สำหรับผู้ที่เป็นเจ้าของปราสาทมีนามว่า เซอร์ เบอติรัค เขามีศรีภรรยาผู้เลอโฉม นามว่า ฟิเดเลีย แม้ว่าจะผ่าน
เวลาแห่งการต้อนรับขับสู้ไปแล้ว ซึ่งรวมถึงการร่วมรับประทานอาหาร เล่นหมากรุก และดื่มไวน์ แต่ฟิเดเลียก็
ยังคงโปรยเสน่ห์คอยเย้ายวนกาเวอินอยู่เรื่อยมา ซึ่งแสดงให้เห็นได้ชัดว่าเธอก็หลงใหลในความเป็นหนุ่มมี
เสน่ห์ของกาเวอินอยู่ไม่น้อย จนแทบจะเรียกได้ว่าไม่เคยละสายตาไปจากเขา
หลังจากผ่านพ้นคริสต์มาสไปแล้วสองวัน อากาศสดใสดีขึ้นมาก เบอติรัคจึงตัดสินใจที่จะเข้าป่าเพื่อล่าสัตว์
“ฉันเห็นว่าท่านยังอ่อนเพลียจากการรอนแรมมานาน จึงไม่สมควรที่จะออกไปกับฉันหรอก” เขากล่าวขึ้น
“ท่านจงพักผ่อนอยู่ที่บ้าน ทำตัวให้สบายๆ ภรรยาของฉันจะดูแลท่านเอง เออ! ฉันนึกอะไรได้อย่าง คือพอตก
เย็น ฉันจะนำสิ่งที่ล่าได้จากป่ามาให้ท่าน แต่ท่านจะต้องมอบอะไรก็ตามที่ท่านได้มาในวันนั้นให้แก่ฉันเป็นการ
ตอบแทน ตกลงไหม”
“ด้วยความเต็มใจเลยท่าน” กาเวอินกล่าวตอบ
วันถัดมา เซอร์ เบอติรัค ก็เข้าป่าออกล่าสัตว์ ส่วนกาเวอินยังคงเอนหลังอยู่บนเตียงกำลังขีดเขียนอะไรสักอย่าง
เขาตั้งใจไว้ว่าจะแต่งบทร้อยกรองขึ้น เพื่อเป็นของแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่เบอติรัคล่าได้จากป่า มันคงจะเป็นบทกวี
บทสุดท้ายแห่งชีวิตของเขา ดูสิว่าจะออกมาในแนวใด
แต่ทว่าบทกวีก็ไม่มีโอกาสจะได้เขียนจนจบ เมื่อฟิเดเลียโผล่ศีรษะเข้ามายิ้มละไมอยู่ที่หน้าประตู
“เป็นอย่างไรบ้าง พ่อกาเวอินผู้รูปหล่อ วีรบุรุษแห่งห้วงหัวใจฉัน”
เธอเอ่ยขึ้น พร้อมกับพาตัวเองเข้ามาในห้องและนั่งลงบนเตียงนอนของเขา กาเวอินจึงรีบดึงผ้าห่มมาคลุมตัว
เองให้มิดตั้งแต่เท้าจรดปลายคาง
“เขาเล่าลือกันว่าเธอเป็นเสือผู้หญิงผู้ยิ่งใหญ่” แล้วนางก็กระซิบเบาๆต่ออีกว่า
“ในระหว่างที่สามีฉันไม่อยู่ จะไม่แสดงให้ฉันเห็นเลยเหรอ”
“ฉันไม่รู้ว่าใครบอกแก่เธอเยี่ยงนั้น” กาเวอินกล่าวอย่างเขินอายจนหน้าแดง
“ฉันเป็นอัศวินจริงๆ ซึ่งอัศวินแท้จะไม่เคยแส่หรือยุ่งเกี่ยวกับสตรีที่แต่งงานแล้ว”
ทว่าฟิเดเลียก็ไม่ยอมห่างไปไหน เธอปรารถนาการจุมพิตจากกาเวอินผู้มีชื่อเสียง ก็เห็นจะจริงว่าการจุมพิตของเขา
ถือเป็นสิ่งที่เลื่องลือ เพราะแม้แต่อยู่ไกลแสนแดนกันดารอีกด้านหนึ่งของโลกเช่นนี้ ก็ยังคงนับเนื่องอยู่เหมือน
กัน เธอเองเล่าก็มีความสวยอันเลิศเลอเหนือกว่าสตรีใดๆ หากแต่ความคิดของกาเวอินนั้นหยุดอยู่แต่เพียงเรื่อง
ของวันขึ้นปีใหม่ เขาปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะขึ้นสวรรค์เมื่อตายไป เขาจึงตั้งใจที่จะไม่ประพฤติตนผิดศีล
ธรรมอันดีงาม
แต่ก็อีกนั่นแหละ เขาก็ไม่อยากจะทำตัวให้ขัดใจหรือไม่สุภาพต่อความปรารถนาของสุภาพสตรี
จนในที่สุด เขาจึงตัดใจได้ว่า ก็แค่จุมพิตเพียงครั้งเดียวคงจะไม่เสียหายอะไรนัก แล้วเขาก็ยอมให้ฟิเดเลียจุมพิต
เขาเป็นการตอบคืนด้วย ซึ่งมันก็ให้ความรู้สึกสัมผัสคล้ายๆกับเวลาถูกแมวเลียแค่นั้นเอง
ครั้นเซอร์ เบอติรัค กลับเข้าบ้าน สิ่งที่เขาล่าได้ก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากพวกหมาจิ้งจอกแก่ๆหลายตัวทีเดียว
ถึงอย่างไรเขาก็ได้นำมันมามอบให้แก่กาเวอินตามข้อตกลง กาเวอินสูดลมหายใจเข้าปอดจนเต็มอก
“ถ้าเช่นนั้นฉันก็จะต้องรักษาสัญญาข้างฝ่ายฉันเช่นกัน” เขากล่าวพลาง ก็ตรงเข้าไปโอบไหล่เบอติรัคแล้วก็
จุมพิตหนักๆลงที่หน้าผากของเขา
“โอ้!” เบอติรัคอุทาน (กาเวอินรู้สึกโล่งใจ เมื่อเขาไม่ได้ซักถามอะไร)
ในวันถัดมา เซอร์ เบอติรัค ก็ออกล่าเนื้ออีกครั้ง ในขณะที่กาเวอินยังอยู่บนเตียงนอน เขากำลังพยายามจะแต่ง
บทเพลง ซึ่งคงจะเป็นบทเพลงสุดท้ายแห่งชีวิต อย่างน้อยก็เพื่อดึงความคิดออกไป ไม่ให้ใจจดจ่ออยู่กับวันขึ้น
ปีใหม่ที่กำลังใกล้เข้ามา
แต่แล้วบทเพลงดังกล่าวก็ไม่มีโอกาสจะได้แต่งจนจบ เมื่อฟิเดเลียเข้ามาหาเขาด้วยท่าทีอันปรารถนาที่จะอยู่ด้วย
นั้น มีเพิ่มขึ้นหลายเท่านัก เขาพยายามอธิบายต่อเธอว่าการที่เขาขโมยจุมพิต ซึ่งเป็นสิทธิ์สมบูรณ์อันชอบแห่ง
ผู้เป็นสามีนั้น เป็นสิ่งมิบังควรและขัดต่อศีลธรรมอันดีงาม ทว่าเธอก็ยืนยันแต่เพียงว่าเธอรักใคร่เขาและเหนือ
สิ่งอื่นใดเขาช่างเป็นสุภาพบุรุษที่สมบูรณ์แบบจริงๆ ในที่สุดเขาก็มิอาจจะยับยั้งการฝังรอยจุมพิตของเธอ ที่ประ
ทับลงบนแก้มซ้ายและขวาของเขา
ครั้น เซอร์ เบอติรัค กลับเข้าบ้าน เนื่องจากวันนี้เขาล่าหมูป่าได้ เขาจึงมอบเขี้ยวหมูอันเงางามนั้นให้แก่กาเวอิน
และเพื่อเป็นการตอบแทน กาเวอินจึงตรงเข้าไปจับที่ข้อศอกของเขาแล้วก็ประทับจุมพิตลงที่แก้มทั้งสองข้าง
“ดีแล้ว!” เบอติรัคอุทาน กาเวอินก็รู้สึกโล่งใจอีกครั้งที่เขาไม่ได้ซักถามอะไร
ในวันถัดมา ซึ่งเป็นวันส่งท้ายปีเก่า เซอร์ เบอติรัคก็ออกล่าสัตว์อีกครั้งหนึ่ง ส่วนกาเวอินก็ยังอยู่บนเตียงนอน
และพยายามจะสวดมนต์อ้อนวอนพระผู้เป็นเจ้า และถือเป็นการสวดครั้งสุดท้ายแห่งชีวิต เพราะในวันรุ่งขึ้นเขา
จะต้องออกไปพบกับอัศวินมรกตตามคำมั่นสัญญา
แต่แล้วการสวดมนต์ของเขาก็ต้องถูกรบกวนอีกจนได้ เมื่อฟิเดเลียขึ้นมานั่งอยู่บนเตียงและปรารถนาใคร่จุมพิต
เขาอีกคำรบหนึ่ง แต่คราวนี้ฟิเดเลียช่างมีความสวยสดงดงามเอามาก จนกาเวอินเองก็ถึงกับเผลอใจไปใหลหลง
อย่างไรเสีย เขาก็คงม้วยมรในวันถัดมาอย่างแน่นอนและไม่มีโอกาสที่จะหาความสุขให้กับตนเองได้อีกต่อไป
ถึงปานนั้น กาเวอินก็เพียงแต่ยินยอมให้ฟิเดเลียจุมพิตเขาแค่สามครั้ง ทั้งนี้ก็เพราะเขาปรารถนาอย่างแรงกล้า
ที่จะได้ขึ้นสรวงสวรรค์เมื่อตายไป
ต่อมาฟิเดเลียได้มอบของขวัญให้แก่เขา กล่าวคือเธอแก้เอาเข็มขัดสีเขียวออกจากบั้นเอวของเธอเอง
“โปรดเก็บรักษาสิ่งนี้เอาไว้ ถือว่าเป็นพยานแห่งความรักของฉัน” เธอกล่าว
“มิได้หรอก ฉันรับไม่ได้”
“เธอคงคิดว่ามันเป็นของธรรมดาๆและด้อยค่าเกินกว่าที่จะรับไว้”
“หามิได้ คือฉันหมายความว่า...”
“มันไม่ใช่ของธรรมดา มันเป็นเข็มขัดที่ทรงพลังอันมหัศจรรย์ ใครก็ตามที่สวมใส่จะปลอดภัยแคล้วคลาดจาก
ภยันตรายทั้งมวล ถึงถูกฆ่าก็ไม่อาสัญ”
คราวนี้เองที่กาเวอินไม่อาจจะฝืนทนต่อความปรารถนาของตนเองได้ เขาจึงรับเอาเข็มขัดอันนั้นและสวมใส่
เอาไว้ที่ไหล่ข้างหนึ่ง
ครั้น เซอร์ เบอติรัค กลับเข้าบ้านในตอนเย็นวันนั้น เขาก็ไม่ได้นำมันมามอบให้แก่เบอติรัค ถึงแม้สิ่งที่นำมา
แลกเปลี่ยนจะเป็นเนื้อกวางอย่างดีที่ได้จากการล่าก็ตาม เขาก็ตอบแทนคืนแต่เพียงให้การจุมพิต
จุมพิตครั้งที่หนึ่ง“โอ้!”
จุมพิตครั้งที่สอง“ดีแล้ว!”
จุมพิตครั้งที่สาม“ดีจริงๆ!”
ส่วนเข็มขัดสีเขียวกาเวอินได้เก็บเอาไว้เอง เผื่อว่ามันเป็นของวิเศษจริงๆมันก็อาจจะช่วยรักษาชีวิตเขาให้รอด
ได้
ในวันรุ่งขึ้น กาเวอินจึงกล่าวคำอำลาแก่ เซอร์ เบอติรัคและภรรยาของเขา แล้วก็ขี่ม้าออกไปตามที่ได้ให้คำมั่น
สัญญาเอาไว้ ในขณะที่ขวานอันเขื่องซึ่งห้อยอยู่ข้างอานม้าก็แกว่งไกวอยู่ไปมา คนรับใช้ของปราสาทเข้ามาทำ
หน้าที่นำทางให้แก่เขาจนมาถึงที่ ซึ่งเป็นทางแคบๆระหว่างหุบเขา และเต็มไปด้วยพวกมอสกับพฤกษ์พันธุ์อัน
เขียวขจี ตรงกลางทางเดินนั้นเป็นหิน และส่วนปลายสุดของกำแพงหินนั้นคือลานศิลา ซึ่งเป็นบริเวณหน้าทวาร
เข้าปราสาท
“ต่อให้มีทองคำอยู่ในนั้น ฉันก็จะไม่เอาอย่างท่านหรอกนะ” คนรับใช้พูดเสร็จก็รีบควบม้าห้อหนีไปเท่าที่
จะเร็วได้
“ฉันมาตามสัญญาแล้วท่าน!” เสียงแหลมเล็กของกาเวอินสะท้อนไปตามกำแพงหิน เขารู้สึกหวาดกลัวเหลือ
ที่สุด
ทันใดนั้น อัศวินมรกตก็กระโดดออกมาจากโขดหิน และแสดงตัวยืนตระหง่านอยู่ต่อหน้าเขานั่นเอง ศีรษะของ
เขากลับไปตั้งอยู่ที่คอเหมือนเดิมแล้ว ดวงตาแดงก่ำและดุดันนั้นส่องประกายอยู่วาววาม เขาสะแหยะยิ้มและเผย
ให้เห็นฟันสีเขียวอย่างชัดเจน
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ไม่ได้นำความอดสูมาสู่หมู่อัศวินแห่งวังคามีล็อตน่ะสิ เจ้าคือคนที่กล้าหาญกว่าทุกคนที่ข้าเคย
พบเห็น ก้มหัวลงมาไอ้หนู เป็นทีของข้าได้ฟาดเจ้าด้วยขวานบ้างล่ะ ตามที่เราตกลงกันเอาไว้เมื่อหนึ่งปีก่อนยัง
ไงล่ะ”
กาเวอินถอดหมวกเหล็กสมรภูมิออกและพึมพำสวดมนต์เป็นครั้งสุดท้าย แล้วก็นั่งคุกเข่าและก้มศีรษะลง ผม
หยักสีทองของเขาตกลงมาพาดที่แก้มทั้งสองข้าง ขณะเดียวกันอัศวินมรกตก็หยิบเอาขวานออกมาจากข้างอาน
ม้าของกาเวอิน เขายกขวานขึ้นสูง เสียงคมขวานแหวกอากาศจนกาเวอินต้องเหลือบขึ้นมอง พลันที่เห็นคมบั่น
กำลังฟันลงมา ด้วยสัญชาตญาณ เขาทรุดกายดำดิ่งลงกับโคลน คมขวานจึงพลาดและเฉียดไปห่างแค่
เพียงเส้นผม
“อะอ๋า! เจ้าก็คนขี้ขลาดนี่เอง ในที่สุด! ข้าเคยหดหัวไหม ข้าเคยขยับหลบทางขวานไหม”
“แต่ท่านก็มิได้สูญเสียอะไรมากเลยนี่” กาเวอินกล่าวโต้ตอบ ในขณะที่ขยับกลับขึ้นมาจากโคลนตม
“เมื่อศีรษะของฉันหลุดออกไปแล้ว มันไม่สามารถจะนำกลับมาต่อใหม่ได้ง่ายๆเหมือนอย่างของท่านนี่นา”
แต่ว่ากาเวอินก็รู้สึกละอายในความขี้ขลาดของตน
“ขอให้ท่านฟันอีกทีเถิด คราวนี้ฉันจะไม่หดหัวอย่างแน่นอน” เขากล่าว พลางก็นำมือมาประสานอก
แล้วก้มศีรษะและหลับตาลงอย่างยอมรับในชะตากรรมแต่โดยดี
ขวานถูกเงื้อขึ้นจนสุดอีกครั้ง อัศวินมรกตตะเบ็งกำลังพร้อมจะลงขวานอย่างเต็มเหนี่ยว พอได้จังหวะก็ฟาดลงมา
ทันที เข็มขัดสีเขียวที่กาเวอินสวมอยู่ที่หัวไหล่ถูกมุมของคมขวานเฉือนขาดออกจากกันในทันใด คมขวานยัง
เฉียดไปเถือหนังคอของเขาจนเลือดสีแดงราวกับลูกฮอลลี่ไหลซิกๆออกมา
อารามดีใจสุดขีด กาเวอินทะลึ่งพรวดลุกขึ้นมายืนทันที การฟันด้วยขวานได้ผ่านพ้นไปแล้ว ซึ่งเจ้ามนุษย์ยักษ์
ได้ทำพลาด เขาจึงมีชีวิตรอดอยู่ได้! เขาดีใจมากจนไม่อาจจะรับรู้ถึงความเจ็บปวดที่เกิดจากบาดแผลที่คอ เขา
รู้สึกเป็นสุขมากที่สุดในชีวิต
แต่ขณะเดียวกันอัศวินมรกตก็มิได้รู้สึกว่าเขาเองประสบกับความล้มเหลวแต่อย่างใด
“จริงทีเดียว กาเวอิน” เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแปลกๆและคุ้นหู
“จริงทีเดียว ท่านเป็นหนึ่งในอัศวินที่ดีเลิศที่สุดที่ฉันเคยพบเห็นมา ถึงจะไม่สมบูรณ์แบบนัก แต่ก็เพียงพอ
สำหรับความภาคภูมิใจในตัวเอง ท่านได้ให้การจุมพิตแก่ฉัน นับตั้งแต่จุมพิตครั้งเดียว สองครั้ง และแม้กระทั่ง
สามครั้ง แต่เข็มขัดสีเขียวนั่น ท่านกลับเก็บมันไว้สำหรับตัวเอง เหตุนั้นฉันถึงได้เถือหนังคอให้เป็นรอยแก่
ท่าน มันเป็นบาดแผลแต่เพียงเล็กน้อยสำหรับการย้ำเตือนความทรงจำถึงคำโกหกนิดๆของท่านเท่านั้นเอง”
“ท่าน เบอติรัค!”
“ถูกต้องแล้ว ฉันก็เป็นคนๆเดียวกันกับที่ท่านเห็นที่ปราสาท การปลอมตนของฉันเกิดจากอำนาจเวทมนต์แห่ง
ราชินีมอแกน เลอ เฟย์ ผู้เป็นพระพี่นางเธอแห่งพระเจ้าอาร์เธอร์นั่นเอง ด้วยพระนางประสงค์จะข่มขู่กษัตริย์
อาร์เธอร์และเหล่าอัศวินโต๊ะกลมของพระองค์ พระนางเชื่อว่าคงจะไม่มีใครกล้าหาญพอที่จะรับคำท้าทายกับ
อัศวินยักษ์ในร่างของฉันอย่างแน่นอน ฉันรู้สึกดีใจ ซึ่งพระนางก็ได้เห็นแล้วว่ามิเป็นความจริง ฉันเป็นคน
ร้องขอให้ภรรยาของฉันทดสอบความสัตย์ซื่อของท่านเอง ท่านเกือบจะผ่านการทดสอบแล้วทีเดียว แต่จริงๆ
แล้ว ท่านก็ผ่าน!
ส่วนเหตุผลที่ท่านเก็บเข็มขัดเอาไว้เองก็มุ่งหมายว่าจะได้มีชีวิตอยู่รอด สำหรับคนในวัยฉกรรจ์ทั่วไป ก็ถือว่า
เป็นสิ่งที่ให้อภัยกันได้ จงมาจับมือและเป็นมิตรกันเถิด
ณ วันนี้! ท่านได้พิสูจน์ถึงความเป็นอัศวินอย่างแท้จริงแล้ว โปรดเก็บเข็มขัดนั้นเอาไว้ มันไม่ได้มีอำนาจ
มหัศจรรย์แต่อย่างใดหรอก แต่มันก็เป็นฝีมือถักของภรรยาฉันเอง ส่วนสีของมันก็จักเป็นสิ่งเตือนใจให้ท่าน
ระลึกถึงฉันและภรรยาของฉันด้วย ฉันกล้าพูดเช่นนั้น”
แต่แล้วความสุขใจของกาเวอินก็เป็นอันล่มสลาย และกลับกลายเป็นความรู้สึกที่ต่ำต้อย ขลาดเขลา และน่าอดสู
ใจ เพราะเหตุว่าเขาแอบเก็บเข็มขัดเอาไว้ ซึ่งเป็นการกระทำผิดต่อคำสัญญาที่ได้ให้แก่มิตรสหาย และยังได้เห็น
ด้วยว่าตัวเองก็เป็นคนขี้ขลาดคนหนึ่ง ความหนักอกที่ตกแก่เขาเองในข้อนี้จึงมีมากกว่าอัศวินมรกตเหลือคณา
นัก ผู้ซึ่งเวลานี้กำลังหัวเราะร่าอย่างเป็นสุข และดังก้องกังวานไปตามกำแพงหินที่อยู่เบื้องหลัง ราวกับเสียงสั่น
ของระฆังในเทศกาลคริสต์มาส
ถึงแม้อัศวินมรกตหรือ เซอร์ เบอติรัคจะเชิญชวนกาเวอินให้กลับไปร่วมดื่มและรับประทานที่ปราสาทกันอีก
ครั้งหนึ่ง แต่เขาก็หาได้ตอบรับคำเชื้อเชิญนั้นไม่ เขากล่าวขอบคุณและให้เหตุผลว่าเขาจากสำนักพระเจ้าอาร์
เธอร์มานาน ป่านฉะนี้คงจะเป็นห่วงเขามาก เขากล่าวคำอำลาแก่อัศวินมรกตและฝากความระลึกถึงแด่ภรรยา
ของเขาด้วย
“ฉันจะเก็บเข็มขัดนี้เอาไว้เป็นเครื่องเตือนใจ ในยามที่ฉันขาดความกล้าหาญ” เขากล่าว
“บางที มันอาจจะช่วยให้ฉันรอดพ้นจากความขี้ขลาดที่อาจจะบังเกิดขึ้นอีกในวันข้างหน้าได้”
กล่าวเสร็จเขาก็กระโดดขึ้นหลังม้ากรินกาเร็ตแล้วควบฝ่าหิมะมุ่งหน้าคืนสู่มาตุภูมิ
ครั้นกลับมาถึงพระราชวังคามีล็อต กาเวอินก็ได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้เหล่าอัศวินทั้งหลายรับฟังโดยมิได้ปิดบัง
ความจริงหรือเห็นว่าเป็นสิ่งน่าละอายสำหรับตนเลยแม้แต่น้อย เวลานี้ของตกแต่งต่างๆในเทศกาลคริสต์มาส
ก็ถูกรื้อถอนออกไปจนหมดสิ้นแล้ว สิ่งที่เคยห้อยไว้ประดับประดาก็ได้นำลงมาพับเก็บไว้เป็นที่เรียบร้อย
แม้แต่ต้นคริสต์มาสก็ถูกนำไปเผาไฟจนสิ้น
เมื่ออัศวินทั้งหลายเหล่านั้นได้รับทราบเรื่องราว ต่างก็พากันหัวเราะจนดังลั่นพอๆกับเสียงหัวเราะของอัศวิน
มรกต พระเจ้าอาร์เธอร์ทรงสดับเช่นนั้นจึงคว้าเอาธงทิวสีเขียวที่ประดับอยู่ ณ ข้างบัลลังก์ มาทรงตัดออกให้เป็น
แถบบางๆหลายชิ้น
“นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป” พระองค์ตรัสประกาศขึ้น
“พวกเราทุกคนจักต้องคาดแถบเข็มขัดสีเขียวนี้ ให้เหมือนกันกับกาเวอิน เหตุไฉนจะต้องทำให้เขาผิดแผก
ไปจากหมู่เหล่าอัศวินของเขาด้วยเล่า พวกเราเองก็ไม่มีใครสักคนที่สมบูรณ์แบบ แต่มันก็เป็นความพยายาม
ในสิ่งนั้น”
ในห้วงเวลาแห่งการผจญภัยกับอัศวินมรกต ไม่มีใครเลยจะล่วงรู้ถึงความเลวร้ายที่กาเวอินได้ประสบพบพาน
เว้นเสียแต่ตัวของเขาเอง ซึ่งได้นำชีวิตจนรอดพ้นภยันตรายและอุปสรรคนาๆประการ อันเกิดจากความผิด
บาปแห่งความหยิ่งในเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีของตน แต่ก็ทำให้เขาดูเป็นบุคคลที่ดีเด่นขึ้น หากจะจัดว่ายังไม่
ใช่อัศวินที่สมบูรณ์แบบ
การพบกับอัศวิน*ที่สมบูรณ์แบบ ยังคงจะต้องรอคอยกันอีกต่อไป เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
*ถึงแม้นอัศวินที่สมบูรณ์แบบจริงๆอาจจะต้องรอคอยกันอีกต่อไป หรืออาจจะมีอยู่แต่เพียงในโลกแห่งอุดมคติ
ทว่าสุภาพบุรุษอัศวินในโลกแห่งความเป็นจริงซึ่งเป็นที่ยอมรับกัน ก็สามารถจะพัฒนาขึ้นมาได้ อย่างน้อย
หากมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
“สุภาพบุรุษอัศวินไม่สิ้นสูญ
หากเกื้อกูลนำพาความกล้าหาญ
สุจริตอุทิศตนพ้นประมาณ
รักเพื่อนบ้าน เกียรติ ชาติ ราชบัลลังก์
รู้รักษาวาจาสัญญามั่น
ช่วยเหลือกันพ้นภัยสมใจหวัง
ไม่หวั่นไหวการศึกผนึกพลัง
เป็นเหมือนดั่งผู้นำพร้อมกำชัย
ทรหดอดทนไม่บ่นพร่ำ
ฝึกกำยำทุกกีฬาพาสดใส
เอื้ออาทรคนอ่อนแอผู้แก่วัย
สตรีไซร้ต้องให้เกียรติทุกชั้นชน
ช่วยคนอื่นก่อนตัวไม่มัวช้า
เล่นกีฬามุ่งสนุกทุกแห่งหน
มิมุ่งหมายกำชัยในกมล
มิถือตนคุยโวอวดโอ้ใคร
มิหลงเพลินเงินทองให้หมองจิต
ผูกมัดติดหนึ่งเสน่ห์มิเฉไฉ
มีหญิงเดียวเกลียวแน่นกลางแก่นใจ
มิปราศรัยคำหยาบจ้วงจาบสตรี”