั้งแล้วค่ะ...post แล้ว แต่ไม่ปรากฏที่หน้าจอ.....ไม่ทราบว่าเพราะอะไรอ่ะค่ะ...ใครทราบช่วยบอกด้วยนะคะ
11 กรกฎาคม 2550 14:39 น.
เสราดารัล
ฉันแทบไม่รับรู้รสของอาหารในวันนั้น จำไม่ได้ว่าเราคุยเรื่องใดกันบ้าง และฉันก็คิดว่า เขาก็คงเป็นเช่นเดียวกัน เสียงพูดคุยของเขา ผ่านหูฉัน รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง หลายคำถามของเขาที่ถาม ฉันเรียกร้องให้เขาถามซ้ำ..สมองฉันแล่นช้ากว่าที่เคยเป็น ความคิด คำพูดที่เคยลื่นไหล กลับตีบตัน...ฉันลอบสังเกตเขาเองก็มีท่าที่ครุ่นคิด เหม่อลอยในบางขณะ
ฉันเฝ้ารอคำตอบของเขาอย่างจดจ่อ แต่แปลก..ที่เขากลับไม่พูดถึงตลอดเวลาที่เราทานอาหารด้วยกัน...ทำไมนะ เขาช่างไม่รู้เลยหรือไร ว่าฉันกระวนกระวายกับคำตอบของเขามากแค่ไหน
จนเมื่อการทานของหวานซึ่งเป็นอาหารชุดสุดท้ายเสร็จสิ้นลง ฉันกำลังจะเอ่ยปากทวงถามเรื่องที่ค้างคาใจ เขากลับยื่นซองจดหมายสีฟ้า ส่งให้ฉัน และบอกว่า "คำตอบทั้งหมดของเขาอยู่ในนี้ ขอให้ฉันกลับไปอ่านเมื่อถึงบ้านแล้ว" ฉันถามว่า "ทำไมต้องเขียน บอกกับฉันตอนนี้เลยไม่ได้หรือ" เขาตอบกลับมาว่า "การเขียน จะทำให้เขาสื่อสารกับฉันได้ละเอียดและสมบูรณ์มากกว่าการพูด" เขาจบประโยคด้วยรอยยิ้ม...แต่ฉันกลับเห็นมือของเขาที่สั่นเล็กน้อย ขณะยื่นซองจดหมายนั้นกับฉัน
เราแยกย้ายกันกลับบ้าน ไม่มีทางที่ฉันจะระงับความอยากรู้ของฉันแล้วไปเปิดอ่านที่บ้านตามที่เขาบอก ฉันจอดรถข้างทาง และเปิดจดหมายอ่านในทันที
เขาเก็บรายละเอียดของวันที่เขาได้รู้จักกับฉันครั้งแรก พรรณนาความรู้สึกของเขาที่มีต่อฉันตลอดเวลาที่เรารู้จักกัน เขาบอกว่า เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับผู้หญิงคนไหน เขามีความสุขที่ได้พูดคุยกับฉัน อยากเจอฉันตลอดเวลา และฉันก็เป็นผู้หญิงในแบบที่เขาค้นหามาแสนนาน
อ่านมาถึงตรงนี้ ไม่ว่าใครก็คงรับรู้ได้ถึงคุณค่า และความสำคัญที่เราที่มีต่อผู้ชายคนหนึ่ง...ซึ่งฉันอดที่จะคาดเดากับคำตอบของเขาไม่ได้เลยว่า ฉัน..คือคนที่เขาต้องการคบหาอย่างจริงจัง
ฉันแอบยิ้มขณะที่สายตาไล่เรียงตัวอักษรที่มาจากลายมือของเขา รู้สึก
วาบหวาม อบอุ่นใจเท่าๆกับที่เขาจะมานั่งพูดให้ฟังตรงหน้า
แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น เมื่อฉันอ่านมาถึงช่วงท้ายของจดหมาย รอยยิ้มเมื่อครู่ของฉันที่คิดว่ามันเป็นยิ้มที่งดงาม อ่อนหวานที่สุด มานจางหายไปในทันที เมื่อเขาบอกว่า "ถึงแม้ผมจะรู้สึกดีกับคุณแค่ไหน แต่ผมก็ยังไม่สามารถตอบใจตัวเองได้ว่า ผมต้องการคบกับคุณแบบแฟนมากกว่าเพื่อนหรือเปล่า หากถ้าคุณต้องการคำตอบที่ชัดเจน ผมก็ยังไม่มีให้ และผมก็ไม่ต้องการเป็นคนเหนี่ยวรั้ง หรือปิดโอกาสคุณในการที่จะทำความรู้จักกับคนอื่น...สำหรับผมแล้ว..ในตอนนี้ภาพของการมีแฟน และการมีครอบครัวยังห่างไกลตัวผมเหลือเกิน...."
เขายังเขียนอะไรต่อไปอีกยืดยาว แต่สายตาฉันมันพร่าเลือนไปซะหมดแล้ว หูฉันอื้ออึงกับประโยคเดิมๆของเขาที่ตอกย้ำว่าเขาไม่คิดมีแฟน..
นี่คือการปฏิเสธ..นี่คือคำตอบของเขาที่ฉันไม่คิดว่าจะได้รับ...ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาปฏิบัติตัวต่อฉันเหมือนฉันเป็นคนพิเศษ ฉันคิดไปเองหรอกหรือ..ว่าเขามีใจกับฉัน....ฉันไม่เคยมีเพื่อนผู้ชาย โทรหาฉันวันละ 5 ครั้งทุกวันเป็นประจำ ไม่เคยขาด...ฉันไม่เคยมีเพื่อนผู้ชายที่พาฉันออกงานสังคม ไปงานแต่งงาน งานเลี้ยงรุ่น (เพราะถ้าเพื่อนผู้ชายเหล่านั้นของฉัน จะพาใครไปซักคน มันก็คงต้องเป็นแฟนเขา ไม่ใช่เพื่อนธรรมดาๆๆแบบฉันแน่ๆ...จริงมั้ยคะ )
แต่ความจริงที่ปรากฏต่อหน้าแนขณะนี้ คือ...เขาแค่รู้สึกดีกับฉัน แต่เขาไม่พร้อมจะพัฒนาความสัมพันธ์ของเรา...
ฉันไม่รู้ว่าฉันขับรถกลับบ้านมาได้อย่างไร ด้วยสภาพจิตใจเลื่อนลอย น้ำตาที่รินไหล เต็มสองตา มาตลอดทาง ฉันเก็บตัวอยู่ในห้องอย่างเงียบเชียบ จนเป็นที่ห่วงใยของคนในบ้าน แม่กับน้องชายเฝ้าดูอยู่ห่างๆ แต่ไม่กล้าเค้ามาซักไซร้ สอบถาม แม่คงคิดว่าฉันคงเป็นผู้ใหญ่เพียงพอที่จะรับมือและแก้ปัญหาด้วย
ตัวเองได้ แม่กล่าวด้วยความห่วงใยว่า "มีไร..เล่าให้แม่ฟังได้นะ..แม่ยินดี" แม้จะเป็นคำพูดสั้นๆเพียงไม่กี่คำ แต่ฉันก็ซาบซึ้งถึงความรัก ความห่วงใยของแม่อย่างมากมาย
จำได้ว่าเหตุการณ์นั้น เกิดในช่วงเทศกาลปีใหม่ บรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองที่สดใสรอบๆๆตัวฉัน ไม่ได้ช่วยให้จิตใจที่เป็นทุกข์ หม่นหมอง โศกเศร้าของฉันหายไปได้เลย
ฉันรักเขาหรือ ทำไมฉันถึงได้เสียใจมากมาย กับคำตอบของเขา...การถูกผู้ชายปฏิเสธ...มันทำไมรู้สึกแย่ได้ขนาดนี้....ช่วงเวลานั้นฉันคิดอะไรไม่ออกฉันไม่รู้ว่าฉันเป็นแบบนี้ เพราะอะไร...รู้แต่เพียงว่า..ทำไมเขาไม่ให้โอกาสทั้งกับตัวเขาเองและฉัน ให้ได้ลองเปิดใจคบหา ศึกษากัน คำตอบของเขาแบบนี้ คือการปิดกั้นทุกอย่างระหว่างเรา
ฉันโทรไปหาพี่มะลิ (เจ้าของห้อง chatที่ทั้งฉันกับเขา สนิทสนมและเคารพมาก พี่มะลิ จะรับรู้เรื่องราวของเราทั้งคู่ตั้งแต่รู้จักกัน)เพื่อเล่า เพื่อระบาย เพื่อต้องการคำปรึกษา แนะนำ และที่สุด คือต้องการกำลังใจจากใครซักคนในเวลาที่เรา สับสน ท้อแท้ สิ้นหวัง เสียใจมากมายขนาดนี้ พี่มะลิรับสาย และบอกว่า พี่มะลิรู้เรื่องของเราหมดแล้ว และตอนนี้เขาอยู่ที่บ้านพี่มะลินี่เอง (ทันทีทีได้ยินว่า เขาอยู่ที่นั่น ใจฉันเต้นแรงอย่างระงับไม่อยู่ แม้แต่ชื่อของเขา ก็มีอิทธิพลกับจฉันมากมายขนาดนี้)
พี่มะลิต่อด้วยการบรรยายถึงสภาพของเขานตอนนี้ดูอิดโรย ดวงตาแดงช้ำ หนวดเคราครึ้มเขียว เขามาหาพี่มะลิ...มาหาทำไม...เพื่ออะไร ...ในเมื่อทุกอย่าง เขาได้ตัดสินไปแล้ว...ด้วยตัวเขาเอง...
8 กรกฎาคม 2550 13:39 น.
เสราดารัล
เรานัดเจอกันในวันหยุดวันหนึ่ง ฉันเลือกที่จะทานมื้อกลางวันกับเขา มากกว่ามื้อเย็นที่อาจต่อเนื่องยาวนาน เพราะหนึ่งฉันยังไม่ได้รู้จักเขาดีพอ เขาก็แค่คนแปลกหน้าที่เราบังเอิญมารู้จักกัน และต้องการคบหากันต่อไป สองก็คือฉันยังไม่ได้รู้สึกพิเศษกับเขามากกว่าเพื่อนคนหนึ่ง...เพื่อน...เท่านั้นจริงๆ
มื้อกลางวันอย่างง่ายๆของเรา จบลงในร้านที่ค่อนข้างสะอาด บรรยากาศ โล่ง โปร่งสบาย ฉันไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นเมื่อเจอเขา เราทักทายกันอย่างสนิทสนมเหมือนคุ้นเคยกันมานาน แปลก...ณ.วินาทีที่ฉันเห็นเขาครั้งแรก หัวใจฉันกลับเต้นในที่จังหวะปกติอย่างไม่น่าเชื่อ
มีนัดทานข้าวกับหนุ่มซักคนที่เราไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน มันน่าจะรู้สึกตื่นเต้นมากกว่านี้ไม่ใช่หรือ อย่างน้อย..จังหวะการเต้นของหัวใจมันน่าจะถี่กว่านี้ การพูดคุยกันในระยะใกล้ชิด..มันน่าจะทำให้ฉันรู้สึกเก้อเขินอยู่บ้าง แต่นี่..
ไม่เลย...ฉันไม่ได้รู้สึกใดๆๆนอกจาก การที่ได้ทานข้าวกับเพื่อนคนนึง และ
พูดคุยในทุกเรื่องราวที่เราต่างสนใจ
เราแยกจากกันหลังจากใช้เวลาในการเจอครั้งแรกใน 2 ชั่วโมงต่อมา...ไม่มีอะไรน่าประทับใจ ไม่มีอะไรพิเศษ นอกจากว่า ฉันมีเพื่อนเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน
หลังจากนั้น เขายังคงโทรหาฉันสม่ำเสมอเช่นเคย เรามีนัดทานข้าวบ้าง ดูหนังบ้าง ตามเวลาและโอกาสที่เหมาะสม...เขาไม่เคยรุกคืบมากกว่านี้ จนฉันแปลกใจ และไม่แน่ใจว่า เขาต้องการคบกับฉันแบบใดกันแน่ ความที่ฉันเป็นคนที่ไม่เคยเก็บคำถามไว้ในใจโดยไม่รู้คำตอบได้เลย
ในเย็นวันหนึ่ง ที่เขาโทรมาหาฉัน ฉันก็ได้ถามคำถามนั้นออกไป "คุณต้องการคบกับฉันแบบไหน ฉันจะได้วางตัวได้ถูก...ถ้าเป็นเพื่อน คุณก็ไม่จำเป็นต้องโทรหาฉันบ่อยๆๆแบบนี้ ฉันควรได้มีโอกาสได้ลองคบกับคนอื่นดูบ้าง แต่ถ้าคุณอยากคบฉันแบบคนรัก...ฉันก็จะรับไว้พิจารณา"
ฉันรู้ คำถามแบบนี้ ผู้หญิงไม่ควรเป็นฝ่ายถาม แต่ฉันเป็นผู้หญิงที่ไม่เคยเห็นความต่างระหว่างเพศ ฉันคิดว่า ทำไมเราต้องเป็นฝ่ายรอ เพื่อให้ผู้ชายซักคนมาเลือก เราต่างหาก ที่ต้องเป็นฝ่ายเลือกผู้ชาย..ฉันให้เวลาเขาในการทำความรู้จักฉันระยะหนึ่งแล้ว และตอนนี้ เขาก็น่าจะมีคำตอบสำหรับฉันได้แล้ว..เช่นกัน
เขาเงียบไปชั่วครู่ ฉันบอกเขาว่า คุณยังไม่จำเป็นต้องตอบตอนนี้ ฉันให้เวลาคุณได้คิดและตัดสินใจ...นับจากวันนี้ คุณไม่ต้องโทรหาฉัน เราไม่ต้องติดต่อกัน ให้ใจคุณนิ่งสักพัก แล้วคุณจะคิดได้เอง ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ ฉันจะยอมรับโดยดี เรายังคงเป็นเพื่อนกันได้ ถ้าคุณต้องการ
เขาหายไปจากชีวิตฉัน 10 วันเต็มๆๆ แม้ใจจะบอกว่าไม่เคยมีความรู้สึกที่พิเศษให้เขาแต่อย่างใด แต่ฉันกลับพบว่า ช่วงเวลาที่เขาหายไปนั้น ฉันกลับรู้สึกกระวนกระวาย รุ่มร้อน และเฝ้ารอคอยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ฉันไม่เคยรู้เลยว่า เขาได้เข้ามาอยู่ในใจของฉันแล้ว โดยที่ฉันไม่รู้ตัว
ฉันได้รับโทรศัพท์จากเขาในเย็นวันหนึ่ง เขาบอกว่า เขาพร้อมจะให้คำตอบฉันแล้ว....และเขาควรจะบอกคำตอบนี้ด้วยตัวเอง
หัวใจฉันเต้นแรง นับตั้งแต่ได้ยินเสียงเขา ตลอดเวลาของการสนทนา (ปกติเขาจะใช้เวลาในการคุยโทรกะฉันครั้งละนานๆ แต่แปลกที่คราวนี้ เหมือนเราต่างจนด้วยคำพูด ฉันเอง ก็กระวนกระวายใจกับคำตอบของเขา จนไม่มีแก่ใจชวนคุย) ฉันไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน..กับเขา..
เรานัดเจอกันในเย็นวันหนึ่ง...ที่ร้านอาหารเดิมที่เราเคยมาทานด้วยกันเป็นครั้งแรก...แม้ฉันจะเจอเขามาแล้วหลายครั้ง..แต่ครั้งนี้ กลับไม่เหมือนครั้งไหนๆๆ ฉันรู้สึกตื่นเต้น..กระวนกระวาย...ใช่ค่ะ..ฉันถึงกับนอนไม่หลับในคืนก่อนที่เราจะเจอกัน..คำตอบของเขาจะเป็นแบบใด..มันคุ้มค่ากับการรอคอยของฉันหรือไม่...ฉันจะได้รู้จากเขาพรุ่งนี้แล้วค่ะ
5 กรกฎาคม 2550 20:48 น.
เสราดารัล
วิญญาณนักสืบของฉันหายไปในวันรุ่งขึ้น ด้วยภาระหน้าที่การงานที่ยุ่งเหยิง ทำให้ฉันลืมเลือนที่จะไปสืบหาความจริงของผู้ชายคนนั้น
ฉันไม่ได้ออนไลน์เป็นเวลาอาทิตย์กว่าๆๆ หลังจากที่เราคุยกันครั้งก่อน
เมื่อฉันกลับมาหน้าจออีกครั้ง...ทันทีที่ฉันเข้าไปห้องเดิม..เขาขึ้นข้อความทักทายฉันทันที..."นั่นคุณ...ใช่ไหมครับ...ผมไม่เห็นคุณหลายวัน...เป็นอะไรหรือเปล่าครับ งานยุ่ง..หรือไม่สบาย..." คำถามที่พรั่งพรูผ่านตัวอักษรของเขานั้น ทำให้ฉันแทบตั้งตัวไม่ติด...ฉันค่อยๆๆตอบคำถามเขาอย่างใจเย็น
การคุยกับเขาวันนี้ ทำให้ฉันได้มีเวลานึกถึงเรื่องที่ฉันยังค้างคาใจในครั้งนั้น ฉันบอกเขาว่า ฉันจะโทรหาเขาตอนนี้ที่ที่ทำงานของเขา...เขาถามย้ำฉันด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น.."จริงหรือครับ โทรมาเลยนะครับ ผมรอ"
ฉันโทรหาเขาทันทีที่เขาพูดจบ คนรับสายปลายทาง บอกชั้นยศ ชื่อ และหน่วยงาน...อืม..เขาไม่ได้โกหก เขาทำงานที่นี่จริงๆ ฉันบอกว่า ขอสาย ร.อ...... ด้วยค่ะ มีการต่อสายไปยังเขาตามที่ฉันต้องการ เสียงโทรศัพท์ดังอยู่ 3 ครั้ง ช่วงที่รอ แม้ไม่นานนัก แต่ฉันรู้สึกได้ถึงอัตราการเต้นของหัวใจที่มันถี่แรงเกินกว่าปกติ...เมื่อมีคนรับสายอีกครั้ง เสียงนุ่มทุ้มจากปลายสาย สะกดหัวใจฉันให้นิ่งงันอย่างน่าประหลาด "สวัสดีครับ ผม ร.อ.....รับสายครับ"...เขาน่ะเอง..ใช่เขาจริงๆด้วย
ฉันใช้เวลาคุยกับเขาไม่นานนัก ที่โทรไปก็เพียงเพื่อตรวจสอบ ว่าเขามีตัวตนจริงอย่างที่บอกหรือไม่เท่านั้น...เขาขอเบอร์โทรศัพท์ฉัน....ฉันปฏิเสธอย่างนุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้..ซึ่งดูก็เหมือนเขาจะเข้าใจดีถึงเหตุผลที่แท้จริงของฉัน ที่ไม่ให้เบอร์โทรศัพท์กับคนแปลกหน้า
ใช่ค่ะ เขายังคงเป็นนคนแปลกหน้าสำหรับฉัน...ตราบใดที่ฉันยังไม่รู้จักใครดีพอ..ก็จะไม่มีใครเข้าถึงตัวฉันได้ง่ายๆๆเช่นกัน
หลังจากที่ฉันโทรหาเขาในวันนั้นแล้ว ฉันก็ไม่เคยโทรหาเขาอีกเลย แต่เรากลับคุยกันในจอมากขึ้น...ความรู้สึกของฉัน เขายังเป็นเพียงเพื่อนในเนต หากจะมีความพิเศษอยู่บ้าง ก็ตรงที่ เขาเป็นเพื่อนในเนตที่ฉันรู้สึกไว้วางใจ และสนิทใจพอที่จะคุยเรื่องราวต่างๆในชีวิตจริงมากขึ้น
เราคุยกันในจอถึง 3 เดือนเต็ม เขายังคงปฏิบัติตัวสม่ำเสมอเหมือนเช่นเคย ถ้อยคำอาทร ห่วงใยจากเขา ยังคงมีให้ฉันเสมอมา...ในเวลาทุกข์ท้อ เหงา เศร้า ฉันสามารถคุยกับเขาได้อย่างสนิทใจ
ที่สุด เขาก็พิสูจน์ให้ฉันเห็นว่า เขาไม่ใช่แค่เพื่อนในเนตเท่านั้น แต่เขาสามารถเป็นเพื่อนแท้ของฉันได้ในชีวิตจริง
ฉันตัดสินใจให้เบอร์โทรศัพท์กับเขา แต่ถึงกระนั้น ยังคงมีเส้นแบ่งความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับเขา...เขายังไม่จำเป็นต้องรู้จักฉันทั้งหมด เขามีสิทธิ์รู้จักฉันเท่าที่ฉันอยากให้รู้จัก...ค่ะ ฉันให้เขาแค่เบอร์โทรมือถือ...ซึ่งเพียงแค่นี้ เขากลับรู้สึกดีใจจนฉันละอาย เขาไม่เคยทวงถามสิ่งที่เขาอยากได้ แต่เขาจะรู้สึกมีความสุขทุกครั้ง ในทุกสิ่งที่ฉันหยิบยื่นให้
ตั้งแต่ได้เบอร์โทรฉัน เขาโทรมาหาฉันทุกวัน วันละ 5-6 ครั้ง ในสมัยที่ค่าโทรมือถือนาทีละ 5 บาท โทรคุยครั้งละไม่ต่ำกว่า 20 นาที เงินเดือนข้าราชการทหารของเขา ต้องมาจ่ายค่าโทรถึงฉันมากกว่าครึ่ง ตลอดเวลา 2 เดือน
ฉันรู้สึกเห็นใจเขา เห็นถึงความมั่นคง ความจริงใจของเขา ฉันจึงให้เบอร์โทรที่บ้านกับเขา...เขาดีใจเหมือนเช่นเคย...ในช่วงกลางวัน เขายังคงโทรเข้ามือถือฉัน แต่ช่วงเย็นหลังเลิกงาน ถึงค่ำ เขาจะโทรมาที่บ้านฉัน เราใช้เวลาคุยกันตั้งแต่ค่ำ ถึงเวลาเข้านอน....หลายครั้งที่ฉันหลับไปในขณะที่ได้ยินเสียงเขาทางโทรศัพท์
ฉันคุยกับเขามาเป็นเวลา 3 เดือน เราได้ยินแต่เสียงของกันและกัน เราไม่เคยแม้แต่ขอดูรูป หรือนัดเจอกัน...ฉันไม่เคยรู้สึกว่าอยากเห็นหน้า หรืออยากเจอเขาเลย...น่าแปลก จนถึงเดี๋ยวนี้ ฉันยังเก็บมาคิด ว่าทำไมฉันถึงไม่อยากเจอเขาเลย..ส่วนเขา ฉันไม่รู้ ...เขาไม่เคยบอก และฉันเอง ก็ไม่คิดจะถามเช่นกัน
5 เดือนผ่านไป ในวันเหงาๆวันหนึ่งของฉัน เขาโทรมาหาฉันพอดี เหมือนเดาใจได้ว่าเวลานี้ ฉันต้องการเพื่อนคุยเป็นที่สุด เราคุยกันอย่างออกรสเช่นเคย และในตอนหนึ่งฉันก็พูดขึ้นมาลอยๆๆกับเขาว่า.."เรารู้จักกันมาตั้งนาน
เนอะ ยังไม่เคยเห็นหน้ากันเลย ขอดูรูปหน่อยจิ"... เขาตอบกลับเชิงตัดพ้อว่า "นึกว่าจะไม่พูดคำนี้ซะแล้ว..ผมรออยู่ ว่าคุณจะพูดมั้ย"..นี่คือเขา..ไม่เคยที่จะบอกความต้องการ ไม่เคยจะเรียกร้อง ทุกอย่าง ถ้ามันจะเกิด ต้องเป็นฉันเท่านั้น ที่จะกำหนดให้เป็นไป
แล้ววันนั้น เราก็ได้เห็นหน้ากันและกันเป็นครั้งแรกจากรูปถ่าย ภาพชายชาติทหารในเครื่องแบบเต็มยศ ผิวแทน หน้าตาคมเข้ม คิ้วหนาได้รูป ดวงตาที่ฉายแววของความมุ่งมั่น ตั้งใจ สะกดให้ฉันมองภาพนั้นนิ่งงันชั่วครู่
ไม่บอก คุณก็คงพอรู้ เมื่อเราคุยกับใครซักคน ถ้าทุกอย่างคลิกตรงกัน เราก็เริ่มอยากฟังเสียง เมื่อได้ฟังเสียง เราก็อยากเห็นรูป และเมื่อเห็นรูป เราก็อยากสัมผัสตัวตนจริงๆของเขา..ใช่ค่ะ ฉันก็เป็นอย่างนั้น
ในเดือนที่ 6..ฉันบอกเขาว่า "เรารู้จักกันมานานแล้วนะ เราน่าจะได้เจอตัวจริงกันซักที คุณคิดว่าไง เราเจอกันดีมั้ย คุณอยากเจอฉันหรือเปล่า" เขาตอบกลับมาว่า เขาอยากเจอฉันตั้งแต่แรกๆๆที่เราได้คุยกัน แต่เขาไม่กล้าบอกความต้องการของเขา เขากลัว ฉันจะไม่คุยกับเขาอีก เขาบอกว่า ฉันมีกำแพงหลายชั้นมาก ฉันค่อนข้างระวังตัวเอง กว่าที่เขาจะได้รู้จักฉันขนาดนี้ เขาต้องใช้เวลาพิสูจน์ตัวเองอยู่นาน เพราะฉะนั้นเมื่อเขาไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เขาจะบอก มันจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเราเปลี่ยนไปหรือไม่ เขาก็จะไม่ทำ เขารอให้ฉันเป็นผู้เลือกเอง ว่าต้องการคบเขาระดับใด แค่ไหน
ไม่เคยมีผู้ชายคนไหน ทำเพื่อฉัน และให้ฉันขนาดนี้ ฉันไม่ได้ตีความการให้ของผู้ชายแค่มีดอกไม้มาฝาก มีคำพูดหวานๆ หรือพาไปทานอาหารร้านหรูๆ โรแมนติก แต่การให้ของผู้ชายคนนี้ คือให้ความสม่ำเสมอ จริงใจ และก็มั่นคง เขามีหลายๆสิ่ง ที่ฉันยังไม่เคยเจอจากผู้ชายคนอื่น
จะเป็นไรไป ถ้าฉันจะให้โอกาสตัวเอง ได้คบและได้รู้จักผู้ชายดีๆๆอย่างนี้ซักคน
และแล้วเราก็ตกลงกันว่า เราจะเจอกัน เดทแรกของฉันกับเขากำลังจะเริ่มขึ้น...ผู้ชายในจินตนาการของฉันจะก้าวข้ามผ่านมาเป็นผู้ชายในชีวิตจริงของฉันอย่างไร....อีกไม่นานคุณจะรู้ค่ะ
4 กรกฎาคม 2550 10:54 น.
เสราดารัล
ไม่มีใครคาดคิดได้ว่า การพูดคุยกับผู้ชายนอกสายตาคนนึงอย่างจริงจัง จะทำให้ชะตาชีวิตของฉันพลิกผันอย่างไม่น่าเชื่อ
วันนั้นที่ทำงานฉันจัดการแข่งขันกีฬาภายใน เพื่อเชื่อมความสามัคคีแก่พนักงานในองค์กร และแน่นอนเมื่อไม่ต้องเป็นวันที่ทุกคนต้องทำงานกันอย่างหน้าดำคร่ำเครียดแล้ว ความสนุกสนาน คึกคัก มีชีวิตชีวาก็เข้ามาแทนที่
เช้าวันนั้น ฉันขับรถมาทำงานด้วยความสดชื่น แจ่มใสมากกว่าเช้าวันไหนๆ เส้นทางเดิมที่ฉันขับรถผ่านทุกวันจนคุ้นตา ฉันกลับได้เห็นความงดงามบนท้องถนนยามเช้า มากกว่าความหงุดหงิดเหมือนทุกๆๆวันที่ผ่านมา
ฉันได้รับมอบหมายให้เป็นกรรมการตัดสินการประกวดกองเชียร์และขบวนพาเหรด มันเป็นงานที่ฉันเต็มใจทำเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าฉันจะต้องตื่นเช้ากว่าปกติ เพื่อมาให้ทันดูขบวนพาเหรดในเวลา 7 โมงเช้า หรือต้องคอยจับตาดูกองเชียร์ทั้งหมด เพื่อเก็บคะแนนและตัดสิน
ไม่มีสิ่งใดที่ฉันทำไม่ได้ เพราะฉันรู้ว่าในชั่วโมงที่ยาวนาน กว่าจะถึงผลการตัดสิน ฉันมีเพื่อนมากมายรอฉันอยู่ในจอสี่เหลี่ยมเล็กๆๆนี่เอง เพราะเพียงแค่ฉันออนไลน์ ชั่วโมงที่คิดว่ายาวนานขนาดนั้น มันกลับรวดเร็วซะจนฉันรู้สึกแปลกใจ
และแน่นอน..วันนี้ ฉันยังคงเจอเขา ทักทายกัน 2-3 คำเหมือนเคย พิเศษอยู่นิดตรงที่ ฉันบอกเขาว่า วันนี้ฉันต้องทำอะไรบ้าง และฉันสามารถออนไลน์ได้ทั้งวัน เขาบอกฉันประโยคเดิมว่า "ผมจะรอ"
เราทักทายกันประโยคแรก เมื่อแสงแดดอ่อนยามเช้ารำไร ฉันวิ่งไป-วิ่งมา ระหว่างหน้าจอ กับสนามแข่งขันกีฬา ฉันคุยกับเพื่อนๆๆมากมายหลายคน อย่างออกรส แต่ฉันกลับไม่ไยดีที่จะคุยกับเขาต่อ
พระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ในขณะที่ความมืดค่อยๆโรยตัวมาอย่างเชื่องช้า ภารกิจทั้งหลายของฉันเสร็จสิ้น พร้อมกับพลังงานทั้งหมดทั้งมวลในกายของฉันแทบจะหมดไปกะภารกิจที่สำคัญนั้น ฉันกลับมาหน้าจออีกครั้ง และพบว่า....เขายังอยู่ กับข้อความที่ส่งกลับมาว่า "งานยังไม่เสร็จหรอครับ เหนื่อยมั้ย".....ตลอดเวลา 12 ชั่วโมงที่ผ่านมา เขายังคงอยู่...ยังคงเฝ้ารอฉันอย่างเงียบๆๆ ข้อความที่ส่งมาเป็นระยะจากเขา แม้จะไม่ได้รับการตอบรับจากฉัน แต่เขาก็ยังเพียรส่ง เพียงเพื่อให้ฉันรู้ว่ายังมีเขาที่เฝ้ารอ
ที่สุดฉันก็แพ้น้ำใจของผู้ชายคนนี้ แต่สิ่งที่ฉันทำได้ดีที่สุดในขณะนั้นก็คือ ฉันจะให้เวลาเขา ฉันจะลองคุยกับเขามากกว่าแค่ 2-3 คำ เหมือนที่ฉันเคยทำ
ไม่น่าเชื่อ เมื่อฉันได้คุยกับเขาจริงจัง เรากลับเหมือนคนที่เคยรู้จักกันมาแสนนาน เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฉันมองดูเวลาที่ข้อมือ และต้องตกใจ....เกือบ 5 ทุ่ม ฉันคุยกับเขาร่วม 4 ชั่วโมง..จากเดิมที่คุยกันไม่ถึง 1 นาที ผู้ชายคนนี้ สามารถทำให้ฉันสนใจได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ
ฉันจำไม่ได้ ว่าเราคุยเรื่องอะไรกันบ้าง แต่ฉันจำได้ว่า ไม่มีเรื่องไหน ที่เราไม่คุยกัน ชีวิตวัยเด็ก ครอบครัว เพื่อน งาน ฯลฯ ล้วนแต่เป็นหัวข้อสนทนาของเราทั้งนั้น....ฉันจบคำถามสุดท้ายของฉันที่ว่า "คุณทำงานอะไร" (คุณผู้อ่านคงแปลกใจใช่มะคะ คำถามนี้ น่าจะเป็นคำถามแรกๆๆในหัวข้อสนทนา...ค่ะ..สำหรับฉันการถามเรื่องส่วนตัว เช่น การศึกษา หรือหน้าที่การงาน เป็นคำถามที่ฉันมักหลีกเลี่ยงเสมอ ถ้าต้องทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ ยกเว้นแต่เมื่อเราคุยจนรู้สึกสนิทสนมกันมากพอแล้ว ฉันจึงจะถาม เพราะบางครั้งการถามคำถามแบบนี้ สำหรับบางคนอาจไม่ต้องการตอบ หรือไม่สะดวกใจตอบ เพราะนั้นเพื่อให้การสนทนาเป็นไปอย่างราบรื่น ฉันจึงหลีกเลี่ยงที่จะถาม)
เขาตอบว่า "ผมเป็นทหาร" ทันทีที่ได้ยินคำตอบ ฉันแอบหัวเราะเยาะในใจ และด้วยความคะนองของฉัน ฉันแอบต่อท้ายคำตอบของเค้าอยู่ในใจว่า "ทหารเกณฑ์ล่ะจิ ..อิอิ" แต่ที่ได้ถามเค้าไปจริงๆกลับถามต่อว่า "ทหารอะไร" เมื่อเขาตอบกลับมา ฉันก็แอบคิดในใจอีกว่า "จะแค่ไหนเชียว ก็คงแค่จ่าหทารช้ำรัก หรือก็จ่าที่ชอบกินเหล้า เจ้าชู้ซิไม่ว่า ไม่งั้นจะมีเวลามาออนไลน์ทิ้งเป็นวันๆๆรื้อ" ด้วยความเป็นคนตรง ฉันถามต่อทันทีว่า "คุณยศอะไร" คำตอบที่ได้ ทำให้ฉันงุนงงเป็นครั้งที่ 2 และดูเหมือนจะหนักกว่าครั้งแรกด้วยซ้ำ เมื่อเขาตอบมาว่า "ร้อยเอกครับ".....ฉันนิ่งไปซักพัก จนเขาแปลกใจ เขาถามกลับมาอย่างร้อนรนว่า "ทำไมคุณเงียบไป มีอะไรหรือเปล่า ถ้าไม่เชื่อ คุณโทรหาผมได้ทุกเวลา" เขาให้เบอร์โทรศัพท์ทั้งที่บ้าน และที่ทำงาน รวมทั้งบอกชื่อ นามสกุล และหน่วยงานอย่างละเอียด
คราวนี้ คนที่คิดหนักกลับเป็นฉัน ถ้าเรากำลังมองหาใครซักคนที่
ทัดเทียม และเหมาะสมกับเรา ผู้ชายคนนี้ ก็เป็นตัวเลือกนึง ที่ไม่น่ามองข้าม
ฉันจดรายละเอียดของเขาไว้ทั้งหมด และรอคอยเวลาที่จะพิสูจน์ความจริงในวันรุ่งขึ้น....ถ้าสิ่งที่เขาบอกทั้งหมด เป็นจริง...เขาจะไม่ใช่คนนอกสายตาของฉันอีกต่อไป ฉันควรทำความรู้จักเขาให้มากขึ้น...ถ้าเรามีใจตรงกัน ปฐมบทแห่งรักระหว่างฉันกับเขามันก็น่าจะเปิดฉากได้เสียที