30 กรกฎาคม 2548 23:36 น.
เรไร
กว่าจะผ่านคืนวันอันโหดร้าย
ทั้งร่างกายฤดีนี้เหนื่อยอ่อน
ลมหายใจเปี่ยมว่าจะขาดรอน
อุทาหรณ์ได้พบประสบการณ์
จึงลุกยืนขึ้นใหม่ได้อีกหน
ข้ามทุกข์ทนที่คนเขากล่าวขาน
ล่วงเลยแล้วสิ้นหวังครั้งวันวาน
เรื่องที่ผ่านเลยพ้นมิสนใจ
จึงลงเรือลอยลำตามกระแส
กลางปรวนแปรแห่งมหาชลาศัย
ฝ่าคลื่นแรงพายุบรรลุไป
เพื่อหวังใหม่ด้นไปในคงคา
เสาะแสวงหวังมีที่สงบ
อยากค้นพบสักหนจึงค้นหา
ณ หนใดขอฝากซากชีวา
ปรารถนาลอยเทียบเลียบแผ่นดิน
เที่ยวลัดเลาะเกาะแก่งแหล่งที่อยู่
ก็มิสู้มีใครใคร่ถวิล
คอยเสือกไสเช้า-เย็นเป็นอาจินต์
ทั้งหยามหมิ่นหยามเหยียดอย่างเกลียดชัง
จนกระทั่งสายัญตะวันรอน
แสงโรยอ่อนงามพิสุทธิ์ดุจมนต์ขลัง
คลื่นก็กล่อมลมเห่ประเดประดัง
ที่ริมฝั่งทอดสมอรอเวลา
รออรุณรุ่งสางสว่างก่อน
จึงจักถอนสมอขอฟันฝ่า
ให้ลมรี่คลี่ใบในธารา
ออกค้นหาฝั่งฝันให้มันเจอ
23 กรกฎาคม 2548 19:44 น.
เรไร
ก็คือข้าผู้นำความเจ็บปวด
อันยิ่งยวดแสนสาหัสคาดไม่ถึง
ทั้งร่างกายใจรวนครวญคำนึง
สุดก้นบึ้งทุกข์ถมตรมดวงมาน
ก็คือข้าผู้นำความสิ้นหวัง
คือผู้พังความฝันอันแสนหวาน
คือผู้พรากฤดีที่ชื่นบาน
ให้ร้าวรานแหลกสลายในพริบตา
ข้าก็คือตัวแทนแห่งความเหงา
ต้องเปลี่ยวเปล่าเดียวดายให้โหยหา
ทรมานตราบสิ้นดวงวิญญาณ์
สูญศรัทธาดีชั่วในตัวตน
ก็คือข้ามอบฝันอันขื่นขม
ต้องตรอมตรมโศกสะอื้นนับหมื่นหน
ทุกราตรีอ้างว้างช่างมืดมน
ไร้เหตุผลชลนาด้วยจาบัลย์
และข้าคือความทรนงที่องอาจ
ข้าสามารถเสกมนต์บันดลฝัน
ให้ดวงจิตเริงรื่นทุกคืนวัน
สร้างสุขสันต์หรรษาทุกราตรี
ข้าคือสิ่งหมายปองของมนุษย์
คือที่สุดสูงสง่าเปี่ยมราศี
เหล่าผู้คนมากมายหมายฤดี
ได้เพียงมีข้าสถิตติดทรวงใน
ข้าคือสิ่งประเสริฐเลิศคุณค่า
คือศรัทธาความฝันอันยิ่งใหญ่
ที่ผู้คนอยากคว้ามาสู่ใจ
รักที่ไขว่ที่คว้าคือข้าเอง
23 กรกฎาคม 2548 01:15 น.
เรไร
ความฝันนั้นยากเย็น
มิอาจเป็นความจริงได้
สูงเกินจะคว้าไขว่
สู่อุรามาครอบครอง
ความรักผสมทุกข์
ยากแท้สุขสมสนอง
ได้เพียงแค่เมียงมอง
น้ำตาเอ่อเผลอหลั่งริน
ความหวังในห้วงจิต
ถูกหรือผิดใครตัดสิน
สร้างเองรอยมลทิน
สร้างรอยบิ่นให้หัวใจ
กำหนดกรอบกฎเกณฑ์
แล้วขีดเส้นขั้นเอาไว้
มิกรายกร้ำล้ำไป
อยู่ข้างในที่สร้างทำ
พอมาในวันหนึ่ง
ใจเจ้าจึงต้องเจ็บช้ำ
เพราะกรอบที่ครอบงำ
มิอาจล้ำถลำไป
ความรักที่ลำเค็ญ
บอกว่าเป็นไปไม่ได้
จะให้เป็นอะไร
ถามหัวใจตัวเองดู
เพียงคิดคงยากแท้................กำหนด
มากะเกณฑ์วางบท...............รักนั้น
แล้วตั้งกรอบขีดกฎ..............วางครอบ
ติดอยู่กับกรอบกั้น................ที่สร้างที่ทำ
หัวใจจึงชอกช้ำ.....................มัวหมอง
ถูกผิดที่คิดตรอง....................ยับยั้ง
พาให้จิตต้องหมอง................มัวหม่น
ทนทุกข์กี่หมื่นครั้ง.................กว่าพ้นกฎเกณฑ์
ว่าเป็นไปไม่ได้........................ที่ฝัน
ย้ำคิดอยู่ทุกวัน........................ค่ำเช้า
คอยเพ้อพร่ำรำพัน..................หัวอก
สุดสลดตรมเศร้า.....................ตอกย้ำร่ำไป
ความรักก็คือความรัก
คงยากนักหากสงสัย
ความรักอยู่ที่ใจ
ยากจับใส่กรอบกฎเกณฑ์
จะให้เป็นเช่นไร
คือสิ่งไหนที่อยากเห็น
แข็งอ่อนร้อนหรือเย็น
จะให้เป็นเช่นสิ่งใด
เสียงร้องไห้จากเพื่อนคนหนึ่ง คร่ำครวญว่า
ความรักของเขาเป็นไปไม่ได้
มันผิด มันผิด บอกอยู่แต่อย่างนั้น
ผมก็ถามว่า อะไรละที่มันผิด
อะไรละที่มันถูก
ใครเป็นคนกำหนดว่ามันผิด
ใครกำหนดว่ามันถูก
แล้วจึงถามต่อไปว่าอะไรละที่เป็นไปไม่ได้
แล้วไอ้ที่อยากให้เป็นน่ะ
อยากให้เป็นอะไร ?????
ความรัก มันออกแบบไม่ได้
มันไม่มีรูปทรง ไม่ใช่ก้อนกลมๆ
หรือสี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม ไม่ใช่ทรงกระบอก
ไม่ใช่น้ำ เพราะมันอาจระเหยไปได้สักวัน
ไม่ใช่อากาศ เพราะเมื่อลมพัดผ่านมันจะหายไป
ไม่ใช่แผ่นหิน แผ่นศิลา เพราะมันอ่อนนุ่มกว่านั้น
ไม่ใช่ปุยนุ่นที่จะพัดปลิวไปยังที่ไหนๆ ก็ได้
ไม่มีรสชาติ
จับต้องไม่ได้.....แต่รู้สึกถึงมันได้
สัมผัสได้ใช้หัวใจสัมผัสมัน
ความรักไม่ใช่ของเรา..เราต่างหากที่เข้าไปอาศัยอยู่ในความรัก
เอาหัวใจไปฝากไว้กับความรัก
เพราะว่าบางที มันก็รับฝาก...
บางทีอีกนั่นแหละมันก็ผลักไสหัวใจเราออกมา
...เขี่ยทิ้ง อย่างไม่มีเยื่อใย
....อีกอย่าง....
แล้วมันก็ไม่ใช่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปด้วย
ที่อยากได้ อยากกินแค่ต้มน้ำร้อนใส่ ก็ อร่อยกันได้ทันที
ต้องดิ้นรน ต้องใฝ่หา ต้องลิ้มลอง...
ต้องเดิมพัน...ด้วยหัวใจของตัวเอง
12 กรกฎาคม 2548 12:50 น.
เรไร
รอยหม่นหมองรับรู้.........ข้างใน
ช้ำจิตจึงสงสัย.................ทุกครั้ง
เมื่อมีรักคราวใด............หายห่าง
ยื้อยุดฉุดเหนี่ยวรั้ง...........กลับคว้าขื่นขม
อยากปลูกต้นรักไว้..........ชื่นชม
หมั่นประคบประหงม.......ค่ำเช้า
หวังไว้ว่าภิรมย์................สมจิต
แต่ก็มาหมองเศร้า...........พลาดพลั้งสุดเหงา
อาศัยใบต้นโศก................หลบเงา
กลัวถูกแดดแผดเผา..........เหี่ยวแห้ง
ความร้อนรุ่มคงบรรเทา......คิดว่า
ยืนทนงทนแล้ง..................อยู่ได้นานวัน
ฉันหลงลืมแล้วว่า...............ถ้าหาก
ต้นรักจักหยั่งราก...............ฝากใต้ ร่มเงา
หวังเติบใหญ่คงยาก...........ยืนอยู่
ก้านกิ่งบดบังไห้................หมดสิ้นความงาม
นิยามที่ว่าไว้.....................กล่าวขาน
มีแต่ความร้าวราน.............ท่วมท้น
รักโศกยากผสาน...............เป็นหนึ่ง
คงผลิดอกเมื่อออกพ้น........ร่มต้นโศกา
7 กรกฎาคม 2548 01:41 น.
เรไร
คืนข้างแรมดวงเดือนเจ้าเลือนหาย
สิ้นประกายแสงส่องให้มองเห็น
หวลคำนึงถึงจันทร์คืนวันเพ็ญ
เคยงามเด่นกระจ่างกลางนภา
ฉันเฝ้ามองท้องฟ้าดูน่าเศร้า
ไร้แม้เงาเพียงเสี้ยวคอยเหลียวหา
เมื่อใดหนอจันทร์เจ้าจะกลับมา
ดวงดารารออยู่เป็นคู่เคียง
เหมือนจากไกลกันกว่าขอบฟ้ากั้น
เกินตัวฉันกู่ร้องจนก้องเสียง
ให้อีกฝั่งสดับรับสำเนียง
ยึดมั่นเพียงสัญญาว่ารักกัน
ยังคงเดิมแน่แท้มิแปรเปลี่ยน
จะวนเวียนคืนกลับมารับขวัญ
อย่าสะอื้นเอ่ยคำพร่ำรำพัน
ว่าตัวฉันลืมสัญญาคำสาบาน
จะคืนหวลมาอยู่เป็นคู่คิด
ประโลมจิตพร้อมรักสมัครสมาน
ลบเลือนรอยเรื่องราวที่ร้าวราน
ช่วยสมานแผลใจไม่ละเลย
วอนดวงเดือนคืนฟ้าเวหาหาว
เป็นเพื่อนดาวกลับมาอย่านิ่งเฉย
คืนหัวใจอบอุ่นที่คุ้นเคย
จะจูบเย้ยจันทราทุกราตรี