5 ตุลาคม 2548 08:34 น.
เรไร
เพื่อนผมอยู่คนหนึ่ง บ่นรำพึงอยู่มิหาย
สับสนปนวุ่นวาย มันเบื่อหน่ายเหลือจะทน
เธอตั้งใจไว้ว่า ผ่านเวลามาหลายหน
มีคู่ในกมล ก่อนผ่านพ้นสามสิบห้า
ขีดขั้นกั้นลิขิต เพราะดวงจิตมันโหยหา
กลัวใกล้วัยชรา ต้องเหว่ว้าอยู่คนเดียว
เวลาก็เหลือน้อย ชะเง้อคอยใครแลเหลียว
ตะบันหมากให้เคี้ยว ยามที่เปรี้ยวปากอยากทาน
ก็แค่อีกหนึ่งเดือน มันดูเหมือนอีกมินาน
สามสิบห้าจะขึ้นคาน อยู่เฝ้าบ้านเพียงลำพัง
จดหมายถึงลุงหนวด ท่าจะชวดคงหมดหวัง
ตีนกามาประดัง จะยับยั้งมันอย่างไร
ไร้คู่มาอยู่ข้าง จิตอ้างว้างทั้งสงสัย
มิเคยมีผู้ใด มอบความรักให้สักที
เวลายิ่งกระชั้น คงผ่านผันอย่างเร็วรี่
นับถอยหลังตรงนี้ ก่อนฤดีปลดระวาง
3 ตุลาคม 2548 23:05 น.
เรไร
เป็นฉันเมื่อวันก่อน
จิตรุ่มร้อนนอนผวา
ทุกทีที่หลับตา
หลงไขว่คว้าเพียงแค่เงา
วันนั้นถึงวันนี้
ดวงฤดีมีแต่เหงา
หัวใจไม่ทุเลา
ยังคงเศร้าอยู่เช่นเคย
เงียบงันหวั่นหัวอก
น่าวิตกโอ้อกเอ๋ย
เมื่อใดจะผ่านเลย
แทบคุ้นเคยความระทม
น้ำตายังเปียกชื้น
โศกสะอื้นกลืนขื่นขม
เดียวดายกลางสายลม
ร้าวระบมถมฤหัย
เยื่อใยสายสวาท
ตัดมิขาดหรือไฉน
แล้วจะทำเช่นไร
ตัดเยื่อใยได้สักที
ดับดิ้นสิ้นวิญญาณ
ร่างแหลกรานกลายเป็นผี
คงอย่างนั้นนั่นแหละดี
เป็นวิธีที่ไม่จำ
ไปยังปรโลก
ริ้วรอยโศกยังตามย้ำ
คงตามเกาะดั่งเคราะห์กรรม
ที่ถมทำซ้ำเข้ามา
ชาตินี้คงสิ้นแล้ว
ไร้วี่แววปรารถนา
ภพนี้ต้องขอลา
ไว้ชาติหน้าอย่าพบเจอ
3 ตุลาคม 2548 19:55 น.
เรไร
เพราะเธอทำอกหักสะบักสะบอม
ยังมิพร้อมยอมรับจึงสับจึงสน
ความรู้สึกเป็นอย่างไรกระวายกระวน
เลยหมองหม่นสิ้นสุขสนุกสนาน
กายเกลือกกลั้วกลืนกล้ำเพราะช้ำนัก
ร้าวเรื่องรักไร้รื่นเริงดังเพลิงผลาญ
ต้องตรอมตรมตัวตายใจวายปราณ
สุดสงสารเสพเศร้าเหงาอุรา
เหลือแค่กายและร่างอย่างที่เหลือ
ค่าแค่เนื้อที่เต้นไหวดูไร้ค่า
ลาเลิกแล้วเจ็บช้ำขออำลา
เพียงเหว่ว้าที่เคยท้อก็พอเพียง
ก้าวข้ามความรันทดแสนอดสู
ก้าวไปสู่วันที่รอก็ขอเสี่ยง
กัาวไปแม้หัวใจไร้คนเคียง
ก้าวตามเสียงเรียกร้องของหัวใจ
29 กันยายน 2548 22:21 น.
เรไร
เมฆทะมึนเคลื่อนคล้อยลอยลงต่ำ
ก่อนฝนพรำฉ่ำชื่นทั้งพื้นผิว
ลมก็พัดยอดไม้จนไหวปลิว
เป็นแถวทิวพริ้วไหวตามสายลม
ชีวิตเหมือนมืดมนก่อนฝนตก
ต้องระหกระเหินเกินขื่นขม
ความลำบากตรากตรำต้องตรอมตรม
มิเคยได้อภิรมย์สมฤทัย
ได้ยินเสียงคำรามกัมปนาท
สายฟ้าฟาดชีวันก็หวั่นไหว
เหมือนสวรรค์เกรี้ยวโกรธพิโรธใคร
หรือเพราะได้พิพากษาชีวาคน
จึงบันดาลฝนฉ่ำชำระล้าง
จิตและร่างทุกข์คลายหายหมองหม่น
คงเพริศแพร้วแสงสว่างกลางกมล
เลิกสับสนพ้นทุกข์สุขสักที
เมื่อสายฝนรินรดหยดสุดท้าย
ดวงตะวันเฉิดฉายประกายสี
ส่องสว่างทั่วทั้งธรณี
เห็นวิถีให้ก้าวอีกยาวนาน
แหงนมองฟ้าสดใสไร้เมฆฝน
คงหลุดพ้นก้าวข้ามความร้าวฉาน
มีวันนี้ปราโมทย์คงโปรดปราน
ส่งสะพานสายรุ้งมาจากฟ้าไกล
27 กันยายน 2548 22:52 น.
เรไร
เซ็ง เซ็ง เซ็ง นั่งก็เซ็งนอนก็เซ็ง
เบื่อตัวเองทำไมใจต้องรู้
เบื่อรับความรันทดแสนหดหู่
กรอกข้างหูเช้าเย็นเป็นประจำ
เบื่อเบื่อเบื่อไปหมดเกินอดกลั้น
โดนเหยียดหยันประณามความซ้ำซ้ำ
กับวาจาค่อนแคะแงะถ้อยคำ
ไม่รู้พร่ำบ่นอะไรได้ทุกวัน
เบื่อเซ็งเซ็งเรื่องรักถือศักดิ์ศรี
กลัวเปื้อนคาวราคีหรือไงนั่น
จึงทะนงว่าสูงส่งกว่ากัน
มาเกลือกกลั้วกับฉันกันทำไม
เบื่อก็เซ็งเซ็งก็เบื่อเหลือจะอด
อาจจะหมดขีดขั้นกั้นมิไหว
มันทะลักทะล้นมาเวลาใด
อดทนได้จะเก็บกดความอดทน
เบื่อก็ทนเอาไว้ไม่เห็นแปลก
สติแตกเมื่อใดก็ไม่สน
จะผู้ลากมากดีมีหรือจน
ก็ตายได้หนึ่งหนคนเหมือนกัน