ภายหลังจากกินยาแก้อักเสบจากการเจ็บปวดที่หมอนรองกระดูกบริเวณหลัง อันเป็นผลเนื่องจากการหักโหม
ทำการเกษตรมากจนเกินไปตามประสาเกษตรกรแล้ว ผมก็เผลอหลับไปตอนไหนไม่ทราบ มารู้ตัวอีกที
ก็เห็นตัวเองกำลังปลูกผักอยู่ในแปลงเกษตรในที่แห่งหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนจะไม่คุ้ยเคยมาก่อน จึงหันไปถาม
ชายชราคนหนึ่งที่กำลังจัดไม้เลื้อยให้ยอดเลื้อยขึ้นไปตามเพิงไม้ไผ่ที่อยู่ใกล้ๆ นั้น.......
“ลุงครับๆ เราอยู่ที่ไหนกันครับนี่ ดูไม่คุ้นเคยเลย” ชายชราอายุราวๆ 70 ปี ตอบคำถามขณะก้มๆ เงยๆ อยู่กับงาน
โดยไม่หันหน้าเหลียวมาว่า...
“ใต้ดิน !” ผมรู้สึกประหลาดใจมากยิ่งขึ้นเมื่อได้ยินชายชรากล่าวออกมาแบบนั้น ผมจึงทวนคำอีกครั้งว่า..
“ใต้ดิน ?” เป็นเชิงตั้งคำถาม คิดว่าชายชรากล่าวล้อเล่นกับผม
“ใช่ใต้ดิน ลองมองขึ้นไปข้างบนดูดวงอาทิตย์สิ” ชายชราตอบ ได้ยินดังนั้นผมจึงเงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้า
ที่มีพระอาทิตย์ลอยอยู่ แต่ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็ไม่เหมือนพระอาทิตย์ที่เคยเห็นมา มันมีลักษณะคล้ายหลอดไฟ
ดวงใหญ่ๆ มากกว่าจะเป็นพระอาทิตย์จริงๆ
“นั่นเป็นดวงอาทิตย์เทียม ข้างบนดินเขาก็เริ่มนำมาใช้งานกันบ้างแล้ว" ชายชราอธิบาย ผมได้แต่ตกตะลึง
กับสิ่งที่ชายชรากล่าว จึงพยายามหันไปสำรวจรอบๆ ตัว ไม่ว่าจะเป็นสีของท้องฟ้า พืชพันธุ์ต่างๆ
หรือสภาพแวดล้อมรอบๆ ตัว ก็รู้สึกผิดแผกแตกต่างไปจากปกติ จนกระทั่งเมื่อผมมองไปที่ถนนหนทาง
ที่ห่างออกไปประมาณ 50 เมตรเห็นจะได้ ก็พบกับการสัญจรของผู้คนด้วยยานพาหนะแปลกตา มีตั้งแต่รถยนต์
รถมอเตอร์ไซค์ บ้างก็ขี่ม้า ไปจนถึงเดินเท้า แต่ที่สะดุดตามากที่สุดคงเป็นพาหนะลักษณะเป็นแผ่นๆ
ไม่ทราบทำจากวัสดุอะไร ขนาดไม่ใหญ่โตอะไร เพียงพอให้ผู้โดยสารยืนอยู่บนแผ่นนั้นได้ บ้างก็นั่ง บ้างก็ยืน
แผ่นนั้นลอยขึ้นเหนือพื้นถนนประมาณ 1 ฟุต และเคลื่อนที่ไปตามแนวถนนอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีส่วนใดสัมผัส
กับผิวถนนเลยแม้แต่น้อย มันทำให้คิดถึงพรมของอาลาดินในนิทานที่สามารถลอยได้ไปตามใจปรารถนา
ผมพยายามครุ่นคิดถึงพลังงานที่ใช้ในการขับเคลื่อนตามหลักวิทยาศาสตร์ แต่เกษตรกรความรู้น้อยนิด
อย่างผมคงยากที่จะอธิบายมันได้ มันดูเหมือนจะขัดกับหลักฟิสิกส์ทั่วๆ ไป แต่พอมาคิดว่า...หรือมันใช้
หลักการเหมือนกับรถไฟฟ้าที่ลอยอยู่เหนือรางที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ คบคิดไม่เข้าใจว่ายานพาหนะชนิดนี้สามารถ
เอาชนะแรงดึงดูดของโลกได้อย่างไร? คิดว่าน่าจะเกี่ยวกับเรื่องสนามแม่เหล็กหรือคลื่นพลังงานบางอย่าง?
ซึ่งดูราวกับว่ามันไม่ต้องใช้เชื้อเพลิงใดๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัยมากยิ่งขึ้น จึงอดไม่ได้ที่จะหันไปถามชายชราว่า
“ลุงครับ แผ่นวัสดุนั้นลอยได้อย่างไรครับ” ชายชราตอบกลับมาว่า
“นี่เป็นความลับของการสร้างปิรามิดกีซ่าที่อิยิปไงหนุ่ม”
“ผมไม่เข้าใจครับ?”
“เราสามารถเอาชนะหินที่มีน้ำหนักหลายสิบตันได้โดยการเอาชนะแรงดึงดูดของโลกหรือที่เรียกว่า
แรงโน้มถ่วงนั่นเอง แนวคิดนี้ทำให้เราสามารถขนย้ายหินหรือวัตถุที่มีน้ำหนักมากๆ ได้โดยไม่มีปัญหา
ตลอดจนสร้างยานพาหนะที่มีความเร็วมากกว่าความเร็วแสงได้หลายเท่าตัว เพราะมันไม่มีแรงเสียดทาน”
ผมได้แต่ทำหน้างุนงง ชายชราอธิบายต่อว่า
“คุณลองจินตนาการถึงความเร็วระดับพันล้านกิโลเมตรต่อชั่วโมงดูสิ” ผมได้แต่ทำตาลุกวาวคล้ายไม่เชื่อ
ในสิ่งที่ได้ยิน ชายชราหยุดมือจากการจัดไม้เลื้อย หันไปเอาน้ำหมักจุลินทรีย์ผสมกับน้ำ มองไกลๆ
เหมือนจะเป็นน้ำจากผลมะพร้าวทั่วๆ ไป ก่อนจะนำไปราดรดผักในแปลงเกษตร จากนั้นกล่าวต่อไปว่า
“จานบินที่พวกคุณบนโลกเห็นกันนั้น ส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากนอกโลก” ผมทำหน้าสงสัย ก่อนจะถามว่า
“หรือมันบินมาจากใต้ดินที่นี่?”
“ใช่แล้ว” ชายชรากล่าวสืบต่อไปว่า
“สิ่งที่มนุษย์โลกเรียกว่ามนุษย์ต่างดาวนั้น ส่วนใหญ่ไม่ใช่มนุษย์ที่มาจากดาวดวงอื่น ซึ่งครั้งในอดีตอาจจะใช่
แต่ปัจจุบันคือพวกเราที่นี่” ผมได้ยินชายชราพูดยิ่งเพิ่มความสงสัยมากยิ่งขึ้นไปอีก ก่อนที่ชายชราจะกล่าว
สืบต่อไปว่า
“บรรพบุรุษของเราคือชาวแอตแลนตีส ชาวมายา ชาวมู ซึ่งเป็นมนุษย์ต่างดาวที่มีความล้ำหน้า
ทางจิตวิญญาณและเทคโนโลยีสูงกว่าอารยธรรมบนโลกนี้มากนัก” ผมถามด้วยความสงสัยต่อไปว่า
“ผมเคยได้ยินเรื่องของเมืองแอตแลนด์ติส ชาวมายา และชาวมูมาบ้าง แต่เมืองของพวกเขาล่มสลาย
และหายสาบสูญไปหลายพันปีมาแล้ว หรือพวกเขาย้ายที่อยู่ลงสู่ใต้ดินและสร้างอาณาจักรแห่งใหม่ที่นี่?”
ชายชรากล่าวว่า
“ใช่แล้ว บรรพบุรุษของเราบางส่วนที่เหลือรอด ได้อพยพลงมาอยู่ที่นี่ และมนุษย์โลกส่วนใหญ่ไม่รู้
เหตุผลนะเหรอ? ด้วยเทคโนโลยีที่สูงกว่ามาก เราสามารถสร้างคลื่นสนามพลังงานเพื่อปกปิดร่องรอยของเรา
ทำให้พวกเขาไม่เคยสงสัยการดำรงอยู่ของเรา”
“หมายความว่าการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ของโลกเทียบไม่ได้กับมนุษย์ใต้ดิน?”
“ลุงก็หวังว่าวันหนึ่งพวกเขาจะพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสูงขึ้น เพราะพวกเราก็พยายาม
ช่วยเหลือมาตลอด ด้วยการส่งถ่ายเทคโนโลยี ความเข้าใจกฎธรรมชาติให้แก่พวกเขาเสมอมา พวกเรา
บางเผ่าพันธุ์มีหน้าตาคล้ายคลึงกับมนุษย์โลกและเกิดการผสมข้ามสายพันธุ์มาตลอดตั้งแต่ครั้งแรก
ที่เราอพยพมาจากดาวดั้งเดิมของเรา แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคขัดขวางการพัฒนาของมนุษย์โลกคือความป่าเถื่อน
หรือการด้อยการพัฒนาทางด้านจิตวิญญาณ”
ผมได้แต่พิจารณาตามคำกล่าวของชายชรา และเห็นว่ามีความเป็นไปได้อย่างมาก สำหรับเหตุผลนี้
เพราะเห็นว่าถ้ามนุษย์ไม่พัฒนาทางจิตวิญญาณเพียงพอเทคโนโลยีที่มีอยู่จะกลายมาเป็นอาวุธทำลายล้าง
เผ่าพันธุ์ของตัวเองอย่างเช่น อาวุธนิวเคลียร์ หรือระเบิดปรมาณู เป็นต้น
“อาทิเช่น สมาร์ทโฟนที่พวกคุณใช้กันอยู่ในปัจจุบันและเห็นว่าล้ำหน้าทางเทคโนโลยีมากนั้น
แต่พวกเราที่นี่ส่วนใหญ่สื่อสารกันโดยไม่ใช้ภาษาใดๆ เราใช้สิ่งที่พวกคุณเรียกกันว่าโทรจิต
ภาษาไม่มีความหมายใดๆ อีกต่อไปสำหรับเรา นี่เป็นแค่ตัวอย่างนะ”
“ผมเคยได้ยินมาว่าพระภิกษุที่ปฏิบัติธรรมเป็นอริยบุคคลเท่านั้นที่ใช้โทรจิตสื่อสารได้”
“แต่สำหรับพวกเราส่วนใหญ่ที่นี่สื่อสารกันด้วยโทรจิต ยกเว้นต้องสื่อสารกับมนุษย์ที่ไม่สามารถใช้โทรจิต
ได้เท่านั้น ที่เราจะใช้ภาษาของเขาสื่อสารกับเขาเอง บางโปรแกรมในสมาร์ทโฟนของพวกคุณก็เริ่มจะพัฒนา
ด้านนี้อยู่แล้ว (แปลภาษา)”
“ผมยังคงสนใจว่าพวกลุงสามารถเอาชนะแรงดึงดูดของโลกได้อย่างไร?”
“นี่เป็นความลับของพวกเรา แต่สำหรับมนุษย์โลกยังไม่พร้อมสำหรับความรู้อันนี้”
“พวกเราต้องพัฒนาทางด้านจิตวิญญาณให้มากกว่านี้ เพื่อเข้าใจกฎธรรมชาติใช่หรือเปล่าครับ? ”
“คุณลองจินตนาการว่ามนุษย์โลกที่ยังคงมีความป่าเถื่อนอยู่ แล้วสามารถเดินทางไปทั่วจักรวาลอันไกลโพ้น
ได้ภายในไม่กี่นาทีจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเขาพบว่ามีดาวดวงอื่นอีกจำนวนนับไม่ถ้วนที่มีมนุษย์อาศัยอยู่
และมีทรัพยากรที่เขาต้องการอยู่จำนวนมาก?”
“สงครามระหว่างดวงดาวครับ”
“ถูกต้องทีเดียว ทำไมพวกเราไม่เคยก่อสงครามเพื่อยึดโลกนี้เป็นของเราหล่ะ? และทำไมพวกเรา
ต้องหลบซ่อนจากพวกคุณเพื่อมาอยู่ที่นี่ ทั้งที่เรามีอาวุธที่ล้ำสมัยกว่าโลกมากนัก เพียงแค่เรายกมือ
กองทัพของมนุษย์โลกนับแสนๆ คนจะตายในทันที ! ด้วยอาวุธที่พวกคุณไม่เคยรู้จักเลยด้วยซ้ำ”
“หลายคนในหมู่พวกคุณเคยพบเจอพวกเราบางคนมาก่อนในอดีต และถึงกับเข้าใจว่าพวกเราคือพระเจ้า
ทั้งที่เราเป็นแค่มนุษย์เหมือนกันกับพวกคุณเท่านั้น หลายเรื่องราวถูกบันทึกในคัมภีร์ทางศาสนา โดยคิดว่า
มันเป็นการกระทำของพระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพหรือเป็นอิทธิฤทธิ์ปาฎิหาริย์ของเหล่าทวยเทพ
ทั้งที่ความจริงไม่ใช่”
“แล้วทำไมอารยธรรมของพวกลุงจึงล่มสลายครับ?” ผมถามไปด้วยความอยากรู้
“มนุษย์ก็คือมนุษย์ เมื่อใดก็ตามที่มนุษย์มีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์มากจนเกินไป การพัฒนา
ทางด้านจิตวิญญาณก็มักจะเสื่อมถอยลง และเริ่มต้นเบียดเบียนสิ่งมีชีวิต จนโลกเกิดการเสียสมดุล
สุดท้ายก็จบลงด้วยสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ หรือไม่ก็ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรง เหมือนกับโลกข้างบน
ที่เต็มไปด้วยสงคราม และภัยพิบัติจากภาวะโลกร้อนในตอนนี้ พวกเราก็เหมือนพวกคุณ”
“นั่นเป็นสาเหตุที่บ่อยครั้งมีจานบิน หรือ UFO มาปรากฏให้ชาวโลกได้เห็น เพราะพวกลุงรู้ว่าโลก
กำลังจะเกิดอะไรขึ้น เหมือนที่ครั้งหนึ่งเคยประสพมาก่อนในอดีต จึงคอยส่งสัญญาณเตือนใช่ไหมครับ?”
“ใช่แล้ว เราไม่สามารถแทรกแซงกฎแห่งจักรวาลได้มากนัก ทำได้แค่มาเตือน ช่วยเหลือเท่าที่ทำได้
มนุษย์ต้องเลือกเส้นทางเดินของตัวเอง เพราะพระเจ้าให้เจตจำนงอิสระแก่มนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว
จึงต้องรับผลที่ตัวเองเป็นคนก่อนั้นด้วย”
“ตามความคิดของลุงพระเจ้าคือใครครับ? “
“ในคัมภีร์ไบเบิ้ลไม่ได้กล่าวเอาไว้หรอกหรือว่า ร่างกายคือวิหารของพระเจ้า?”
“พระเจ้าอยู่ในตัวเรา?”
“พระเจ้าอยู่ในทุกหนทุกแห่ง รวมทั้งในตัวเราด้วย”
“แล้วเราจะค้นหาพระเจ้าได้อย่างไรครับ?”
“เริ่มต้นจากการค้นหาภายในตัวเราก่อน”
“นักการศาสนาสอนให้เชื่อในพระเจ้า เชื่อในการดำรงอยู่ของพระองค์ ถูกต้องไหมครับที่เขากล่าว?”
“คำถามก็คือว่า ถ้าคุณไม่เคยรู้จักพระเจ้าหรือไม่เคยพบเห็นพระองค์ คุณจะเชื่อได้อย่างไร?”
“นั่นเรียกว่าเชื่อแบบงมงายใช่ไหมครับ?”
“คุณต้องพิสูจน์ด้วยตัวคุณเอง การจะเชื่ออะไร คุณต้องมีหลักฐานผ่านการลงมือกระทำ
หรือประสบการณ์ของชีวิต”
“วิธีการคืออะไรครับ?”
“บนโลกของพวกคุณมีหลากหลายวิธี หนึ่งในนั้นคือการฝึกสมาธิจดจ่อ อยู่กับตัวเอง ทำความรู้จักกับตัวเอง
ให้มากยิ่งขึ้น”
“เพราะร่างกายคือวิหารของพระเจ้าใช่ไหมครับ?”
“ถูกต้องทีเดียว”
“ผมสนใจเทคโนโลยีในการบินของพวกลุง ผมคิดจะสร้างจานบินที่เร็วกว่าแสง จะได้ท่องเที่ยว
จักรวาลให้ทั่ว จะมีความเป็นไปได้ไหมครับ?”
“เดี๋ยวลุงจะให้แบบแปลนของตัวยานไป แต่วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างต้องไปหาเอาที่ดาวดวงอื่นนะ
เพราะบนโลกไม่มีวัสดุชนิดนี้”
“ผมได้แต่ทำหน้าผิดหวัง พร้อมกับถอนหายใจ เฮ้อ! “