25 มกราคม 2549 13:50 น.
เศษทาน
ชีวิตคู่ คู่ชีวิต
จากชื่อเรื่องข้างบน ผมใคร่ขอถามว่า คุณอยากมี
ชีวิตคู่ หรือ คู่ชีวิต
หากคุณเลือก ชีวิตคู่ ทำไมคุณจึงอยากมี ชีวิตคู่ ?
หากคุณเลือก คู่ชีวิต ทำไมคุณจึงอยากมี คู่ชีวิต?
แล้ว.....
ชีวิตคู่ กะ คู่ชีวิต มันต่างกันยังไง หลายคนอาจสงสัย เพราะสองคำนี้ความหมายมันจะน่าจะเหมือนกัน คุณว่าไหม
แต่.................
ในความคิดผม ของผมคนเดียวนะ ผมคิดว่า คำสองคำนี้แตกต่างกันแน่นอนครับ ทำไม ? จึงแตกต่าง แล้ว แตกต่างกันยังไง งั้นลองคุณมาอ่านความคิดของผมกันดูนะ แล้ว แสดงทัศนคติวิจารณ์ออกมาเพื่อแลกเปลี่ยน โลกทัศน์ของกันและกันดู เผื่ออาจจะมีประโยชน์บ้างในวัยข้างหน้า
ชีวิตคู่ ในความคิดของผมเองนั้น ผมคิดว่ามันเป็นอะไรที่ง่ายๆในสังคมปัจจุบันนี้นะ เพราะหลายๆคนใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันแต่ไม่เคยคิดถึงอนาคตหรือคู่ชีวิตกันเลยสักนิด เจอหน้ากัน ถูกใจ พบปะพูดคุย สนิทกัน แล้วก็ไปใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกัน ใหม่ๆอะไรก็ดีไปหมด แต่พอนานๆไปเริ่มเข้ากันไม่ได้ สุดท้ายเป็นไง ได้เลิกรากันไปอีกแล้ว ชีวิตคู่ก็จบลงตรงนั้น
คู่ชีวิต นั้นผมคิดว่ามันเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มากมายเลยนะ เพราะการที่เราจะได้ คู่ชีวิต มาเนี่ยมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยนะ คุณว่าไหม มันต้องผ่านอุปสรรคนานาสารพัดสารพันปัญหาที่ถาโถมโรมรันพันพัว เข้ามาใส่ชีวิตคู่ คู่นั้นๆไม่รู้กี่ฝนกี่ร้อนหนาว ให้เขาสองคนนั้นต้องเจ็บปวดรวดร้าวอยู่ทุกคราวไป แต่เขาสองคนนั้นกลับฝ่าฟันอุปสรรคนานาเหล่านั้นไปได้ จนใครคนหนึ่งล้มหายตายจากกันไป ตามวาระเวลาของแต่ละบุคคลนั้นๆ
ยิ่งในปัจจุบันนี้เราจะได้พบเห็นการใช้ ชีวิตคู่ มากกว่าจะได้เห็น คู่ชีวิต นะ บางคนกว่าจะเจอ คู่ชีวิต ก็ไปหลงอยู่ใน ชีวิตคู่ หลายครั้งก็มี เพราะความเจริญทางด้านวัตถุเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเรานั่นเอง เราจึงไม่ค่อยคิดอะไรลึกซึ้งแบบคนสมัยก่อนเก่า
แต่ก็หวังไว้ในใจลึกๆว่าในอนาคตอันใกล้นี้ เราฐานะคนปัจจุบันคงยอมรับได้กับอนาคตที่จะเกิดขึ้นกับเราเองและคนที่ใกล้ชิดเราในวันข้างหน้าได้ ในเมื่อเราก็รับค่านิยมด้านวัตถุนี้เหมือนกัน
หากคุณหรือใคร เจอ คู่ชีวิต ที่เขาผ่าน ชีวิตคู่ มาแล้วนั้นขอให้คุณหรือใครยอมรับความจริงเสียเถอะครับ เพราะมันคือ ความจริง ที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้วในอนาคตอันใกล้นี้
เศษทาน
25/01/49
15 มกราคม 2549 08:07 น.
เศษทาน
นิทาน...นาย นิทาน
ตอน น้ำข้าว
แม้ฤดูนี้จะเป็นหน้าร้อนแต่เมื่อคืนก็นอนหลับอย่างสบายบนห้างในไร่หลังนั้น เพราะสายลมที่พัดเอื่อยๆอย่างเฉื่อยฉ่ำในยามค่ำคืนของราตรีที่เงียบสงัดถึงแม้นานๆครั้งจะมีเสียงอันไม่พึงปรารถนาจะดังสอดแทรกเข้าบ้างเป็นระยะๆแต่พวกข้าก็หลับสนิทหาได้ยินเสียงเหล่านั้นแต่อย่างใด มารู้สึกตัวลืมตาตื่นอีกครั้งเมื่อไอ้โต้งตัวเอกมันกระพือปีกพั่บๆพร้องขับเสียงใสๆโก่งคอขันอยู่บนหลังคอกงัวเพื่อปลุกให้ทุกคนรับรู้ว่าใกล้จะถึงเวลาเช้าของวันอีกใหม่แล้ว
แม่ข้าจึงจำเป็นต้องลุกจากที่นอนก่อนใคร เพื่อต้องเตรียมหุงหากับข้าวกับปลาเพื่อเลี้ยงปากท้องคนในครอบครัวตามหน้าที่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในวิถีชีวิตประจำวัน ทุกๆวันทุกๆเวลามานานนับเดือนนับปีที่ยังไม่รู้ว่าเมื่อไรจะหมดเวลาวาระลงเสียที
ต่อจากนั้นพ่อข้าก็ลุกจากที่นอนอันแสนอบอุ่นแม้จะไม่อยากลุกก็ตามที เพราะในเวลาหนึ่งวันที่ได้พักผ่อนแบบสบายใจที่สุดก็มีเพียงเวลาที่ได้เอนกายพักผ่อนหลับนอนยามค่ำคืนเท่านั้นกระมัง ที่บรรเทาความเหนื่อย ความปวด เมื่อยล้า จากการที่ต้องตรากตรำทำงานทั้งวันในวิถีแห่งชาวนาไร่ วิถีท้องทุ่ง วิถีไร่นา อยู่กับป่าเขาลำเนาไพร และผืนแผ่นดินทองอันอุดมสมบูรณ์ที่บรรพบุรุษได้พลีเลือดเนื้อชีวิตและวิญญาณปกปักรักษามาจนถึงลูกหลานเหลนโหลนนับร้อยๆปีผ่านมา
แต่เราอนุชนคนรุ่นหลังหาได้รู้คุณบุญแผ่นดินไม่ จ้องจะทำลายทำร้ายผืนแผ่นดินถิ่นกำเนิดที่ให้ชีวิต ให้เลือดเนื้อ ให้วิญญาณ ให้อาหาร ให้ทุกๆสิ่งทุกๆอย่างแก่มวลมนุษย์อย่างเท่าเทียมทัน โดยที่ไม่เคยเรียกร้องสิ่งตอบแทนจากเราทั้งหลายเลยแม้แต่น้อยนิด หากแต่เราต่างหากที่คอยจ้องทำลายสิ่งที่ให้ชีวิตและหล่อเลี้ยงเรามาจนปีกกล้าท้าตาวัน ได้อย่างสง่าผ่าเผย ไยเลยเราท่านทั้งหลายไยไม่ตระหนักกันบ้าง ในบุญคุณแผ่นดินที่เราได้เหยียบยืนอย่างองอาจ
เมื่อพ่อข้าลุกไปได้สักพัก ข้าก็ได้ยินเสียงแม่ร้องเรียก ไอ้น้อง !สงกรานต์เอ้ย น้ำข้าวได้แล้วเน้อ.....เท่านั้นข้าก็หูผึ่งรีบลุกออกมาจากที่นอนทันที โดยที่แม่ไม่ต้องเรียกซ้ำบอ่ยๆ เพื่อรีบมากินอาหารเช้าที่โปรดปรานยิ่งนัก มันช่างแสนอร่อย เลิศรส เสียยิ่งกว่าเครื่องดื่มอะไรต่อมิอะไรในสมัยนี้เสียอีกกระมัง
ใช่แล้ว มันคือ น้ำข้าว น้ำที่ได้จากการหุงข้าวเตาฟืนหรือเตาถ่านเมื่อก่อนนี้ ที่เดี๋ยวนี้แทบไม่มีแล้วเพราะต่างเครื่องใช้ไฟฟ้ามาช่วยอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันไปเสียสิ้น ทำให้ลืมกลิ่นน้ำข้าวที่แสนจะหอมหวลอวลอบตลบคลุ้งยามก้มหน้าลงไปสูดกลิ่น
ข้าเองนั่งอยู่ตรงหน้าชามน้ำข้าว ซึ่งเป็นชามโห้งสังกะสีสีขาวและช้อนสังกะสีสีเขียวอีกคันนึง แม่เอาเกลือเม็ดใส่ในชามน้ำข้าว 2-3 เม็ดเพื่อให้มีรสเค็มนิดๆ แล้วข้าก็นั่งกวนจนเกลือละลายจนหมด จึงทำให้รสชาติของน้ำข้าวเค็มๆมันๆและหอมหวลยิ่งนัก ยามตักน้ำข้าวใส่ปากกลิ่นลอยมาปะทะจมูกต้องนั่งนิ่งสูดเอากลิ่นเข้าไปพร้อมกับซดน้ำข้าวเสียงดัง โพรดดดดดดดดด
ไม่มีอะไรอร่อยกว่านี้อีกแล้วกระมัง น่าเสียดายยิ่งนักที่ปัจจุบันนี้แทบไม่มีแล้วการหุงข้าวเตาฟืนเตาถ่านที่ต้องรินน้ำ อย่าว่าแต่มีน้ำข้าวให้กินเลย ข้าวสวยที่ได้ยังหอมกว่าหุงหม้อไฟฟ้าเสียอีกกระมัง คนปัจจุบันนี้ไม่ได้กินแล้วหล่ะ ข้าเองอาจจะเป็นรุ่นสุดท้ายก็ได้มั้งที่ยังทันได้กินน้ำข้าวที่เลอรส
เศษทาน