15 ตุลาคม 2545 10:07 น.
เวทย์
ลุงน่ะเริ่มเขียนกลอนก่อนหลานเกิด
ไม่เลอเลิศแต่มิใช่ไร้ชื่อเสียง
เพราะครุ่นคิดประดิษฐ์ถ้อยมาร้อยเรียง
มิใช่เพียงปากพล่อยคอยถากคน
ด้วยเคารพบทกวีว่ามีค่า
สูงเกินกว่าหยิบใช้ไร้เหตุผล
รำลึกไว้ว่าชั้นปัญญาชน
ไม่ทำตนเกะกะเที่ยวระราน
ทุกบทกลอนสะท้อนเงาให้เขาเห็น
ชี้ว่าเป็นบัณฑิตรู้คิดอ่าน
ไม่แบ่งพวกแบ่งชั้นไม่อันธพาล
แต่เจือจานน้ำใจให้ผู้คน
ลุงอาศัยบทกวีชี้ถูกผิด
เหมือนบอกทิศผู้หลงทางสร้างกุศล
ถ้อยต่ำช้าสามานย์ประจานตน
หรือเพ้อบ่นไร้สาระจะไม่ทำ
จึงพอให้เขายอมรับแล้วนับถือ
ซึ่งก็คือผลที่ใจไม่ใฝ่ต่ำ
ไม่เคยให้ตัณหามาครอบงำ
เพราะว่ากรรมย่อมสนองเจ้าของเอง
11 ตุลาคม 2545 10:11 น.
เวทย์
เริ่มจากที่มีรอยเท้าก้าวเดินผ่าน
พอเนิ่นนานเกิดเป็นทางไว้ย่างก้าว
ไม่ว่าทางสายนั้นสั้นหรือยาว
บอกเรื่องราวหลากหลายเหมือนลายแทง
จากจุดเริ่มก้าวรุดสู่จุดหมาย
ทางหนึ่งสายทอดไปถึงอีกหนึ่งแห่ง
ขอเพียงเธอยังไม่ไร้เรี่ยวแรง
อาจถึงแหล่งที่อยากไปตามใจคิด
เพียงกำหนดเส้นทางวาดวางไว้
เพื่อมิให้เคว้งคว้างเดินทางผิด
นอกจากทางที่มีอยู่ต้องรู้ทิศ
เผื่อทางปิดก็จำเป็นเปลี่ยนเส้นทาง
แม้ไม่มีเส้นทางอยู่ข้างหน้า
จงฟันฝ่าอย่ายอมให้อะไรขวาง
ทะเลลึกเขาสูงชันมากั้นกาง
คนยังสร้างทางได้ไม่จำนน
การไปสู่จุดหมายปลายทางฝัน
ข้อสำคัญคือสังเกตใช้เหตุผล
เดินตามทางที่กำหนดอย่างอดทน
หากวกวนเวียนวงอาจหลงทาง
อย่าประมาทขาดระวังจนพลั้งผิด
อย่าสิ้นคิดยอมแพ้แก่สิ่งขวาง
อย่าหลงเล่ห์ที่ปกคลุมปิดหลุมพราง
ห้ามอีกอย่างคืออย่าหลับตาเดิน
10 ตุลาคม 2545 08:13 น.
เวทย์
บทเริ่มของน้ำค้างระหว่างค่ำ
แต้มหยดน้ำเกาะผนึกตามพฤกษา
ไร้แววพร่างกลางแสงแห่งจันทรา
รอเวลารับแดดอ่อนตอนอรุณ
พร้อมวาดหวังรังรองของชีวิต
เมื่อใช้สิทธิโลมไล้ไอแดดอุ่น
แสงทองที่ทาบฟ้าอ่าละมุน
จะเกื้อหนุนให้น้ำค้างพร่างประกาย
จนก่องเก็จเพียงแก้วเพริศแพรวแสง
อวดค่าแห่งเพชรน้ำค้างอย่างเฉิดฉาย
ล้อริ้วลมด้วยทีท่าที่ท้าทาย
สะท้อนพรายแดดระยับงามจับตา
โดยเปลวแดดอุ่นอ่อนตอนเช้าตรู่
สัมผัสสู่น้ำค้างสร้างคุณค่า
น้ำค้างซึ่งเป็นหยดน้ำธรรมดา
กลับเจิดจ้าจนใครใครหลงใหลมัน
แล้วโลกซึ่งความพอดีมีไม่มาก
ก็เริ่มลากเส้นผ่านการแปรผัน
ชีวิตของน้ำค้างตอนกลางวัน
ถูกผลักดันสู่บทหมดประกาย
ต้อนรับการเผาไหม้ให้เหือดแห้ง
ท่ามกลางแสงแดดจ้าเพลาสาย
แดดที่ย้อมน้ำค้างให้พร่างพราย
ได้ทำลายน้ำค้างลงอย่างเคย
7 ตุลาคม 2545 16:49 น.
เวทย์
ดอกหางนกยูงสีแดงฉาน
บานอยู่เต็มฟากสวรรค์
คนเดินผ่านไปมากัน
เขาดั้นด้นหาสิ่งใด
ปัญญามีขายที่นี่หรือ
จะแย่งซื้อได้ที่ไหน
อย่างที่โก้หรูหราราคาเท่าใด
จะให้พ่อขายนามาแลกเอา
ฉันมาฉันเห็นฉันแพ้
ยินแต่เสียงด่าว่าโง่เง่า
เพลงที่นี่ไม่หวานเหมือนบ้านเรา
ใครไม่เข้าถึงพอเขาเยาะเย้ย
นี่จะให้อะไรกันบ้างไหม
มหาวิทยาลัยใหญ่โตเหวย
แม้นท่านมิอาจให้อะไรเลย
วานนิ่งเฉยอย่าบ่นอย่าโวยวาย
ฉันเยาว์ฉันเขลาฉันทึ่ง
ฉันจึงมาหาความหมาย
ฉันหวังเก็บอะไรไปมากมาย
สุดท้ายให้กระดาษฉันแผ่นเดียว
มืดจริงหนอสถาบันอันกว้างขวาง
ปล่อยฉันอ้างว้างขับเคี่ยว
เดินหาซื้อปัญญาจนหน้าเซียว
เทียวมาเทียวไปไม่รู้วัน
ดอกหางนกยูงสีแดงฉาน
บานอยู่เต็มฟากสวรรค์
เกินพอให้เจ้าแบ่งบัน
จงเก็บกันอย่าเดินผ่านเลยไป !
5 ตุลาคม 2545 09:39 น.
เวทย์
หอบเอาความเดียวดายสุดปลายปีก
บินเลาะหลีกเรื่อยมาในป่ากว้าง
ค่ำคืนนี้ยังคงบินหลงทาง
ทนอ้างว้างเหว่ว้าอีกราตรี
ฟ้าค่ำแล้วยังบินร่อนไร้คอนจับ
ใครจะรับปลอบใจบ้างไหมนี่
นกขมิ้นบินหลงกลางพงพี
ยังไม่มีตรงไหนใครเมตตา
บินไปเกาะกิ่งไหนเขาไล่ส่ง
เหมือนเจาะจงเกลียดชังเราทั้งป่า
นกขมิ้นบินร่อนสัญจรมา
ทนอ่อนล้าอีกหน่อยคอยน้ำใจ
เจ้านกขมิ้นเหลืองอ่อน
เจ้าจะร่อนพักลงที่ตรงไหน
นกขมิ้นบินคว้างอยู่กลางไพร
แอบร้องไห้เมื่อไม่มีที่ให้นอน