9 พฤษภาคม 2548 13:22 น.
เรไร
ร้อนกันนักจักพาไปพักร้อน
หลบไปนอนกอบสุขทุกข์จงหลบ
พบผองเพื่อนเยือนมิตรที่คิดพบ
ไปเพื่อลบรอยเศร้าเอาทิ้งไป
ท่องเที่ยวทั่วท้องถิ่น ณ ดินแดน
สวยสุดแสนสวนสน แนวต้นไม้
อิ่มเอมอกอุ่นอาบ ซาบซึ้งใจ
มีมิตรใหม่มากมาย หลายหลายคน
เชิญมาร่วมพร้อมพรักสมัครสมาน
เริงสราญเพื่อหยุดให้หลุดให้พ้น
ลืมหมางเมินหมองมัวทั้งตัวทั้งตน
สิ้นสับสนทุกข์ทนกระวนกระวาย
ผูกไมตรีกลมเกลียวเกี่ยวใจผูก
หมายร่วมปลูกความฝันด้วยมั่นหมาย
อายใยเพื่อนหากจริงใจใยต้องอาย
เพียงสร้างสายสัมพันธ์กันพร้อมเพียง
8 พฤษภาคม 2548 05:08 น.
เรไร
กลางหาดทรายเงียบงันวันเหงาเหงา
แสงโสมเศร้าสาดส่องเพียงมองเห็น
ระลอกคลื่นแตกละอองฟองกระเซ็น
ลมพัดเย็นพาไออาบฉาบผิวกาย
กลางหาดทรายเหน็บในสายลมผ่าว
ในค่ำคืนที่แสงดาวมีความหมาย
เพียงมีเจ้าเคียงคู่อยู่มิคลาย
ไม่แหนงหน่ายหักเหแม้เวลา
ในอ้อมอกโอบกอดพรอดจุมพิต
แนบสนิทดั่งต้องมนต์เสน่หา
ในอ้อมแขนเชยชิดแนบนิททรา
ใต้ฟากฟ้าพักพิงอิงอุ่นไอ
พรจุมพิตจงลืมโลกที่โศกเศร้า
ทิ้งความเหงาให้ที่พักรักอาศัย
ให้พรนี้เหนือค่ากว่าพรใด
พำนักใจมาแอบอิงนั่งผิงดาว
7 พฤษภาคม 2548 01:05 น.
เรไร
เก็บหัวใจกับตัวไม่มัวหมอง
จะมิต้องโศกาชีวาเอ๋ย
ความเจ็บช้ำครั้งเก่าเราคุ้นเคย
จงทำเฉยที่ผ่านมาน้ำตาริน
เก็บรักษาความรู้สึกที่นึกหวัง
เอาจิตตั้งเป็นใหญ่ไม่โผผิน
จงอย่าให้ดวงฤทัยได้โบยบิน
จะดับดิ้นเหมือนหนหลังครั้งผ่านมา
หยาดน้ำตากี่หยดรดลงพื้น
กว่าจะฟื้นจากรักเล่ห์เสน่หา
แทบกระอักเลือดรินหลั่งทั้งน้ำตา
บนใบหน้ายังทิ้งคราบฉาบร่องรอย
ไม่ขยาดหลาบจำจงทำต่อ
เจ็บให้พออุราจงอย่าถอย
อย่ามาร้องครวญครางอย่างเลื่อยลอย
หน้าละห้อยเหี่ยวเฉาเหงาฤดี
สุขเกษมเปรมปรีจะหนีห่าง
ความอ้างว้างโศกามาแทนที่
ตามตอกย้ำถมทับอีกนับปี
เป็นเช่นนี้ความรักไม่ยักจำ
5 พฤษภาคม 2548 13:32 น.
เรไร
ที่เชิงผาตะหง่านกลางไพรสัณฑ์
ดวงตะวันเลื่อนลับกับหุบเขา
มีเพียงแสงเลือนลางจางแม้เงา
ฟ้าสีเทายามค่ำยลสนธยา
จั๊กจั่นจิ้งหรีดกรีดปีกร้อง
ท่วงทำนองก้องกึกทั่วพฤกษา
เกาะก้านกิ่งอาศัยในพนา
ยินดังว่าความหนาวเข้ามาเยือน
ตัวหิ่งห้อยส่องแสดงแสงกระพริบ
ดูระยิบระยับวิบวับเหมือน
ดวงดาราประดับฟ้าคราไร้เดือน
บินว่อนเกลื่อนทั่วป่ายามราตรี
เห็นแขไขข้างแรมแต่งแต้มฟ้า
แสงโรยราเหมือนมืดมนหม่นราศี
ทมึนดำทั่วลำเนาเขาคีรี
ปัถพีน่าหวั่นเกรงวังเวงใจ
ฉันแรมรอนจากผืนดินถิ่นกำเนิด
ทิ้งเลอเลิศจากเคหาเคยอาศัย
เมินเฉยแล้วเมืองแสงสีศิวิไลซ์
ตามฝันใฝ่คนตราหน้าว่าโง่งม
จึงมาอยู่เงียบงันอย่างสันโดษ
ลืมเกรี้ยวโกรธเก็บกล้ำกลืนความขื่นขม
ลากสังขารฤดีแหลกแตกระทม
หาสุขสมห่มชีวาแสนจาบัลย์
ค่อยเก็บก่อต่อเติมจุดเริ่มต้น
แม้อับจนเกิดกล้าล่าความฝัน
สร้างวิมานฉิมพลีที่ไพรวัลย์
เป็นสวรรค์เพียงพอไม่ง้อใคร
พลิกแผ่นผืนพสุธาตรงป่าร้าง
คอยแผ้วถางทำไร่นาได้อาศัย
เก็บเกี่ยวผลพืชพันธุ์ที่หว่านไป
แค่พอให้ยืนหยัดสู้พออยู่กิน
ยามราตรีกล้ำกลืนฝืนเจ็บร้าว
ขอบตาผ่าวหวลให้ใจถวิล
คนคุ้นเคยเอ่ยปากฝากชีวิน
จะโบยบินตามฝันกันสองคน
รัตติกาลเงียบสงบพบความหมาย
เพียงลำพังเดียวดายใต้เวหน
คอยวาจาดั่งสัญญาณบันดาลดล
แม้นมืดมนเหมือนสิ้นหวังก็ยังรอ
คงสักวันในอ้อมแขนแสนอบอุ่น
หวานละมุนใจกายเมื่อใดหนอ
มิต้องเก้อเพ้อเงาพะเน้าพะนอ
ได้เติมต่อความฝันให้มันเต็ม