15 พฤศจิกายน 2547 10:40 น.
เรไร
เหมือนชีวิต เวียนว่าย ในวังวน
ดูสับสน เวิ่งว้าง ช่างเปลี่ยวเหงา
ดูมืดมิด ทางไปที่ หทัยเรา
เหมือนว่างเปล่า สับสน แต่จนใจ
ถึงกลางคืน เหน็บหนาว ปวดร้าวนัก
อย่างไร้หลัก เล็งนำ ทำไงไหว
จึงมืดบอด คลำหา ว่าเมื่อไร
จะพ้นใน ทางสลัว ที่ตัวเดิน
มองหันคว้า ได้เทียนไข ดีใจแท้
เห็นทางแน่ ก้าวไป ไม่ขวยเขิน
บาทวิถี เป็นหลุม ลุ่มดอนเนิน
จะได้เมิน หลบหลีก ฉีกไม่ก้าว
แต่ราตรี ยืดยาว กว่าที่คิด
มืดสนิท อีกน้ำค้าง บนทางหนาว
ใกล้ดับแล้ว แสงริบหรี่ ที่บางเบา
จิตปวดร้าว จึงมืดบอด ตลอดมา
รัตติกาล น่ากลัว หมองมัวนัก
จิตประจักษ์ กายต้องไป ใจไม่ล้า
หยุดไม่ลง แม้เหนื่อย เมื่อยกายา
หวาดผวา จะหยุด ที่สุดทาง
อุษาสาง กระจ่างแจ้ง แสงสาดส่อง
ฟ้าเรืองรอง เห็นอุปสรรค คอยขัดขวาง
ขอสู้ไป จนกว่า ชีพวายวาง
ฟ้าสว่าง ทางชีวิต ลิขิตมา
@@@@@@@@@@@@@@@@
... เมื่ออุษาสาง คงเห็นทางจะก้าวไป
@@@@@@@@@@@@@@@@
14 พฤศจิกายน 2547 22:39 น.
เรไร
ความรัก จากใจ ของฉัน
ส่งฝัน ผ่านจันทร์ ได้ไหม
ฝากแสง เหลืองนวล ครวญไป
คนไกล คงเห็น เช่นเรา
อีกฉาก ฟากฟ้า ฝากฝัง
หากยัง ไม่เจอ เพ้อเหงา
เพ็ญดับ ลับร้าง ห่างเงา
แสงเศร้า สาดส่อง ห้องใจ
คืนไหน เดือนพบ สบตา
จันทรา เรืองรอง ผ่องใส
เคยฝาก คิดถึง ไปให้
หทัย แนบจิต ชิดเชย
แสร้งรับ รู้หน่อย ได้ไหม
ฝันใฝ่ อย่าเมิน มองเฉย
อย่าทำ เหินห่าง อย่างเคย
ฉันเอ่ย เว้าวอน อ้อนจันทร์
พยาน คือเพ็ญ เด่นฟ้า
สายตา มองซึ้ง ถึงฉัน
ขอให้ ตราบตรึง นิรันดร์
เมื่อหัน ดูฟ้า คราใด
หลับตา ว่าใคร แหนหวง
อย่าห่วง พะวง สงสัย
น้อมนำ ความรัก ฝากไป
จริงใจ ไหว้วาน ผ่านเดือน
12 พฤศจิกายน 2547 17:04 น.
เรไร
เก็บฝันในวันเก่า ความเงียบเหงาของเราสอง
ร่วมกันมั่นประคอง ผนีกก้องต้องดวงมาลย์
รับรู้ในสัมผัส ร้อยตวัดรัดวันหวาน
แนบชิดสนิทนาน จวบจนกาลผลาญสัมพันธ์
ความช้ำคอยย้ำจิต คงสถิตย์ติดตัวฉัน
เคยฝันมั่นนิรันดร์ เหลือแค่นั้นคำสัญญา
ยังจำไว้รักเก่า ถึงแม้เศร้ายังไขว่หา
ไว้ในห้วงเวลา จำไว้ว่าเคยรักกัน
@@@@@@@@@@@@@@@@
.. แด่ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ ในใจผม
อิทธิ พลางกูล
@@@@@@@@@@@@@@@@
11 พฤศจิกายน 2547 02:37 น.
เรไร
มองรอยเท้า ตามทาง เยื้องย่างมา
ผ่านเวลา ปวดร้าว ในคราวก่อน
ประสบการณ์ ทุกข์ใจ ไม่สังวร
อุทาหรณ์ จากหนหลัง ยังมิวาย
หลายปีก่อน เดือดร้อน ทุกหย่อมหญ้า
ด้วยราคา ค่าเงิน นั้นหดหาย
ทั้งเศรษฐี ก็ยากจน ล้มละลาย
ฆ่าตัวตาย เป็นเบือ ด้วยเหลือทน
จึงเลือกนาย หมายว่า จะมาช่วย
หวังร่ำรวย โลภมาก อีกสักหน
แต่ก็ยัง ตกเป็นทาส ช่างมืดมน
ความยากจน ยังติด สนิทใน
แล้วมองไป ข้างหน้า ล้าเหลือเกิน
หนทางเดิน อนาคต ดูสดใส
แต่มันเงียบ เหลือนั่น ฉันหวั่นใจ
มีอะไร รออยู่ มิรู้เลย
จะย่ำเท้า ไม่ก้าวไป ก็ใช่ที่
ไม่รู้ไม่ชี้ ทำมึน ยืนเฉยเฉย
ปล่อยให้ไป ตามกระแส ก็ไม่เคย
ใจมันเลย ห่วงหน้า พะว้าพะวง
จึงอันเชิญ ความคิด ทฤษฎีใหม่
เอามาไว้ เหนือเกล้า มิเฝ้าหลง
ให้พอเพียง เท่าที่มี อย่างมั่นคง
เพื่อยืนยง พัฒนา ประเทศไทย
@@@@@@@@@@@@@@@@
อยู่กับสิ่งที่มี ไม่ใช่สิ่งที่ฝัน
@@@@@@@@@@@@@@@@
9 พฤศจิกายน 2547 22:12 น.
เรไร
เมื่ออกหัก รักคุด สุดขมขื่น
จำกล้ำกลืน ความระทม ข่มใจไว้
ทนเหน็บหนาว ร้าวรอน ซ่อนฤทัย
รักจากไกล เหลือจิต จะติดตาม
จะเหหัน ทางไหน ใจว้าเหว่
แกล้งทำเฉไฉไปไม่เข็ดขาม
ทำซึมเซ่อ ซ่าเขียนกฏ บทนิยาม
ไม่ครั่นคร้าม ความรัก จะหักเอา
หน้าชื่นมื่น รื่นรมณ์ ตรมในอก
น้ำตาตก ตรงอุรา หน้าไม่เฉา
สร้างรอยยิ้ม กลบเกลื่อน เลือนลบเงา
ฉันไม่เศร้า ไม่เคยเก็บ ให้เจ็บใจ
ยามกลับคืน เคหา ขอบตาร้อน
ความร้าวรอน ซ่อนมา พาหลั่งไหล
โภชนา อาหาร บานตะไท
ไม่สนใจ สะอื้น กลืนไม่ลง
มีแกงเห็ด เป็ดย่าง ทั้งหมูหัน
มัสหมั่น แกงมะเขือ มีเนื้อหลง
ทั้งแกงส้ม ต้มยำ ปลากระพง
หน่อไม้ดง ใจมันชืด ก็จืดพอ
คอก็ขม ลิ้นก็ขื่น กลืนไม่ได้
อาหารใด รสล้ำ นำเสนอ
ภัตตาคาร เลิศหรู สู้บำเรอ
น้ำตาเอ่อ ร่วงริน กินเข้าไป
@@@@@@@@@@@@@@@@
.....มีอาหารหวานคาวสารพัด
ยากจะกัดทนฝืนมันขื่นลิ้น
น้ำในตาร่วงโรยโอ้ยชีวิน
สะอื้นกินรู้รสหยดน้ำตา.....
@@@@@@@@@@@@@@@@