28 กันยายน 2549 09:20 น.
เรไร
กรมอุตุฯท่านได้ทำนายว่า
ช่วงเวลาพายุโถมโหมกระหน่ำ
ทั่วท้องฟ้าโปรยปรายสายฝนพรำ
ตั้งแต่ค่ำน้ำจะท่วมทั่วเมืองไทย
ดีเปรสชั่นพายุร้ายถึงไต้ฝุ่น
น้ำทะเลเนื่องหนุนพิรุณใหญ่
ประเดประดังเข้ามาวาตภัย
สาเหตุให้ดินถล่มจมบาดาล
แต่ก็เพียงพายุฤดูฝน
จะล่วงพ้นเมื่อวันได้ผันผ่าน
เพียงอดทนเอาไว้อีกไม่นาน
ฤดูกาลอุทกภัยใกล้จะลา
กรมอุตุฯท่านมิได้เคยทายทัก
ให้ประจักษ์ลมใดที่ร้ายกว่า
ลมอะไรพัดพินาศพิฆาตอุรา
คือปุจฉาคาใจให้คะนึง
ลมที่เปลี่ยนแปลงคนอยู่บนโลก
ให้เศร้าโศกสติตรองต้องขาดผึง
นำเกรี้ยวโกรธเพิ่มขึ้นจนมึนตึง
ต้องลมหึงแน่แน่ของแม่หญิง
27 กันยายน 2549 23:01 น.
เรไร
อยากจะเล่าเรื่องราวแต่คราวหลัง
เมื่อฉันยังตัวเล็กเป็นเด็กอยู่
ทุกเช้าค่ำนั่งเหม่อชะเง้อดู
และยินเสียงหนวกหูอยู่ทุกวัน
คือเครื่องบินบินข้ามทุกค่ำเช้า
ไอพ่นเป่าได้ฟังดังสนั่น
จนคุ้นเคยที่พ่นออกเป็นหมอกควัน
เมื่อก่อนนั้นเขาเรียกว่าทุ่งนาดอน
จนเมื่อฉันเติบใหญ่เข้าวัยหนุ่ม
เคยกลัดกลุ้มรักเร้าเฝ้าหลอกหลอน
เพ้อรำพึงเด็ดดอกฟ้าแสนอาวรณ์
คอยเห่าหอนค่ำเช้าเห่าเครื่องบิน
แต่ถ้าถึงพรุ่งนี้ไม่มีแล้ว
เสียงเคยแว่วกลับหวนชวนถวิล
เคยหนวกหูน่าเบื่อเมื่อได้ยิน
ความคุ้นชินสิ้นหมดสลดใจ
คงเหลือเพียงทุ่งร้างที่ว่างเปล่า
หูคงเหงาตาเหม่อด้วยเผลอไผล
ต้องเปลี่ยนตามความรุ่งเรืองของเมืองไทย
เพียงเหลือไว้เป็นอนุสรณ์ที่ดอนเมือง
เรียกได้ว่าผมเกิดที่นี่....ดอนเมือง( แม่ไม่ได้คลอดบนรันเวย์น่ะ)
เห็นเครื่องบินมาตั้งแต่จำความได้
ได้ยินเสียงดังหนวกหู จนกลายเป็นความคุ้นชิน
เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเพราะสนามบินอยู่ที่นี่
สมัยเด็กๆเคยจำได้ว่า ให้พ่อพาไปสนามบินอยู่บ่อยๆ
ไปดูเครื่องบินร่อนลงเวลาล้อมันแตะพื้น
...ไม่รู้ว่ามีใครเคยได้ไปเฝ้าดูบ้างอย่างผมบ้างหรือเปล่า
มิตรสหายเคยค่อนแคะเมื่อตอนที่เป็นวัยรุ่น หากเผลอไปแอบหลงชอบใครเข้า จะแซวกันว่า ไม่เจ็บคอบ้างหรือไง เห่าเครื่องบินอยู่ทุกวัน ผมสงสัยว่าเพื่อนมันว่าผมเป็นแมวมั้ง แต่ว่า แมวมันก็ไม่เห่า คงเป็นหมามากกว่า (ออกตัวไว้ก่อน..อิอิอิอิ)
ทุกวันนี้เวลาใช้เส้นทางผ่านฐานทัพอากาศ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่สามารถมองไปบนรันเวย์ได้
ผมก็จะมอง มองเครื่องบิน ขึ้นหรือลงเหมือนเมื่อตอนยังเด็ก.......
...แต่วันพรุ่งนี้สนามบินดอนเมือง หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่าท่าอากาศยานกรุงเทพ
จะสิ้นสุดการใช้งานอันยาวนานมาถึง 92 ปี
หูคงเหงาเหมือนกัน และเวลาผ่านฐานทัพอากาศคงไม่มีเครื่องบินขึ้นหรือลงให้ดูบ่อยๆ
หากบุญพาวาสนาส่งคงเห็นเครื่องบินเช่าเหมาลำ บินผ่านมาบ้าง หรือไม่เช่นนั้น นกสักฝูงบินผ่านไปก็ยังดี
........แต่ก็เถอะประเทศชาติต้องพัฒนา จากสนามบินที่คับแคบ ไปสู่สนามบินนานาชาติแห่งใหม่ ที่ยิ่งใหญ่กว่า
......และบทสุดท้ายนี้ผมแค่อยากเขียนถึงสนามบินดอนเมือง
เขียนถึงเครื่องบินที่สองตาเคยมอง
เขียนถึงเสียงที่สองหูเคยได้ยิน
เขียนถึงชาวต่างประเทศหลายคนที่สอบถามเส้นทาง ถามรถเมล์ว่าสายไหน ไปไหน
เขียนถึงเพื่อนผู้อยู่แดนไกล คราวที่ต้องไปรับ ส่งกันที่สนามบิน
เขียนถึงแอร์โฮสเตทของเจแปนแอร์ไลน์ที่ผมลงความเห็นว่าดูดีที่สุด
เขียนถึงภาพที่เคยมองผ่านช่องหน้าต่างเป็นครั้งแรกยามที่ได้เห็นสนามบินจากบนฟ้า
.....ต่อไปนี้ไม่ต้องซื้อยาแก้เจ็บคออีกแล้ว
.....ต่อไปนี้ดอนเมืองคงเงียบเหงากว่าที่เคยเป็น
และ..ต่อไปนี้ชาวต่างชาติจะไม่หลงทางเพราะผมอีก
ลาก่อน.....สนามบินดอนเมือง
ลาก่อนท่าอากาศยานกรุงเทพ....
18 กันยายน 2549 09:19 น.
เรไร
- ๑ -
มาเถิดเจ้าจอมขวัญ.........จะหวาดหวั่นสิ่งใดเล่า
เพียงอยากช่วยปัดเป่า......อยากให้เราได้แบ่งปัน
มาเถิดเจ้าจอมใจ.............จะกล่อมให้หายโศกศัลย์
ร้าวรานเมื่อวานวัน...........จงผ่านมันอย่าเสียใจ
มาสู่ ณ เส้นทาง................จงวาดวางหวังขึ้นใหม่
อนาคตยังโรจน์ไกล...........ยังกว้างใหญ่นักโลกนี้
- ๒ -
มาสัมผัสอรรถรส.............ซึ้งในบทอักษรศรี
ในวสันต์ตกวี...................วรรณศิลป์จินตนาการ
มาฟังเสียงกู่ร้อง...............ท่วงทำนองที่ขับขาน
เพลงรักดอกไม้บาน..........ณ เหมันต์กาลฤดู
มารับรู้ความหมาย............สุรีย์ฉายประกายสู่
หัวใจของนักสู้...................เปิดประตูสู่คิมหันต์
- ๓ -
ก่อนฟ้าจะหมองหม่น.........เพราะจักรกลได้พ่นควัน
บดบังแสงตะวัน................ให้โลกนี้ต้องมืดมน
ก่อนศรัทธาจะสูญสิ้น..........และห้วงจินต์จะสับสน
กลอนกานท์งานประพนธ์....จะสิ้นยลมนต์กวี
ก่อนบุบผากลิ่นฟุ้ง...............จะถูกปรุงด้วยเคมี
ดอกไม้หลากหลายสี............ดูสวยงามเพราะถูกย้อม
- ๔ -
ก้าวไปเพื่อวันพรุ่ง...............ฝันจรุงฟุ้งกลิ่นหอม
เตรียมหัวใจให้พร้อม..........ทางทอดยาวให้ก้าวเดิน
ก้าวไปอย่างนักสู้...................ความอดสูจงมองเมิน
อุปสรรคหากเผชิญ................หาใช่เกินพยายาม
ก้าวไปเถิดจอมขวัญ...........อย่าหวาดหวั่นคำคนยาม
อนาคตคงงดงาม................พบนิยามของตนเอง
13 กันยายน 2549 00:37 น.
เรไร
ความคิดถึงอาดูรคงสูญเปล่า
หากว่าเราลืมกันในวันนี้
อดีตคงเลอะเลือนเหมือนไม่มี
ทุกนาทีผ่านมาไร้ค่าจำ
ความคิดถึงอาดูรคงสูญเปล่า
โอ้ความเศร้าคงโถมโหมกระหน่ำ
เหมือนถูกตอกด้วยลิ่มคอยทิ่มตำ
ตามมาย้ำช้ำชอกตอกหัวใจ
ความคิดถึงอาดูรคงสูญเปล่า
บทเพลงเหงาสดับพาน้ำตาไหล
ท่วงทำนองโหยหาด้วยอาลัย
ต้องเพ้อสั่นหวั่นไหวในอารมณ์
ความคิดถึงอาดูรคงสูญเปล่า
ยากบรรเทาเกินรับทุกข์ทับถม
กอดเพียงความเดียวดายกับสายลม
มีเพียงตรมห่มใจในค่ำคืน
ความคิดถึงอาดูรคงสูญเปล่า
ไร้ซึ่งเงาบางใครใจสุดฝืน
พบกับความเจ็บช้ำทนกล้ำกลืน
แม้นยามตื่นต้องละเมอเพ้อรำพึง
ความคิดถึงอาดูรคงสูญเปล่า
กวีบทเก่าวันวานเคยหวานซึ้ง
ถึงวันนี้มิมีค่าให้ตราตรึง
ความคิดถึงอาดูรคงสูญเปล่า
9 กันยายน 2549 08:05 น.
เรไร
เหมือนไม่มีตัวตนบนโลกนี้
เหมือนไม่มีกายหยาบให้จับต้อง
เหมือนไม่มีภาพใดให้คอยมอง
เหมือนไม่มีเสียงร้องของหัวใจ
ฉันจะเป็นนิยามความว่างเปล่า
ฉันจะเป็นดังเงาเฝ้าถามไถ่
ฉันจะเป็นคนหวงคอยห่วงใย
ฉันจะเป็นคนหวั่นไหวนอกสายตา
ขอเพียงอยู่ห่างห่างอย่างเมื่อก่อน
ขอเพียงอยู่ซุกซ่อนปรารถนา
ขอเพียงอยู่ฝันบ้างบางเวลา
ขอเพียงอยู่ในนิทรายามราตรี
เป็นเพียงแค่ความเคลื่อนไหวในอากาศ
เป็นเพียงแค่เศษธาตุดาษวิถี
เป็นเพียงแค่คนยังคอยหวังดี
เป็นเพียงแค่ผงธุลีที่รักเธอ