17 กรกฎาคม 2549 23:52 น.
เรไร
คือประกายแห่งไฟที่ใกล้มอด
ยามจิตกอดอาภัพทุกข์ทับถม
ให้หวาดหวั่นวิตกจนอกตรม
ยากจะข่มดับพิษที่จิตใจ
คือกองแห่งพระเพลิงที่เริงโรจน์
ยามเกรี้ยวโกรธกลัดกลุ้มคอยสุมใส่
คอยเติมเชื้อถั่งโถมโหมแรงไฟ
จนวายวอดมอดไหม้แม้ใจตน
คือเปลวไฟส่องทางสว่างจิต
นำชีวิตย่อยยับแสนสับสน
ช่วยชี้นำฝ่าข้ามความมืดมน
พาก้าวพ้นเผชิญโลกแห่งโชคชะตา
คือประกายของใจจุดไฟฝัน
ทุกคืนวันหวังวาดปรารถนา
เผาความทุกข์ทับถมตรมชีวา
เผาจนกว่าเลือดเนื้อเป็นเชื้อไฟ
15 กรกฎาคม 2549 10:47 น.
เรไร
กลางดงพงพนา...............ณ ผืนป่าถิ่นอิสาน
เริ่มย่ำรัตติกาล................จิ้งหรีดร้องเล่าเรื่องราว
เดือนเพ็ญเด่นกระจ่าง.....ส่องสว่างกลางหมู่ดาว
ค่ำคืนที่อบอ้าว.................กลับเหน็บหนาวในเดียวดาย
ยินเพียงเสียงขับขาน.........ก้องกังวานจากสหาย
คอยกล่อมให้ผ่อนคลาย......ลืมทุกข์ตรมถมชีวี
บทเพลงที่กู่ร้อง.................ท่วงทำนองแสนสุขี
ส่งผ่านความหวังดี..............ด้วยไมตรีมีให้กัน
ราตรีที่งดงาม.....................แม้ในยามจิตโศกศัลย์
มิตรภาพอาบแสงจันทร์.......จดจำมั่นนิรันดร
13 กรกฎาคม 2549 10:48 น.
เรไร
ขอเรียนเชิญเพื่อนสนิทมิตรสหาย
จงพักกายนั่งลงตรงนี้ก่อน
จะปูเสื่อเอนหลังนั่งหรือนอน
จิตรุ่มร้อนให้หายคลายกังวน
มาเถิดฟังเรื่องราวขอกล่าวขาน
อย่ารำคาญอาจทุเรศไร้เหตุผล
อยากชี้ชวนให้พินิจจิตใจคน
ขอเริ่มต้นตำนานสะท้านใจ
กาลครั้งหนึ่งนานเท่าใดก็ไม่รู้
ฉันอยากมีคนเชิดชูดูยิ่งใหญ่
คอยเสนอสิ่งดีงามอยู่ร่ำไป
ภาพสดใสแต่งจริตจนติดตัว
จนผู้คนหลงเชื่อว่าเนื้อแท้
ที่มีแต่ทองทาทาบไปทั่ว
หลงงมงายหลงเงาเหมือนเมามัว
หลงว่าตัวเปล่งปลั่งเหมือนดั่งทอง
ในโลกที่เสมือนจริงยิ่งสูงค่า
โลกมายากลับยิ่งหยิ่งผยอง
คิดว่าคนทั้งหลายต่างใฝ่ปอง
แต่ยามต้องออกมาเดินเผชิญโลก
ทองที่ทาทาบทับกลับหลุดลอก
ภาพที่ออกก็ล้วนอุปโลกน์
มารำพึงรำพันฉันไร้โชค
ภาพเศร้าโศกเขียนหลอกบอกตัวเอง
แต่สุดท้ายยังรักด้วยศักดิ์ศรี
คงถือดีอยู่ว่าตัวข้าเก่ง
เที่ยวบอกใครต่อใครใจนักเลง
โดนข่มเหงรังแกแพ้คำคน
ภาพที่สร้างน่าสลดแสนหดหู่
ทำให้ดูอาภัพสุดสับสน
บอกว่าฉันเหว่ว้าเข้าตาจน
ต้องทุกข์ทนใจท้อทรมาน
บทสุดท้ายชอกช้ำคำที่กล่าว
น้ำตากราวร่วงไหลใครสงสาร
จบเสียทีเรื่องลำเค็ญเช่นนิทาน
ให้คนขานฉันสร้างภาพตราบฟ้าดิน
6 กรกฎาคม 2549 23:43 น.
เรไร
อีกหน่อยคงเข้าใจ..............ว่าสิ่งไหนที่สำคัญ
อดีตหรือปัจจุบัน...............แยกจากกันได้อย่างไร
อีกหน่อยคงรู้ดี...................ว่าโลกนี้ยังสดใส
อยู่ที่จะก้าวไป....................ถ้าหากใจไม่เรรวน
อีกหน่อยคำว่ารัก...............เมื่อประจักษ์มักหอมหวน
พร่ำเพ้อละเมอครวญ.........จิตปั่นป่วนชวนให้ชม
อีกหน่อยคำว่าเหงา.............จากใจเราสิ้นขื่นขม
เคยวิตกอกตรม..................ร้าวระทมเลือนลับลา
อีกหน่อยเมื่อใจแกร่ง.........คงแสดงความหาญกล้า
เจ็บจำจนชินชา..................น้ำในตาจะไม่มี
อีกหน่อยจะเข้าใจ...............ความเป็นไปในโลกนี้
ชั่วช้าหรือว่าดี.....................สติมีก็คิดเอา
5 กรกฎาคม 2549 22:08 น.
เรไร
คงเหมือนดั่งนกน้อย............หลงทาง
ถลาร่อนลอยลมกลาง............ฟากฟ้า
ความหวังดั่งเลือนลาง...........มัวหม่น
ฝันสับสนใจล้า.......................อ่อนไร้โรยแรง
จุดหมายอยู่ ณ ห้วง...............หนใด
แล้วแต่ลมพัดไป....................ยากรู้
เพียงลอยเลื่อนเคลื่อนไหว.......ตามอากาศ
หรือพระพรหมคือผู้...............ขีดเส้นเกณฑ์ชะตา
อยากหยุดเกาะกิ่งไม้............คบคอน
หยุดร่อนเร่พเนจร................เสกสร้าง
สานรังพักกายนอน...............คงสุข
หวังว่าจักลบล้าง...................โศกเศร้าอดีตกาล
วันนี้ต้องต่อสู้.......................ดิ้นรน
แม้ผ่านพายุฝน...................โหดร้าย
เหน็บหนาวปวดร้าวทน..........กายสั่น
บินสู่ห้วงสุดท้าย...................ชดใช้กรรมเวร
หรือจนกว่าจักสิ้น.................ผลบุญ
หมดกุศลเนื่องหนุน...............กอบเกื้อ
ฟ้าคงจะการุญ.....................เพียงพบ
ที่สงบวางเลือดเนื้อ...............สู่พื้นธรณี