9 พฤศจิกายน 2548 08:24 น.
เวทย์
แต่ปางหลังยังมีกรุงกษัตริย์
สมมติวงศ์ทรงนามท้าวสุทัศน์
ครองสมบัติรัตนานามธานี
อันกรุงไกรใหญ่ยาวสิบเก้าโยชน์
ภูเขาโขดเป็นกำแพงบุรีศรี
สะพรึบพร้อมไพร่ฟ้าประชาชี
ชาวบุรีหรรษาสถาพร
ผมเอากลอนต้นเรื่อง พระอภัยมณี มาสำหรับเป็นอุทาหรณ์ว่าทัศนคติที่กำหนดให้ สัมผัสใน อันแพรวพราวเป็นคุณสมบัติสำคัญของ กลอนสุนทรภู่ นั้น น่าจะคลาดเคลื่อน
เมื่อแบ่งวรรคแต่ละวรรคของกลอนแปดหรือกลอนตลาดซึ่งสุนทรภู่ใช้ประจำออกเป็นช่วงๆ ตามที่นิยมกันมาคือ
OOOOOOOO
ก็ถือเป็นแบบอย่างกันต่อๆมาว่าจะต้องมีสัมผัสในระหว่างคำที่ 3 กับ 4 และคำที่ 5 กับ 7 (หรือ 5 กับ 6 ก็อนุโลมให้) และบางคนเคร่งครัดถึงขนาดบอกว่าหากกลอนวรรคใดไม่มีสัมผัสในครบตามนี้ก็ถือว่าไม่ไพเราะ
แต่ถ้ามีครบถ้วนเช่นที่กล่าวมาก็จะได้รับการยอมรับว่าตรงตาม แบบฉบับกลอนสุนทรภู่ขนานแท้
ตอนนี้ลองย้อนกลับไปอ่านกลอนต้นเรื่อง พระอภัยมณี อีกสักรอบ (หรือหลายๆรอบก็ไม่ผิดกติกา)
ลองดูว่ามีวรรคที่เราโมเมว่านั่นคือแบบฉบับกลอนของสุนทรภู่กี่วรรค เอาแบบวรรคต่อวรรคกันเลย
เริ่มจากวรรคแรก เห็นจะๆว่าช่วงท้ายวรรคไม่มีสัมผัสใน
วรรคที่ 2 เหมือนกันกับวรรคแรก
วรรคที่ 3 ได้มาหนึ่งวรรคละที่สัมผัสในไม่ขาดไป
วรรคที่ 4 ถ้าช่วงท้ายถือตามเสียงโดยไม่ดูรูปสระ ก็เป็นอันอนุโลมได้
วรรคที่ 5 ปลอดสัมผัสในโดยสิ้นเชิง
วรรคที่ 6 ช่วงหน้ายักเยื้องมาเล่นสัมผัสอักษร ถือว่าใช้ได้
วรรคที่ 7 ไม่มีสัมผัสในที่ช่วงหน้าวรรค
สรุปว่ามีวรรคที่ถือว่าตรงตามแบบฉบับแค่ 3 วรรค ซึ่งไม่ถึงครึ่ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วรรคที่ 5 ถึงกับไม่มีสัมผัสในเลยด้วยซ้ำ
ความจริงแล้วกลอนของสุนทรภู่ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น พระอภัยมณี หรือเล่มอื่นๆ ก็มีวรรคที่มีสัมผัสในไม่ครบนี้อยู่มาก (ถ้าใครขยันและมีเวลาพอก็ลองไปนั่งค้นหาดู) แต่ดูเหมือนไม่ค่อยจะมีใครตั้งข้อสังเกต ด้วยว่าเมื่อเทียบจำนวนกันแล้ว วรรคที่มีสัมผัสในครบแห่งก็ยังมีมากกว่า ที่สำคัญก็คือแม้กระทั่งวรรคที่ไม่มีสัมผัสในเลยก็อ่านรื่นไม่สะดุดเสียด้วย
บางคนอาจกำลังฉงนว่า แล้วมันน่าใส่ใจตรงไหน เขียนกลอนยาวๆ ขนาดนั้น มันก็ต้องมีที่ใส่สัมผัสในได้ไม่ครบบ้างเป็นธรรมดา
ก็ขอบอกว่า ถ้ากลอนที่ผมยกมานี่อยู่กลางเรื่อง ก็คงเป็นธรรมดา แต่นี่เป็นต้นเรื่อง แปลว่าถ้าท่านจะเขียนให้มีสัมผัสในแพรวพราวขนาดไหนก็น่าจะไม่เหลือบ่ากว่าแรงหรอก
แล้วทำไมสุนทรภู่ไม่ได้ใส่สัมผัสในให้แพรวพราวตรงจุดนี้ ?
ห้ามตอบว่าเป็นเพราะตอนต้นๆอย่างนี้ เครื่องยังไม่ร้อน เพราะจะเป็นการตอบแบบกำปั้นทุบดิน แถมดูแคลนความสามารถของสุนทรภู่อีกต่างหาก
ถ้าจะบอกว่าเป็นเพราะสุนทรภู่แต่ง พระอภัยมณี ในช่วงต้นๆ ของชีวิต ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะในนิราศเมืองเพชร ซึ่งเชื่อว่าเป็นนิราศเรื่องสุดท้ายในชีวิตท่านก็มีหลายวรรคที่เป็นอย่างนี้ เช่น
1) ถึงคลองเตยเตยแตกใบแฉกงาม........คิดถึงยามปลูกรักมักเป็นเตย
2) ถึงวัดบางนางชีมีแต่สงฆ์..................ไม่เห็นองค์นางชีอยู่ที่ไหน
หรือหลวงชีมีบ้างเป็นอย่างไร...............คิดจะใคร่แวะหาปรึกษาชี
3) ถึงวัดบางนางนองแม้นน้องมี...............มาถึงที่ก็จะต้องนองน้ำตา
4) พฤกษาออกดอกลูกเขาปลูกไว้.............หอมดอกไม้กลิ่นกลบอบละอองฯ
5) สาธุสะพระองค์มาทรงสร้าง...................เป็นเยี่ยงอย่างไว้ในภาษาสยาม
แต่มีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่ากลอนช่วงหลังของสุนทรภู่ วรรคที่มีสัมผัสในไม่ครบแห่งหรือไม่มีเลยจะเป็นวรรคคู่ของกลอน
วรรคคี่ (ต้น,รอง) กับวรรคคู่ (รับ,ส่ง) ของกลอนนั้น แตกต่างกันตรงที่วรรคคี่จะมีเพียงคำท้ายวรรคเท่านั้นที่ต้อง รับ-ส่ง สัมผัสนอก กับวรรคอื่น จึงไม่มีการพันกันระหว่างสัมผัสนอกและสัมผัสใน ในขณะที่วรรคคู่เพิ่มคำรับสัมผัสนอกที่ตรงกลางวรรคเข้ามาซ้อนตำแหน่งกับสัมผัสในด้วย โอกาสพันกันก็มีมาก
บางตำราถือว่า หากคำใดรับสัมผัสนอกซึ่งเป็นสัมผัสสระแล้ว หากรับ-ส่งสัมผัสสระเป็นสัมผัสในอีก ก็จะทำให้เลือกไม่ถูกว่าจะเอาคำไหนเป็นคำรับสัมผัสนอก จึงตำหนิว่าเป็น สัมผัสเฝือ
จะเห็นว่าสุนทรภู่ท่านก็ไม่ค่อยจะเอาคำที่รับสัมผัสนอกไปสัมผัสในด้วยสัมผัสสระอีก แต่จะยักเยื้องเป็นสัมผัสอักษร หรือสัมผัสตกกระทบ
และบางที ท่านก็ทิ้งสัมผัสในตรงช่วงนั้นไปดื้อๆ (ไม่รวมที่ท่านทิ้งสัมผัสในไปทั้งวรรค)
มีข้อน่าศึกษาว่า ทำไมตรงจุดที่ท่านทิ้งสัมผัสในไปเสียจึงไม่มีอาการสะดุด ?
ตรงนี้แหละเป็นจุดที่ผมเห็นว่าทัศนคติที่กำหนดให้ สัมผัสใน อันแพรวพราวเป็นคุณสมบัติสำคัญของ กลอนสุนทรภู่ นั้น น่าจะคลาดเคลื่อน
เพราะผมสังเกตว่าท่านได้เอา สัมผัสใจ เป็นหลักยิ่งเสียกว่าสัมผัสใน
เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า จุดเด่นประการสำคัญของกลอนสุนทรภู่อีกอย่างหนึ่งก็คือความคมคายของเนื้อความ พูดง่ายๆ คือกลอนของท่านเต็มเปี่ยมไปด้วยรสความ ที่ท่านบรรจงฉายผ่านคำจน กินใจ ผู้อ่าน
และเมื่อใดที่ท่านต้องเลือกระหว่างสัมผัสในกับสัมผัสใจแล้ว ท่านเลือกอย่างหลังทุกครั้ง
อาจมีวรรคที่ไม่ได้เล่นสัมผัสในจนแพรวพราวหรือแม้กระทั่งไม่มีสัมผัสในเลยแทรกปนอยู่ทั่วไปในกลอนสุนทรภู่ แต่ผมไม่เคยเห็นว่ามีสักวรรคที่ เสียความ
ความต่อเนื่องสอดคล้องของเนื้อความ บวกด้วยความราบรื่นของจังหวะและเสียงในวรรคกลอนของสุนทรภู่นี่เองที่มาแทนที่สัมผัสในได้อย่างกลมกลืน จนเราไม่รู้สึกสะดุดเวลาอ่าน
และกลอนหลายๆบทของท่านที่เราต่างจำขึ้นใจนั้น มิใช่เพราะ ความ ที่กินใจของมันหรอกหรือ ?
6 ธันวาคม 2547 11:24 น.
เวทย์
ทวีสุข ทองถาวร นักกลอนอาวุโส อดีตมือทองของธรรมศาสตร์ได้จากลาพวกเราไปแล้ว ด้วยโรคร้าย หลังจากเข้ารับการบำบัดรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช วันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๔๗
พิธีรดน้ำศพที่วัดน้อยนางหงษ์ กทม. เวลา ๑๗.๐๐ น
กราบคารวะ พี่ทวีสุข ทองถาวร
ถ้ากราบลงตรงไหนแล้วใจอ่อน
เป็นวรรคกลอนตัวอย่างช่างสร้าง,สรร
ได้ฟังจากปากกวีที่เขียนมัน
ก็เห็นชั้นเชิงผู้เป็นครูกานท์
หนึ่งในสี่มือทองของธรรมศาสตร์
ผู้สามารถเขียนกลอนแสนอ่อนหวาน
แต่คมคายคล้ายมีดกรีดดวงมาน
ทุกรอยจารจึงพลอยเป็นรอยจำ
พี่สอนว่าอารมณ์ต้องบ่มหน่อย
มิใช่พล่อยเหมือนเผลอเพียงเพ้อพร่ำ
เห็นที่มาที่ไปในถ้อยคำ
และเน้นย้ำให้ละเอียดละเมียดละไม
ถ้ากราบลงตรงนี้แล้วพี่ฟื้น
กราบทั้งคืนก็ยอมพร้อมทำได้
เถิดทุกถ้อยแทนมาลามาอาลัย
ส่งพี่ไปสู่สวรรค์นิรันดร์กาล
27 พฤษภาคม 2546 16:32 น.
เวทย์
ครูไหวฯ ได้เรียบเรียงเรื่อง เสียงโคลง ไว้อย่างน่าสนใจ เลยขอนำมาให้อ่านกัน
เสียงโคลง
สำหรับโคลงสี่สุภาพ กติกาเริ่มต้นคือ เอก ๗ โท ๔ ซึ่งมีเท่านี้จริง ๆ นอกนั้นมากำหนดเพิ่มเติมกันภายหลังทั้งนั้น ซึ่งจะนับเป็นวิวัฒน์ หรือ วิวาท ก็ไม่รู้ อิอิอิ ขอคัดลอกกระทู้เดิมที่เคย post ไว้กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มาปูทางก่อนนะครับ
เช่นเดียวกันกับกวีนิพนธ์ประเภทอื่นๆ กวีแต่ละสมัยได้สอดแทรกประดิษฐการต่างๆ ไว้ในการแต่งโคลง เพื่อให้งานของตนมีลักษณะเด่นเป็นพิเศษขึ้นกว่าธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นประดิษฐการทางฉันทลักษณ์ เช่น การเพิ่ม-ลด จำนวนเอก-โท การเปลี่ยนแปลงลักษณะของการส่ง-รับสัมผัส หรือการเพิ่มตำแหน่งคำสร้อย ทำให้ได้โคลงชนิดใหม่ๆ เพิ่มขึ้น จากการศึกษาวิเคราะห์วรรณกรรมคำโคลงแต่ละสมัยก็ยังพบว่ามีลักษณะร่วมสมัยบางประการที่ได้พัฒนามาเป็นขนบการแต่งโคลง ซึ่งยึดถือกันว่าเป็นลักษณะที่เพิ่มความไพเราะให้แก่โคลง นอกเหนือจากลักษณะทางฉันทลักษณ์ ได้แก่ลักษณะการใช้คำ และลักษณะการใช้สัมผัสใน ดังจะแยกได้ดังนี้
๑.พัฒนาการด้านการใช้คำ การนับคำในร้อยกรองทำได้ ๒ แบบคือ นับแยกหนึ่งพยางค์เป็นหนึ่งคำ หรือนับรวมหลายพยางค์เป็นหนึ่งคำ การเลือกนับคำด้วยวิธีที่ต่างกัน จะทำให้ได้รสของโคลงที่ต่างกัน
๑.๑ การแต่งโคลงโดยนับคำแยกพยางค์ ทำให้เสียงของโคลงมีน้ำหนักชัดเจน พบในงานสมัยต้นอยุธยาเป็นส่วนใหญ่ โดยกวีจะเพิ่มความไพเราะด้วยการซ้ำคำ หรือซ้ำเสียงพยัญชนะ และการเลือกใช้คำเสียงหนักหรือเสียงเบา เพื่อสื่ออารมณ์ดังตัวอย่าง
.....อาจหาญหาญกว่าผู้....................หาญเหลือ
ว่านา ริยิ่งริดนริ.......................................ยิ่งผู้
ลวงกลใส่กลเหนือ...........................กลแกว่น.....กลแฮ
รู้ยิ่งรู้กว่ารู้.....................................เรื่องกล
.....รบินรเบียบท้าว.........................เบาราณ
รบอบรบับยล.................................ยิ่งผู้
ระเบียนรบิการย............................เกลากาพย.....ก็ดี
ระบอดรบัดรู้................................รอบสรรพ (ลิลิตยวนพ่าย)
.....เสียงโหยเสียงไห้มี่..................เรือนหลวง
ขุนหมื่นมนตรีปวง.......................ป่วยซ้ำ
เรือนราษฎร์ร่ำตีปวง....................ทุกข์ทั่ว.....กันนา
เมืองจะเย็นเป็นน้ำ.......................ย่อมน้ำตาครวญ
.....พระไปแม้พระได้...................สมสอง
ไหนจะคืนคงครอง.....................ครอบเกล้า
อย่าคิดอย่าจงปอง......................สองปล่อย.....มาฤๅ
สองจักลองโลมเล้า.....................อยู่ว้าว้าขัง (ลิลิตพระลอ)
๑.๒ การใช้คำมากพยางค์ จะทำให้เสียงของโคลงสะบัดไหว มีจังหวะหนัก-เบา เกิดความไพเราะแปลกหู กวีที่ชอบแต่งโคลงในลักษณะนี้ได้แก่ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ น.ม.ส. และสุนทรภู่ ดังตัวอย่าง
..... หรือวิเวกการะเวกร้อง...................ระงมสวรรค์
เสนาะมิเหมือนเสนาะฉันท์.................. เสนาะซึ้ง
ประกายฟ้าสุริยาจันทร์........................ แจร่มโลก
เมฆพยับอับแสงสอึ้ง............................อร่ามแพ้ประพนธ์เฉลย
.....ประชุมสงฆ์จงเขื่อนขั้น...................หลายขนัด
ดินถมรดมกระดานดัด..........................เกียดกั้น
สนามฝั่งพนังทัด..................................ฝืดยาก
กดานเดาะเฉพาะขาดขั้น......................หลุดลุ่ยขจุยขจาย (โคลงชลอพระพุทธไสยาสน์)
.....สมบัติขัติยผู้...................................ผดุงขัณฑ์
เครื่องราชกกุธภัณฑ์.............................คู่แคว้น
ฉัตรตั้งดั่งไอศวรรย์.............................เสวยราชย์
คนก็นับทรัพย์แร้น...............................สุดหล้าหาไหน (สามกรุง)
.....สวามิภักดิ์รักร่วมเจ้า.......................ชุมพล
แต่จัตุรภุชวุฒิผล.................................ค่ำเช้า
ท่านเคียดอย่าเคียดกล..........................โกยโทษ
ดึงต่อทรยศเข้า....................................เขตต์แคว้นประณมสนอง (โคลงพาลีสอนน้อง)
๒.พัฒนาการด้านการใช้สัมผัสใน
๒.๑ การใช้สัมผัสอักษร โคลงที่แต่งโดยใช้สัมผัสอักษร จะให้น้ำเสียงหนักแน่นชัดเจนกว่าโคลงที่ใสัมผัสสระ และไพเราะกว่าโคลงที่ไม่ใช้สัมผัสในเลย
.....เสด็จทรงเครื่องต้น..............................แต่งกาย.....ท่านนา
สวมสอดสนับเพลาพราย...........................อะเคื้อ
ภูษิตพิจิตรลาย.........................................แลเลิศ.....แล้วแฮ
ทรงสุภาภรณ์เสื้อ.....................................เกราะแก้วก่องศรี (ลิลิตตะเลงพ่าย)
พระยาตรังคภูมิบาล และกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส เป็นผู้นำในการกำหนดแบบแผนการแต่งโคลง โดยให้มีสัมผัสอักษรเป็นระบบในคำที่ ๕-๖ ทุกบาท ตัวอย่าง
..... เบญจศีลทรงสฤษฎิส้อง...................... เสพย์นิพัทธ์.....กาลนา
ปางเบื่อฤๅรางรคน....................................ขาดแท้
เบญจาวิธเวรสงัด......................................สงบระงับ..... เหือดเฮย
ทั่วทุจริตเว้นแว้........................................ว่างงาม (ประชุมจารึกฯ)
๒.๒ การใช้สัมผัสสระ การกำหนดสัมผัสสระ มักเป็นคำที่ ๒-๓ หรือ ๓-๔ ของทุกบาท ดังตัวอย่าง .....ราตรีศรีส่องฟ้า...................................แสดงโฉม
แสงสว่างกลางโพยม................................แจ่มฟ้า
มหรสพจบการโลม..................................ใจโลกย
เบียงบ่ายรายเรียงหน้า.............................นั่งล้อมเล็งแล (กาพย์ห่อโคลงพระศรีมโหสถ)
.....ตวันลงตรงทิศทถุ้ง............................แทงสาย
เซราะฝั่งพังวหุสหาย..............................รอดน้ำ
ขุดเขื่อนเลื่อนทลมทลาย..........................ริมราก
ผนังแยกแตกแตนซ้ำ...............................รูปร้าวปฏิมา (โคลงชลอพระพุทธไสยาสน์)
.....อาณาประชาราษฎร์ทั้ง.......................กรุงไกร
จักสุขเกษมเปรมใจ..................................ชื่นช้อย
ไมตรีพี่ประชุมใน...................................นรนาถ
เป็นบุษบาปรากฎร้อย...............................กลิ่นกลุ้มขจรขจาย (โคลงทศรถสอนพระราม)
.....กาลนี้ที่ไท้ใฝ่........................................รักษา
ป้องกันขัณฑเสมา......................................เขตต์ขั้น
ศัตรูหมู่แสวงหา.......................................ทุษโทษ
ภูมิมณฑลสกลชั้น......................................ประเทศแคว้นแดนกรุง (โคลงราชสวัสดิ์)
สุนทรภู่รับอิทธิพลการแต่งโคลงแบบมีสัมผัสสระเช่นนี้มาใช้ในโคลงนิราศสุพรรณ แล้วเพิ่มสัมผัสขึ้นอีกแห่งหนึ่ง ในคำที่ ๘-๙ ของวรรคสุดท้าย และเพิ่มสัมผัสอักษรในคำที่ ๕-๖ รวมทั้งสัมผัสในที่อื่นๆตามฉันทลักษณ์อีกด้วย ดังตัวอย่าง
.....รอกแตแลโลดเลี้ยว...............................โลดโผน
นกหกจกจิกโจน........................................จับไม้
ยางเจ่าเหล่ายางโทน.................................ท่องเที่ยว.....เหยี่ยวเฮย
โฉบฉาบคาบปลาได้..................................ด่วนขึ้นกลืนกิน (โคลงนิราศสุพรรณ)
หมายเหตุ คัดจากกวีนิพนธ์ไทย ของสุภาพร มากแจ้ง
ขอปิดท้ายสาระกระทู้นี้ด้วยพระดำรัสของเสด็จฯกรมพระนราฯ ที่เคยประทานไว้ในหนังสือดุสิตสมิตดังนี้ค่ะ ...อนึ่งมูลกวยาจารย์ทานกำหนดเสียงสูงต่ำในโคลงโดยผันสำเนียงอักษรไตรยางค์ด้วยไม้เอกไม้โทไว้ในมาตรา แต่ที่แท้ท่านก็หมายเอาเสียงขึ้นลงเปนประมาณในการประพันธ์เพื่อผยองความไพเราะ หากศิษยานุศิษย์สืบมารู้ไม่ถึง ยึดเอาไม้เอกโทตามผันไตรยางค์เปนแก่น พระองค์(หมายถึงรัชกาลที่ ๖)ทรงตระหนักหลักบัญญัติเดิม จึ่งยักทรงใช้เสียงในโสลกโคลงเปนที่ตั้งตามมาตรา หรือแม้แต่เยื้องคำให้สบความสุดแต่ให้ฟังสละสลวยเสนาะสมโสลก เหตุแม้เพียงเล็กน้อยนี้น่าที่จะเปนผลสำคัญแก่กวีการให้เผยผลิกิ่งประพันธนัยเพื่อเพิ่มความไพเราะหรือเก๋กะก้ำ และดื่มเนื้อความล้ำลึกต่อไปในอนาคตกาล เฉกชี้ช่องจูงกวีทั้งหลายให้เห็นทางแสร่มาตราแสร่คำเล่นได้ตามถนัดและสดวกโดยเสด็จพระราชดำริห์... หวังว่าคงเป็นประโยชน์บ้างตามสมควรนะคะ เจ้าของ : ก๊อง, 10/26/2002 4:01:07 PM ลองมาพิจารณาข้อกำหนดของโคลงที่ว่าเอก ๗ โท ๔ ในจินดามณีนะครับ และโคลงแบบบทแรกของประเทศไทย ก็คือ เสียงฦๅเสียงเล่าอ้าง.................อันใด..........พี่เอย ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ เป็นที่แปลกแต่จริงว่าในลิลิตพระลอซึ่งนำมาเป็นต้นแบบนั้น มีโคลงแบบเช่นนี้อยู่เพียงบทเดียว!!! คำถามคือ ทำไมเป็นเช่นนั้น
คำถามว่ากวีโบราณไม่สามารถบรรจุคำเอก ๗ โท ๔ ได้จริง ๆ หรือ คำตอบคือไม่ใช่ เพียงแต่กวีโบราณเห็นว่า เสียง สำคัญกว่ารูปนั่นเอง อีกประการหนึ่ง ผมเคยได้ยิน คน ๑ ตำหนิถากถางเจ้าฟ้ากุ้งอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ ว่าพระนิพนธ์นั้นสักแต่ว่ามีเสียงเป็นโคลงเท่านั้น ด้วยไม่ทรงเคร่งครัดต่อฉันทลักษณ์ และหลุดเอกเป็นประจำ!!! ฟังแล้วก็ให้กลุ้มนะครับ
ขอพูดถึงเรื่องบังคับเอกหน่อยนึง เป็นที่ยอมรับกันแล้วว่า คำตายสามารถใช้แทนเอกได้ แต่อย่างไรก็ดี ลางตำราก็ยอมรับให้ใช้คำลหุแทนเอก รวมไปถึงคำนฤคหิตแทนเอก (ตำราหลังไม่ค่อยแพร่หลายมากนัก ลูกศิษย์ลูกหาไม่มาก) ปัญหาจึงเกิดขึ้นตรงใช้ลหุแทนเอกนี่เอง เพราะคำลหุนั้น โบราณใช้หูฟัง เนื่องจากการถ่ายทอดวรรณคดีเน้นมุขปาฐะเป็นส่วนใหญ่ ไม่เหมือนปัจจุบัน ที่ใช้รูปเป็นตัวตัดสิน คำบางคำนั้นโดยรูปแล้วเป็นลหุ แต่เมื่อไปเทียบคำลหุบางคำ ลหุนั้นอาจกลายเป็นครุไปได้ หรือครุบางคำเมื่อนำไปตามครุบางคำ ก็กลายเป็นลหุไปได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้น คน ที่ตำหนิเจ้าฟ้ากุ้ง ลองพิจารณาดูใหม่ด้วยใจเป็นธรรมเทอญญญญ
ตานี้มาเข้าเนื้อหาของกระทู้จริง ๆ เสียที อยากให้เพื่อน ๆ ลองอ่าน อาอาอาอ่าอ้า....อาอา ฯลฯ ไปจนจบก่อนนะครับ และขอชี้ว่านี่คือมาตรฐานขั้นต่ำของโคลง คือตรงบังคับเอกนั้นจะต้องมีเสียงเหลื่อมขึ้นจากคำหน้า ๑ ระดับ และบังคับโทก็จะเหลื่อมขึ้นไป ๑ ระดับเช่นกัน ถือเป็นเพลงมาตรฐาน แต่อย่างไรก็ดี อย่างที่เราทราบ ๆ เพลงไทยเดิมของเราจะมีอยู่ ๒ แนว คือ แนวหวาน และแนวดุ ดังนั้นโคลงแบบจากลิลิตพระลอจึงนับเป็นโคลงดุ ค่าที่รับส่งสัมผัสด้วยเสียงโลดโผน และโคลงแบบจากนิราศนรินทร์นับเป็นแนวหวาน ค่าที่รับส่งสัมผัสด้วยระดับเสียงที่เท่ากัน
ถ้าจะแต่งโคลงให้ง่าย ๆ จืด ๆ และไม่มีผิด ขอแนะนำให้รับส่งสัมผัสด้วยระดับเสียงเท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นคู่โท หรือ ๓ คำนั่น แต่ถ้าจะโลดโผน ก็มีคำแนะนำดังนี้ ท้ายบาทแรกให้ลงด้วยเสียงสูงเข้าไว้ คำที่ ๕ ของบาท ๒ อาจเป็นสามัญ หรือ เสียงสูงก็ได้ แต่สามัญน่าจะดีกว่า เพราะเสียงส่งมาสูง เสมือนลูกตบ ฝ่ายข้างนี้ก็ต้องงัดขึ้นนั่นเอง ในบาท ๓ เนื่องจากบาทนี้ต้องอ่านโดยเอื้อนเสียงสูง เพราะฉะนั้นใน ๔ คำแรก ควรมีเสียงสูงสอดแทรก เพื่อให้เอื้อนได้สะดวก ส่วนคำที่ ๕ จะเป็นเสียงสูงหรือไม่ ให้ดู ๔ คำแรก ถ้า ๔ คำแรกมีแล้ว คำที่ ๕ อาจไม่จำเป็น แต่ถ้า ๔ คำแรกไม่มี คำที่ ๕ ควรมีเสียงสูง
ตานี้มาพูดถึงคู่โท ตำราเค้าบอกว่ารูปโทนั้นมีอยู่ ๒ เสียงคือ เสียงโทตามรูป เสียงตรี กติกาเค้าว่า ถ้าขึ้นโท ค ว ร รับด้วยตรี และถ้าขึ้นตรี ต้ อ ง รับตรี แต่กฎทุกกฎมีข้อยกเว้นนาคร้าบ อย่างที่ลุงเวทย์พูดบ่อย ๆ ต้องดูความด้วยนา แหะ แหะ
ขอพูดเรื่องบังคับเอกอีกที คำที่อยู่หน้าเอก ไม่ควรมีเสียงข่มเอก คืออย่างไรก็ตาม ตรงบังคับเอก เสียงต้องเหลื่อมให้ได้อย่างน้อย ๑ ระดับ จะเหลื่อมลง หรือ เหลื่อมขึ้นก็ได้ แต่ควรเหลื่อมขึ้นมากกว่า คำเอกที่มีปัญหามากที่สุด และควรระมัดระวังมากที่สุดเพื่อมิให้เสียงโคลงแกว่ง คือเอกคำที่ ๗ ในบาทที่ ๓ คำที่ ๖ นั้น ที่ดีที่สุดคือเสียงสามัญ รองลงมาคือเสียงสูง อื่น ๆ นอกนั้นอย่าใช้เลยครับ
สรุปว่า..ว่าอะไรดีล่ะครับ ผมว่ามันเหมือนกับการแต่งเพลงนั่นแหละ แล้วแต่แนวทางถนัดของแต่ละคน ชอบลูกทุ่ง ก็ว่าลูกทุ่งเพราะ ชอบลูกกรุงก็ว่าไปอีกทางนึง เพราะฉะนั้นจะเอารสนิยมของใครไปตัดสินใครนี่ เห็นจะไม่ได้การ วิธีที่ดีที่สุดคือ เมื่อแต่งเสร็จแล้ว ลองเอื้อนทำนองเสนาะดู ถ้าไม่ติดขัด ไม่แปร่ง ถือว่าใช้ได้ เพราะการอ่านออกเสียง อารเอื้อน จะช่วยเราได้บ้างเล็ก ๆ หากรูปหรือเสียงเพี้ยนไปจากที่ควรจะเป็น ยกตัวอย่างคำว่า มาลา นักร้องไปออกเสียงว่า ม้าลา เซี้ยนี่ (ตามตัวโน้ต) คงหอมหึ่งอะนะ รู้จักเพลงนี้กันหรือเปล่าเอ่ย ทำนอง GYPSY MOON ชื่อเพลงจันทร์กระจ่างฟ้าน่ะครับ จันทร์กระจ่างฟ้านภาประดับด้วยดาว โลกสวยราวเนรมิตประมวลเมืองแมน ลมโชยกลิ่นมาลากระจายดินแดน ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ
มีอะไรอีกเอ่ย อ้อ...ข้อกำหนดที่พูดมาทั้งหมด อาจใช้บังคับไม่หมดกับการส่งสัมผัสด้วยคำตายนะครับ โดยเฉพาะคำตายเสียงโท ยักเยื้องได้ยากมาก ต้องรักษาระดับเป็นพื้น แต่ถ้าเป็นคำตายเสียงตรี ยังพอเล่นได้มั่ง ฮี่ฮี่ฮี่ คำแนะนำสุดท้ายคือ หาวรรณคดีไทยอ่านเยอะ ๆ เทอญ อ่านให้เสียงชำแรกเข้าสู้โสตประสาท อย่าไปอ่านในใจเข้าล่ะ อุอุอุ ส่วนเรื่องอื่น ๆ ไว้นึกขึ้นได้ก่อนนะครับ ตอนนี้เมื่อยแล้วง่ะ แหะ แหะ
มีอีกเรื่องที่อยากพูดถึงอะนะครับ (แฮ่..ดีใจ นึกว่าจะไม่มีคนอ่านซ้า อุอุอุ) แบบว่าสมัยก่อนนั้น วรรณยุกต์ไทยมีแค่ เอก กะ โท ง่ะ ไม่รู้ว่าเป็นเหตุผลด้วยหรือเปล่าที่มีบังคับเอก กะ โท เท่านั้น หรือว่าใช้เป็นสัญญลักษณ์เพื่อเลื่อนระดับเสียงอย่างรับสั่งเสด็จฯกรมพระนราฯ เพื่อน ๆ คิดเห็นเป็นไงครับผม
ว่าแล้ว... นี่ก็เป็นอีกเหตุผลนึงมั้งครับที่เล่นตัว แบบว่ากลัวไม่มีคนอ่านง่ะ เพราะภาคทฤษฎีอย่างเงี้ย ค่อนข้างน่าเบื่อ ขอเพิ่มเติมนิดละกัน อันว่าข้อกำหนดต่าง ๆ ในการจารโคลง มีการเปลี่ยนแปลงเป็นระยะเรื่อยมา บางครั้งก็เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านในเมืองเป็นคนเปลี่ยน ทำให้ไม่มีคนกล้าหือ เพราะผ่านยุคผ่านสมัย เก๊าะเลิกตาม เช่นเขียนโคลงดั้นไม่ร้อยสัมผัส เขียนโคลงดั้นไม่ใช้โทคู่ เขียนโคลงสี่แต่จะใช้โทคู่ (ใครจะทำไม) ฯลฯ ลูกศิษย์ลูกหาที่ซื่อสัตย์ แล้วยึดถือต่อ ๆ มาก็มี เลยเป็นข้อพิพาทกันอยู่เสมอ ๆ ในสมัยปัจจุบัน แหะ แหะ
เห็นเพื่อน ๆ หลายคนเขียนในแนวข้อห้าม เลยอยากยกมาพูดถึง แต่ถ้าจะเขียนต่อ ๆ ไป ก็ไม่มีใครว่าหรอกนะครับ (บ้านนี้นา..บ้านอื่นมะยู้) คือกติกาเค้าบอกว่า คำที่รับส่งสัมผัสในโคลงภาคบังคับเนี่ยมีอยู่ ๕ คำ ได้แก่คู่โท และท้ายวรรค ๓ คำนั่น ครือเค้าบอกว่าห้ามซ้ำเสียงง่ะ แบบว่าตำราว่ามาแค่นี้ แต่ส่วนตัวผมนิยมรับสัมผัสคู่โทตัวสุดท้าย กับคำที่ ๗ และ ๘ ของบาทที่ ๔ แบบว่าจะล้อ ๆ เพลงพื้นบ้านของไทย เพราะเห็นว่าลักษณะการรับ-ส่งสัมผัสของโคลง มีส่วนคล้ายกลอนหัวเดียว แต่เวลาจะลง จะเหมือนกลอนทั่วไป ผมเลยเอามาใช้มั่ง อิอิ สรุปว่า ทำไรทำเทิ้ดอย่าเปิ๊ดผ้า ทำไรไม่ว่าผ้าอย่าเปิ๊ด ฮี่ฮี่ฮี่