2 กันยายน 2548 20:37 น.
เรไร
ผมใฝ่ฝันอยู่เสมอว่า ...
อยากบินได้เหมือนนก
ร่อนถลาไปยังถิ่นไกล
ไปตามใจที่ปรารถนา
ไปให้สุดผืนแผ่นพสุธา
จนถึงขอบฟ้านภาลัย
22 สิงหาคม 2548 01:52 น.
เรไร
พ่อครับพ่อ.....
ทำไมเราต้องขี่จักรยานด้วยล่ะพ่อ...ทำไมไม่ขับรถไปรับผมที่โรงเรียนละครับ
เราออกกำลังกายนี่ลูก เรามีแต่จักรยาน..ผมตอบลูกชายไปอย่างนั้น
พ่อทำไม เราไม่ไปกินไก่ทอดตามห้างกันบ้างล่ะครับ..เพื่อนผมเขาไปกินกับพ่อแม่เขาเกือบทุกวัน
ทำไมพ่อถึงทำแต่ผัดบวบใส่ไข่ ปลาทอดให้ผมกินเกือบทุกวันเลยล่ะครับ...
ลูกชายช่างพูดของผมช่างซักช่างถาม...ตามความเดียงสาของเขา
เป็นอาหารไทยนี่ลูก เราคนไทยก็ต้องกินอาหารไทยสิ เดี่ยวเอาไว้เราไปตลาดด้วยกัน
แล้วพ่อจะซื้อปีกไก่ กับน่องมาทอดให้กินน่ะลูก...กินนี่ไปก่อนแล้วกัน ปลานิลทอด
ที่เราไปตกกันมาเมื่อตอนบ่ายไงใส่กระเทียมด้วยน่ะ ... ผมมองดูปลานิลตัวเท่าฝ่ามือสองตัวที่ไปตกมาเมื่อบ่ายนี้
กับลูกชายสองคน นอนอยู่ในจานใบเล็กๆ แล้วก็มีผัดบวบใส่ไข่สำหรับลูกชายที่เป็นยิ่งกว่าดวงใจของผม
หลายต่อหลายคำถาม พ่อครับทำไมเราไม่มีอย่างนั้น ทำไมเราไม่มีอย่างนี้ ทำไมผมไม่มีแม่....
......คำถามมากมายที่ผมไม่อาจตอบไปตามความเป็นจริง...เพราะความจริงมันเจ็บปวดเกินกว่าที่จะบรรยาย
ด้วยสรรพเสียงใดๆ เกินกว่าที่หัวใจของเด็กตัวน้อยๆ ควรจะรับรู้....
หลายต่อหลายคนแถวๆบ้านคงชินภาพที่ผู้ชายคนนึงขี่จักรยาน มีเด็กตัวเล็กๆซ้อนท้าย
คอยถือกระป๋องใส่เหยื่อตกปลา ผมมันจะพาลูกชายผมไปตกปลาด้วยกันในวันหยุด เอาข้าวใส่ปิ่นโตไป
นั่งกินข้าวด้วยกัน ใต้ร่มต้นฉำฉาใหญ่ ใกล้ๆบ้าน
นานๆ ครั้งถึงจะพาเขาไปเล่นเครื่องเล่นตามห้างสรรพสินค้า เขาดูมีความสุขดีตามประสาเด็กๆ
ผมสอนให้เขากินขนมไทยๆ ไม่ใช่ขนมถุงที่มีแต่ห่อเท่านั้นที่สีสวยน่ากิน
ผมสอนให้เขาเล่นดนตรี หัดให้เขาตีขิม หวังเพียงว่าเขาจะมีจิตใจที่สงบเยือกเย็น
เขาไม่ชอบที่จะเล่น เขาชอบที่จะฟังมากกว่า ก่อนนอนทุกคืน ผมไม่เคยร้องเพลงกล่อม เพียงเล่านิทาน
ให้เขาฟัง เมื่อเล่านิทานจบเขาจะให้ผมเล่นขิมให้ฟัง จนเขาหลับไป...
ชีวิตก็เพียงเท่านี้แหละ มีความสุขเท่าที่จะหาได้ ไม่ขว่คว้าอะไรที่มันเกินตัว เพราะมันคงไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง
และมันคงไม่ยั่งยืนนาน
....ผมไม่รู้หรอกว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร
เขาจะเติบโตไปเป็นอย่างไร
ผมรู้แค่เพียงว่า มื้อนี้...วันนี้เขาต้องมีข้าว มีนม มีขนมกิน มีของเล่นเล็กๆน้อยๆ
ถึงผมจะต้องอด เขาจะต้องอิ่ม ผมคิดแค่นั้น
หลายคนดูถูกเหยียดหยามว่าผมทำไม่ได้ ผมไม่สามารถใช้ชีวิต อยู่กับลูกชายเพียงสองคนได้
ไม่สามารถเลี้ยงดูเขาให้เติบโตไปเป็นคนที่ดีได้...ผมไม่รู้เหมือนกันว่าผู้คนใช้สิ่งไหน ใช้อะไร
ตัดสินความเป็นไปของชีวิตคนอื่น ที่มิได้เป็นแบบของตัวเองก็ว่ามันไม่ดี????
.... 1 ปีผ่านไป ...
ผมใช้ชีวิตอย่างที่เคย อย่างที่เป็น พยายามทำทุกวันให้เป็นวันที่ดีที่สุด
...พ่อครับแม่มาหาผมที่โรงเรียบ แม่บอกว่าจะมารับผม แม่อยากให้ผมไปอยู่กับแม่
เสียงลูกชายบอกกับผมปนน้ำเสียงสะอื้น เขาร้องไห้ ในเย็นวันหนึ่งหลังจากผมขี่รถไปรับ
เขากลับมาจากโรงเรียนไม่นานนักแม่ของเขาก็ขับรถยนต์คันงาม มาที่บ้าน..แล้วพูดว่า
" ฉันจะมารับลูกของฉันไปอยู่ด้วย อยู่กับเธอลูกลำบาก ดูสิเสื้อผ้าก็มอมแมม
ลูกได้กินนมกินขนมบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ พาไปไหนบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ ฉันรับไปอยู่กับฉันดีกว่า "
... ตลอดเวลาที่เธอพูด ผมคงทำได้เพียงแต่นั่งเงียบ คิด คิด คิด คิด แล้วก็คิด จนไม่รู้จะคิดอะไร ไม่รู้จะคิดทำไม
ผมหันไปทางลูกชาย ถามเขาเบาลูกสนุกไหมอยู่กับพ่อ
" สนุกสิครับ พ่อขี่จักรยานไปส่งผมทุกวันเลย "
ลูกมีขนมกินไหม อยู่กับพ่อ
" มีสิครับพ่อ กินฟักทองแกงบวด กล้วยบวดชี อีกตั้งหลายอย่าง "
และอีกหลายคำถามที่ผมถามลูกชายไป ได้คำตอบที่ใครได้ยินแล้วก็ต้องมีความสุข
แต่...ผมไม่กล้าถามลูกชายว่าอยากไปอยู่กับแม่ไหม ผมไม่กล้า ไม่กล้าเลยจริงๆ
แม่ของเขาเดินไปเก็บเสื้อผ้าของลูกชายซึ่งมีอยู่ไม่กี่ตัว เก็บหนังสือการ์ตูน แล้วหันมาบอกกับผมว่า
ถ้าไม่จำเป็นไม่ต้องโทรไปหา ไม่ต้องไปหา ไม่ต้องไปให้ลุกเห็นหน้าลูกจะไขว้เขว หวังว่าคงจะเข้าใจน่ะที่พูดมา
แล้วก็ดึงตัวลูกชายขึ้นรถขับออกไป ผมทำอะไรไม่ถูก ได้ยินเพียงเสียงร้องไห้ของเจ้าตัวเล็ก
ยังดังก้องอยู่ในหู อยู่ในความรู้สึก ดังก้องในหัวใจที่แหลกสลายลงเดี๋ยวนั้น
ผมไม่รู้จะทำอะไรต่อไป ทำเพื่ออะไร และจะอยู่อย่างไร........
...หลายเดือนต่อมา...
มีจดหมายมาเสียบไว้ตรงประตูบ้าน ผมรีบแกะออกดูในนั้นมีการ์ดสีน้ำเงินใบหนึ่งเป็นการ์ดที่ทำขึ้นเอง
ลายมือที่ผมเคยจับมือเขียน จำได้มาจากลูกชายของผม
ผมยิ้ม ผมดีใจ อยู่คนเดียวแต่ทำไมขอบตามันร้อนผ่าวก็ไม่รู้ ความรู้สึกที่บอกไม่ถูก แล้วยิ่งอ่านข้อความในนั้น
เขียนด้วยลายมือตัวโย้ๆ เขียนไว้ว่า " ผมรักพ่อ "
12 สิงหาคม 2548 10:30 น.
เรไร
ที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
คืนหนึ่งในหลายๆค่ำคืน
ผมแวะไปเยี่ยมเยียนสหายเก่าแก่ ที่ผันตัวเองมาเป็นเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า
กินเงินเดือนข้าราชการเดือนไม่กี่บาท แค่ซื้อข้าวเหนียวกับลูกแป้ง น้ำตาลทราย
มาหมักผ่านกรรมวิธีทำน้ำขาวไว้กินเองยังแย่เลย เฮ้ย ........ ชีวิต
ผมก็เช่นกันวิถีชีวิตคล้ายๆกันกับมันนั่นแหละ...พอกัน เฮ้ย...ชีวิต
แต่เรามักไปนั่งคุยกันโดยมีสุราเป็นตัวประสาน นั่งคุยกันเล่าเรื่องตลกโปกฮา
ลามก สารพัดที่จะขุดกันขึ้นมาได้ เล่นกีตาร์ เป่าใบไม้ ร้องรำทำเพลง สนุกสนาน
แต่มีเรื่องหนึ่ง คือการท้าทายความเชื่อมั่นของคนที่ตัวเองรัก
เรียกกันซื่อๆเลยแล้วกันว่า....... เ มี ย...
......เพื่อนผมมันชื่ออ๊อด
อยู่มันพูดขึ้นมาลอยๆว่า เอ็งเชื่อไหมว่าเมียข้าน่ะไม่เชื่อคำพูดใครหรอก
นอกจากข้าคนเดียวดีอยู่อย่างนึง ไม่มีปัญหา อยู่ในโอวาททุกอย่าง
ผมก็ถียง ..เฮ้ย..เอ็งโม้ป่าวว่ะ เห็นอยู่ต่อหน้าเมียทีไร
เป็นงูหลามถูกเชือกกล้วยทุกที
อย่ามาราคาคุยดีกว่า เหม็นขี้ฟัน
ไอ้อ๊อดมันบอกว่า เอ็งไม่เชื่อใช่ไหม เอ็งลองไปอำเลยก็ได้
แล้วหน้าอย่างเอ็งด้วยนี่น่ะ บอกคำเดียวเลยยากส์.......
...เออ..ข้าจะลองดู..อย่ามาโกรธกันทีหลังน่ะโว้ย ผมบอกมันไปอย่างนั้น
หลายๆคนที่ร่วมวงสนทนาอยู่ได้ยินกันทุกคน จนดึกดื่นฤทธิ์ของน้ำขาวโอ่งนั้น
ทำเอาทุกคนสลบไสล......
......เช้าวันรุ่งขึ้น
ไอ้อ็อดข้าจะกลับแล้วน่ะโว้ย ที่เอ็งพูดเรื่องเมียเอ็งเมื่อคืน เมาหรือเปล่า
มันสวนมาทันที ไม่เมาโว้ยเอ็งไปลองอำได้เลย รับรองว่าไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด
เออ....ข้าจะลองดู
จนรุ่งเช้าอีกสองวัน ต่อมาเป็นวันหยุด วันอาทิตย์ล่ะมั้ง
ที่หน้าบ้านอ็อด ผมยืนเคาะประตูบ้านมัน ก๊อกๆๆๆๆๆ
......อ็อด อ็อด ......
เสียงลูกบิดดัง เก๋ เมียไอ้อ็อดเปิดประตูออกมา พอเจอหน้าผมก็พูดว่า
อ้าวพี่มาไงล่ะนี่ พี่อ็อดไม่อยู่หรอกอยู่อุทยานโน่น
ผมบอก อ้าว.... ก็นัดกับมันเมื่อสองวันก่อนขึ้นไปหามันที่นั่นมา
มันบอกว่าให้มาหาวันนี้......เก๋ถามว่า มีอะไรกันหรือพี่
...ผม ..ไม่มีอะไรหรอก มันบอกว่าจะลงมาตั้งแต่วันเสาร์
เห็นว่ามันถูกหวยสามตัวบน ตัวตรง
ได้มาตั้งหลายหมื่น มันจะชวนไปกินอะไรกันน่ะ
เก๋ทำท่าทางตกใจแล้วบอกว่า อ้าวพี่เก๋ไม่รู้เรื่องเลย
วันก่อนพี่อ็อดโทรมาก็ไม่เห็นว่าอะไร
ผม... อ้าวงั้นพี่ไปก่อนน่ะ ยังไงอ็อดมาแล้วก็โทรหาพี่ด้วยแล้ว
ผมพูดแล้วก็เดินอมยิ้มจากมา..อิอิอิ(เสร็จข้าล่ะไอ้อ็อด)
ผมปิดโทรศัพท์ หลังจากนั้นอีกสองวัน มีกระดาษแผ่นเล็กๆ
เสียบไว้ที่ประตูบ้าน
ข้อความเขียนไว้ว่า ........
......เอ็งไม่น่าทำข้าเลย อำเรื่องอะไรไม่ทะลึ่งมาอำเรื่องนี้ พอข้ากลับบ้านเมียข้าสอบสวนข้ายังกะว่าข้าเป็นผู้ต้องหา นี่ข้าต้องไปนอนบ้านแม่มาคืนนึงแล้ว ยังไงเมื่อเอ็งอ่านจดหมายนี้แล้วเอ็งไปที่บ้านข้าหน่อยแล้วกัน ขอร้องเถอะว่ะ.....
.....ผมรีบไปทันทีเลยพอเจอหน้ามันเหมือนนักมวยไปต่อยมวยมาสัก 100 ยกได้มั้งดูบอบช้ำเหลือเกิน กว่าจะอธิบายให้ เก๋ฟังแล้วเข้าใจว่าเป็นการอำกัน กว่าจะเข้าใจกันตั้งนาน แถมยังมาทำตาเขียวเหมือนดุผมอีก..บอกว่าเล่นอะไรกันอย่างนี้ ....ผมก็พูดอะไรไม่ออก( ในใจแอบขำอยู่คนเดียว ๕๕๕๕๕๕) กว่าจะปรับความเข้าใจกันได้ก่อนออกจากบ้านไอ้อ๊อด ได้ยินเสียงเบาๆตามหลังมาว่า
...ครอบครัวร้าวฉานคืองานของมัน เสียงไอ้อ็อดพึมพำ
10 สิงหาคม 2548 12:42 น.
เรไร
เรื่องหมาๆ
หมามีหลายประเภท หมาพันธุ์แท้ หมาพันธุ์ทาง
ใครเคยเลี้ยงหมาคงรู้ถึงความน่ารัก ความซื่อสัตย์ที่มันมีต่อเจ้าของแล้วก็อีกนั่นแหละ ใครเคยถูกหมากัด
คงเข็ดขยาดกับการที่ต้องไปฉีดยากันพิษสุนัขบ้า ยิ่งเมื่อก่อนต้องฉีดรอบสะดือเป็น สิบๆเข็ม รับรองได้เลยว่าชีวิตนี้จะไม่เดินเฉียดเข้าไปใกล้หมาอีกเลย
คงเคยเห็นหมาถูกทำร้าย ถูกคนเมาเตะ ถูกเจ้าของตี ถูกรถชน จนพิการ อีกหลายต่อหลายอย่างแล้วแต่เวรกรรมของมัน บางทีเห็นแล้วก็อดจะสงสารมันไม่ได้ แต่บางทีเห็นแล้วก็สมน้ำหน้ามัน ดันทะลึ่งเกิดมาเป็นหมา...
ผมเคยเลี้ยงหมาอยู่ตัวหนึ่ง ไม่ใช่สิมันไม่ใช่หมาของผมหรอก แต่ผมจำเป็นมากกว่าที่ต้องเลี้ยงดูมันต่อไป มันเป็นของคนที่ผมเคยรัก และเคยรักผม แต่เธอจากไปแล้วทิ้งมันไว้กับผม มันเป็นดัลเมเชี่ยนตัวเมียชื่อว่า...ชาช่า (ตั้งชื่อตามยี่ห้อสุราชนิดหนึ่งครับ)
มันเป็นหมาที่แสนซุกซนดื้อ ชอบกัดทำเลยข้าวของ รองเท้าเป็นของเล่นมันไปหลายคู่แล้ว แต่มันยิ้มได้ ยิ้มจริงๆไม่ใช่แยกเขี้ยว ใครที่เคยเห็นมันแล้วจะเชื่อ
(แล้วจะมีใครเห็นมั้ยเนี่ย) แต่มันดื้อ ดื้อจริงเคยเอาหนังสือพิมพ์มาม้วนเป็นแท่งเอาๆไว้สำหรับทำโทษมัน เพราะเวลาตีมันจะเกิดเสียงดังได้ผลเสมอ เมื่อบอกให้มันหยุดพร้อมกับหยิบม้วนหนังสือพิมพ์ที่ม้วนไว้ มันจะกลัว และหายดื้อไปในทันที ก็เลี้ยงมันไป ผมกินอะไรมันก็กินอย่างนั้น เวลาผมอดมันก็อดเหมือนกัน( แต่ถ้ามันกินเหล้าด้วยนี่คงเอาไปปล่อยวัดนานแล้ว)
....วันหนึ่งน้องชายพาหลานมาหาที่บ้านหลานสาวตัวเล็กเห็น เจ้าชาช่า เธอชอบหมาตามประสาเด็กๆนั่นแหละ จึงเอ่ยปากขอผมไปเลี้ยง น้องชายก็บอกว่าว่าอยู่กับ เอ็ง น่ะอดตามเจ้าของมันเปล่าๆ ผมก็ว่าจริงของมัน เลยยกให้หลายไป พร้อมกับบอกวิธีปราบมัน
วิธีที่จะทำให้มันเลิกดื้อ ตั้งแต่ตอนนั้นมันก็ไปอยู่บ้านน้องชายของผม
.....นานครั้งผมจะกลับบ้านไปหาพ่อแม่ ไปเยี่ยมหลาน ทุกๆครังก็จะเจอเจ้าชาช่านี่แหละออกมาต้อนรับตั้งแต่หน้าปากซอย ดูมันดีใจ มันจะนั่งลงพร้อมยกขาสวัสดี
ทุกครั้ง บางทีก็ซื้อโครงไก่ไปฝากมันบ้าง บางทีนึก
เสียดายเพราะมันอร่อยกว่าไก่ทอดอีก
....แต่เมื่อใดที่ผมหยิบหนังสือพิมพ์มาอ่าน พอมันเห็นมันจะรีบหมอบทำหน้าเศร้าๆทันที
หลายปีแล้ววันนี้มันยังคงอยู่ที่บ้าน อยู่กับหลานๆผม คงมีความสุขตามประสา หมาๆของมัน
ครั้งล่าสุดที่เจอมันก็ยังคงเหมือนเดิม บอกให้มันยิ้มมันก็ยิ้ม บอกให้นั่ง มันก็นั่ง ให้สวัสดีมันก็ยกขาสวัสดี
หยิบหนังสือพิมพ์เมื่อไหร่มันก็หมอบทุกที เหมือนกัน
มันเข็ด มันกลัว เมื่อมันเห็น มันคิดว่ามันจะต้องถูกลงโทษ เมื่อมันทำอะไรไม่ถูกใจ หรือทำอะไรผิด
ก่อนอกจากบ้านมา แม่พูดมาลอยๆว่า
เห็นไอ้ชาช่า มันไหม มันเห็นหนังสือพิมพ์ทีเอ็งถือทีไร
มันกลัวทุกที แล้วเอ็งไม่เข็ดบ้างหรือ กับเรื่องราวต่างที่ผ่านเข้า บางครั้งเอ็งก็ถูกทำร้าย ไม่เข็ด ไม่เจ็บ ไม่จำบ้างหรือไง
ผมก็ได้แต่เพียงเดินจากบ้านมาแล้วก็คิด....เท่านั้นเอง
4 กรกฎาคม 2548 15:41 น.
เรไร
วันเสาร์แห่งชาติวันแห่งการนอนกินบ้านกินเมือง
แต่เช้าเลยเสียงโทรศัพท์ดังตอน เจ็ดโมงกว่า ๆ
" วันนี้มาทำงานด้วยนะพี่จะไปธุระนิดนึง " เสียงของเพื่อนรุ่นพี่ที่ทำงานโทรมา
ผมก็ถามไปว่า "ไปไหนละพี่ "
แกก็ตอบมา " วันนี้จะไปชมรมหน่อย "
ผมก็คิด ชมรมอะไรหว่า เลยถามไป " ชมรมคนโสดหรือเปล่าพี่ จะได้ไปด้วยคน "
" เฮ้ย !! ไม่ใช่ ชมรมไก่ชนโว้ย "พี่เขาตอบมาอย่างนั้น
พูดถึงพี่คนนี้ แกอยู่กับลูกสาวแค่สองคน ชอบเลี้ยงไก่ชนเป็นชีวิตจิตใจ
ไม่มีแฟน ไม่มีเด็ก ไม่มีกิ๊ก กั๊ก อะไรทั้งนั้น เคยถามแกอยู่ครั้งว่า
พี่ไม่คิดหาเมียใหม่หรือ? แกตอบว่าไงรู้มั้ย !!
หากจะหาเมียใหม่นี่น่ะ เอาไก่ชนเก่งๆสักตัวดีกว่า (ฮาสิครับ..)
ลุกไปเข้าห้องน้ำ แปรงฟันล้างหน้าแต่งตัว มองหาคุณแดง อ้อ... ยังอยู่
เดินหากุญแจรถตั้งนาน แต่นึกขึ้นได้ ไม่ได้ล็อคนี่หว่า สงสัยเมากาแฟเมื่อคืนแหง๋
ว่าแล้วก็ขึ้นคร่อมรีบขี่ไป ( จักรยานน่ะ ) อีกนิดเดียวจะถึงที่ทำงานอยู่แล้วเพิ่งนึกขึ้นได้
ตายละ ลืมอาบน้ำ แต่ก็ช่างเถอะ อาบมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว
ไม่อาบตอนเช้าสักวันไม่เป็นไรมั้ง..ว่าแล้วก็ปั่นต่อไป