ตอนที่ 29
หลังม่านเมฆสีดำที่ปกคลุมความสว่างไสวของชีวิตหลายชีวิตในช่วงเวลาหนึ่งได้ลอยพ้นผ่านไป ลำแสงแห่งชีวิตก็ปรากฏมาอีกครา แสงแห่งวันใหม่ที่จะมาทาทับจิตใจที่ครั้งหนึ่งเคยมืดดำรอเพียงวันเวลาเท่านั้นที่จะมาเยียวยาบาดแผลอันฝังลึกนั้น ให้จิตใจกลับมาเป็นเหมือเดิมอีกครา
ชโลธรถอนหายใจกับเรื่องราวทั้งหมด แต่ก็ยังมิวายที่จะกล่าวโทษตนเอง ที่เป็นผู้ชักนำให้คนทั้งหมดเข้าไปสู่บ่วงบาศแห่งความอาฆาตของรันชรี จนใครหลายคนต้องประสพชะตากรรมเช่นนี้
แพรวพรรณเดินทางไปอเมริกาแล้ว!
และอานนท์กลายเป็นอัมพาต!
ทุกอย่างล้วนแต่เป็นผลกรรมทั้งนั้น กรรมใดใครก่อกรรมนั้นย่อมคืนสนอง ทำกรรมดีก็ย่อมได้รับสิ่งที่ดี ทำกรรมเลวก็ย่อมได้รับสิ่งที่เลวร้ายกลับคืน
มันคือสัจธรรมที่เลี่ยงไม่ได้
รันชรี...ป่านนี้วิญญาณหญิงสาวจะเป็นเช่นไร ความอาฆาตพยาบาททั้งหลายจะเบาบางหรือเหือดหายไปหรือยัง หลังจากที่นำพาชายทั้งสองออกมาจากบ้านเธอแล้ว ชโลธรไม่เคยสัมผัสกับรันชรีได้อีกเลย เธอทำได้แค่เพียงแผ่เมตตาให้หญิงสาวเท่านั้น หรือบางทีหญิงสาวอาจจะไปสู่ภพภูมิที่ถูกที่ควรแล้วก็เป็นได้
หญิงสาวถอนหายใจกับเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น
อีกสองวันก็จะถึงงานบวชของโชคและกิตติแล้ว ชโลธรเชื่อว่าความปลอดโปร่งโล่งใจนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับเธอคนเดียวเป็นแน่
เมื่อคิดถึงโชค...หลังจากผ่านพ้นเหตุการณ์ร้ายๆ เธอก็ยอมรับว่าความรู้สึกหนึ่งที่เกิดกับเธอโดยไม่สามารถทัดทานได้เลยคือ “ความรัก” เธอรักผู้ชายคนนี้เข้าเสียแล้วจริงๆ หญิงสาวหวนนึกถึงช่วงเวลาที่อยู่ในโรงพยาบาล ชายหนุ่มเกาะกุมมือเธอไว้แน่น พร้อมกับสารภาพความรู้สึกทั้งหมดที่มีต่อเธอ
“คุณรัน...แหม่มรักคุณโชค แหม่มสัญญาว่าจะดูแลเขาให้ดี เพราะอย่างน้อยเขาก็เป็นเพื่อนคนหนึ่งที่คุณรันรักมาก” หญิงสาวเอ่ยขึ้นมา เพื่อหวังว่ารันชรีจะรับรู้ได้
ส่วนกิตติ ชโลธรเองไม่รู้ว่าผลกรรมที่เขาได้รับนั้น มันจะจบสิ้นแล้วหรือยังกับสิ่งเลวร้ายที่เขาหยิบยื่นให้กับรันชรี แต่หลังจากออกจากโรงพยาบาล เขาก็กลับมาทำงานเช่นเดิม คงเป็นเพราะเอกสารจากทางโรงพยาบาล ที่สามารถนำมาชี้แจงถึงการหายตัวไปของเขา เขายังคงเดินหน้าทำงานต่อไปด้วยความมุ่งมั่น
“ความรู้สึกผิดที่มีต่อรันมันจะเป็นตราบาปในชีวิตผมทั้งชีวิต ผมไม่อยากจะคิดเรื่องความรัก ผู้หญิง หรือเรื่องแต่งงานอีกเลย” ประโยคนั้นของกิตติที่บอกกล่าวกับชโลธร
วันนี้กิตตินัดกับโชคไว้ที่ร้านอาหาร เพื่อตรวจเช็คความพร้อมสำหรับงานบวชในอีกสองวันข้างหน้า เขาเข้าไปนั่งในร้านอาหารอีกครา แต่เมื่อดวงตากระทบกับสีแดงกำมะหยี่ของดอกกุหลาบดอกโตนั้น ความระลึกถึงรันชรีก็แล่นเข้ามา
“โอ้! รันชรี หากวันนี้เธอยังมีชีวิตอยู่ งานในอีกสองวันข้างหน้าอาจจะเป็นงานแต่งงานของเราก็เป็นได้” กิตติย้ำคิดถึงเรื่องการแต่งงานที่เขาเคยให้สัญญากับรันชรีเอาไว้
ดวงตาของเขาร้อนผ่าวมาอีกครั้ง แต่ในวันนี้รันชรีไม่มีตัวตนอยู่ในโลกใบนี้แล้ว ผลของบุญกุศลที่เขากำลังจะกระทำหวังว่าจะนำพาเธอให้เป็นสุข หากชาติหน้ามีจริงเขาจะขอเกิดมาเพื่อรับโทษทัณฑ์จากเธออีกครั้งเพื่อความรู้สึกผิดในขณะนี้จะเหือดหายลงไปบ้าง
มารดาของโชคนั้นอิ่มเอมใจเป็นหนักหนา กับงานบวชของบุตรชายที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า นางเองก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าสิ่งที่บุตรชายตั้งใจนั้นจะส่งไปถึงรันชรีอย่างที่ต้องการ แต่นางเองกลับไม่โกรธเคืองรันชรีแต่อย่างใด คงมีเพียงความรักและความเห็นใจอย่างเต็มเปี่ยมเท่านั้น ที่รู้สึกกับลูกสาวอย่างรันชรี เพราะเมื่อกิตติสารภาพทุกอย่างให้ฟัง นางเองถึงกับหลั่งน้ำตา กับเรื่องเลวร้ายทั้งหมดที่รันชรีต้องประสพ
ยิ่งเมื่อชโลธรบอกเล่าถึงภาพของรันชรีในวันที่กำลังจะสิ้นลมหายใจนั้น หัวใจอันผ่านร้อนผ่าวหนาวมาหลายสิบปีของนางนั้น ตกวูบไปกับภาพที่นางคิดตามคำเล่าของหญิงสาว หากวันนั้นบุตรชายของนางให้โอกาสกับเพื่อนสักนิด รันชรีคงไม่โดดเดี่ยวอ้างว้างและต้องหาทางออกด้วยการกระทำเช่นนั้นก็เป็นได้ และหากในวันนั้น นางอยู่ด้วย รันชรีคงจะมีใครสักคนที่โอบกอดในวันที่หญิงสาวผิดหวังและเสียใจ
“รัน...ลูกแม่ สงบเถิดนะลูก โชคกำลังจะบวชให้หนู เลิกจองเวรกันเสียทีนะลูก” นางมิวายที่จะเอ่ยสิ่งที่คิดออกมา
............................................................................................................................................
โชคและกิตติเมื่อได้พูดคุยกันมากขึ้น ทำให้ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ดำเนินไปอย่างดี โชคเองก็คิดว่าหากเพื่อนยังคงมีชีวิตอยู่เธอคงจะดีใจไม่น้อย ที่เพื่อนรักอย่างเขากับชายคนรักของเธอจะเข้ากันได้ดี วันนี้โชคจึงชวนกิตติขับรถออกไปนอกเมือง เพื่อไปซื้อต้นกุหลาบที่รันชรีชอบ มาปลูกเพิ่มทั้งที่ร้านอาหารและที่บ้าน
กิตติเองก็ไม่ปฏิเสธแต่อย่างใด เพราะเขาเองก็รู้ว่าหญิงสาวชื่นชอบดอกกุหลาบสีแดงเป็นอย่างยิ่ง เขาขับรถมาหาโชคที่ร้านอาหาร แล้วจึงนั่งรถของโชคออกไปชานเมืองด้วยกัน
“ผมว่าถ้ารันเขายังอยู่ เขาคงดีใจนะที่ผมกับคุณเข้ากันได้ดี” โชคว่า
“ก็คงจะเป็นอย่างที่คุณว่านั่นแหละ รันเล่าเรื่องคุณให้ผมฟังเยอะเลยล่ะ ผมเลยรู้ว่ารันเขารักคุณมาก” กิตติกล่าวต่อ
“คุณไม่ได้บอกญาติคุณเลยหรือเรื่องงานบวชพรุ่งนี้” โชคถามด้วยความสงสัย
“ผมไม่ได้บอกใครทั้งนั้น ผมเองก็ไม่รู้ว่าหากบวชแล้วบางทีผมอาจจะอยู่อย่างนั้นไปเรื่อยๆ คุณโชค ผมรู้สึกผิดมากๆ จนไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร ความผิดนี้มันจะลดลงไปบ้าง” กิตติพูดวนซ้ำมาเรื่องเดิมอีกครั้ง
“รัน...ผมขอโทษ”
สองข้างทางล้วนแล้วแต่เป็นนาข้าว โชคหักหัวรถเข้าไปยังทางลูกรังเล็กๆ นั้น เขาขับเข้าไปอย่างเคยชิน เพราะมันเป็นสถานที่ๆ เขาเดินทางมาซื้อต้นไม้เป็นประจำ
บ้านสวนแห่งนี้เป็นทั้งร้านขายต้นไม้ และเป็นบ้านที่อยู่อาศัยของชายสูงวัยท่าทางสมถะผู้นั้น เขามีต้นไม้และดอกไม้ให้เลือกซื้อหลากหลายชนิด โชคและรันชรีมักจะมาเลือกซื้อต้นไม้ที่ร้านนี้เป็นประจำ ทำให้เมื่อทั้งโชคและกิตติก้าวลงมาจากรถชายเจ้าของร้านที่โชคคุ้นเคยดีจึงเดินเข้ามาทักทายอย่างสนิทสนม
“สวัสดีครับคุณโชค” เจ้าของร้านเอ่ยทักทายแล้วเลยสายตามองไปทางกิตติที่ยืนอยู่ข้างๆ กัน
“อ๋อเพื่อนผมเองครับ เขาเพิ่งจะย้ายมาอยู่ที่นี่” โชคบอกกับชายเจ้าของร้าน
แต่ดูเหมือนชายเจ้าของร้านจะจับจ้องไปที่รถ ที่จอดอยู่ที่ทางเข้าบ้านเสียมากกว่า เขามองอยู่เช่นนั้นแล้วจึงเอ่ยถาม
“ไม่ได้เจอกันเสียนานนะครับคุณโชค สงสัยที่ร้านจะลูกค้าเยอะนะครับ แล้วคุณรันไม่ลงมาด้วยหรือครับ” ชายเจ้าของร้านเอ่ยถามด้วยความสงสัย เมื่อเห็นหญิงสาวที่เขาเองรู้จักยังคงนั่งอยู่บนรถ
ไม่มีคำตอบใดๆ จากชายผู้มาเยือนทั้งสอง แต่แทนคำตอบเขาทั้งคู่หันกลับไปที่รถอีกครา แต่ก็ไม่พบกับหญิงสาวที่ชายเจ้าของร้านเอ่ยถึงแต่อย่างใด
“ลุงว่ารันนั่งอยู่บนรถอย่างนั้นหรือ” โชคย้ำถามชายเจ้าของร้าน
“ก็ใช่นะสิครับ นั่นไง หรือจะรีบกลับครับ คุณรันถึงไม่ลงมา” ว่าแล้วชายเจ้าของร้านก็ชี้มือไปที่รถที่จอดแน่นิ่งอยู่
เมื่อได้ต้นไม้ครบตามที่ต้องการแล้ว รอเพียงขนขึ้นรถเท่านั้น แต่เมื่อเปิดประตูท้ายรถ ชายเจ้าของร้านก็ต้องงุนงง เมื่อไม่เห็นรันชรีที่ตนเองเห็นว่านั่งอยู่เบาะด้านหลัง
“หรือเราจะตาฝาดไปวะ” ชายเจ้าของร้านสบถให้กับตนเอง
ระหว่างทางกลับไม่มีการสนทนาใดๆ เกิดขึ้นเลยระหว่างชายทั้งสอง คงมีเพียงสายตาเท่านั้นที่จ้องมองกันด้วยคำถาม หากแต่ไม่มีฝ่ายใดจะเอ่ยปากขึ้นมาก่อน
“รัน...” ชื่อของหญิงอันเป็นที่รักของชายทั้งสองถูกเอ่ยขึ้นมาพร้อมๆ กัน
“คุณโชค คุณว่าที่เจ้าของร้านต้นไม้เห็นเมื่อกี้ เขาตาฝาดหรือเปล่า” กิตติเป็นผู้เอ่ยถามก่อน
“หรือว่ารันจะยัง...” แต่ยังไม่ทันที่โชคจะพูดจนจบประโยค เสียงๆ หนึ่งก็แทรกขึ้นมา
“ใช่!...ฉันอยู่ที่นี่ อยู่กับคนที่ฉันรัก ฉันจะไม่มีวันพรากจากคนที่ฉันรักอีกเป็นอันขาด” สิ้นสุดของกังวานนั้น ชายทั้งสองหันไปที่เบาะด้านหลังรถพร้อมกัน
หญิงสาวอันเป็นที่รักของคนทั้งสองนั่งอยู่ตรงนั้น
“รันชรี”
ทั้งคู่เอ่ยพร้อมกัน
ใบหน้านั้นยังขาวซีดเหมือนเดิม หากแต่เนื้อตัวมิได้เกรอะกรังไปด้วยคราบเลือด
เหมือนลมหายใจของชายทั้งสองจะหยุดลงในขณะนั้น ความแรงของจังหวะหัวใจมันหนักหน่วงจนได้ยินเสียงการเต้นของมัน นิ้วมือ แขนขาชาไปจนหมดสิ้น
“นี่รันยังอยู่กับเราหรือ” ชายผู้เป็นเพื่อนรำพึงในใจ
แต่กับชายที่นั่งอยู่เคียงข้างกันนั้น เขากลับไม่ประหวั่นพรั่นพรึงใดๆ เมื่อเรียกสติกลับคืนมาได้ เขาหันไปมองหญิงสาวอันเป็นที่รักอีกครั้งหนึ่ง
“คุณยังโกรธผมอยู่ใช่ไหม” กิตติเอ่ยเสียงเศร้า
“ฉันไม่โกรธใครทั้งนั้น ฉันเพียงแต่มาตามคนที่ฉันรักเท่านั้น ทุกคนไม่ต้องทำอะไรเพื่อฉันอีกแล้ว ขอเพียงมอบคนที่ฉันรักกลับคืนมา เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว” เสียงอันหม่นเศร้าของรันชรีกังวานก้องอยู่ภายในรถนั้น ก่อนจะจ้องไปยังที่ชายทั้งคู่ ในแววตานั้นแม้จะอาบไปด้วยความโศกเศร้า แต่ในบัดนี้มันได้ระคนไปกับความรักจนยากที่จะแยกแยะออกได้ว่าความรักและความเศร้าสิ่งใดมีมากกว่ากัน
ความรัก...ที่มีต่อชายทั้งสอง...ไม่มีวันจางหาย
โชค...เพื่อนที่ฉันรักมากที่สุด
กิตติ...คนรักคนเดียวและคนสุดท้ายของรัน
“เราจะไม่มีวันพรากจากกัน...จำไว้!”
.......................................................................................................................................
เตียงคนไข้สองเตียงนั้นตั้งอยู่คู่กัน ชายทั้งสองนอนนิ่งแน่อยู่บนเตียง จากภายนอกนั้นร่างกายไม่ได้มีบาดแผลใดๆ บ่งบอกเลยว่าทั้งสองประสบอุบัติเหตุ ขับรถชนกับรถบรรทุกไม้เข้าอย่างจังร่างกายที่ไร้ซึ่งร่อยรอยของบาดแผล แต่บาดแผลอันฉกาจฉกรรจ์ที่ยากจะมีผู้ใดมองเห็นนั้น มันอยู่ภายใน แผลอันลึกนั้นยากยิ่งนักที่จะรักษาให้หายได้ แม้แต่จะให้บรรเทาลง จะเป็นไปได้หรือไม่
“แกไม่ต้องห่วงอะไรนักหรอกเพื่อน ฉันจะดูแลแกเอง ก็แกเป็นเพื่อนฉันนี่” รันชรีจับที่หัวไหล่ของเพื่อนเพื่อเป็นการปลอบโยน
“คุณป้าค่ะ ดูสิ โชคร้องไห้อีกแล้ว” ชโลธรใช้มือเล็กๆ ของเธอนั้นบีบที่มือชายหนุ่มไว้ เธอเองไม่สามารถล่วงรู้ได้เลย ว่าเหตุใด น้ำตาจึงไหลออกมาจากสองตาของชายหนุ่ม น้ำหยดใสๆ นั้น มันหลั่งไหลออกมาเนิ่นนาน หญิงสาวทำได้เพียงใช้กระดาษเนื้อนุ่มสีขาวนั้นซับไว้
“โชคคะ...เกิดอะไรขึ้น คุณต้องการบอกอะไร” หญิงสาวคนรักเอ่ยถาม ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจตนเองอยู่แล้วว่าคงไม่มีทางที่ชายหนุ่มจะตอบกลับในคำถามนี้
เสียงกรีดร้องของรันชรีกังวานมาอีกเป็นครั้งที่เท่าใดก็ไม่รู้ได้ เสียงร่ำไห้แทรกเข้ามาอย่างแผ่วเบา และเริ่มดังขึ้นๆ หญิงสาวกำลังจะกินยานอนหลับนับร้อยเม็ดนั้น
“อย่า...นะรัน...อย่ากินมันเข้าไป” ชายหนุ่มทัดทานในความรู้สึก แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว หญิงสาวกลืนกินเม็ดยาเหล่านั้นไปต่อหน้าต่อตา ความเจ็บแสบที่แขนกำลังเริ่มต้นอีกครั้ง เขาเจ็บเหลือเกิน บาดแผลมันกำลังปรากฏขึ้นอีกแล้ว หญิงสาวกำลังใช้ปลายแหลมของมีดนั้นกรีดไปที่ข้อมือของตนเอง
“เจ็บเหลือเกิน รัน...ฉันเจ็บเหลือเกิน” ชายหนุ่มยังคร่ำครวญในความรู้สึกต่อไป
“สิ่งที่แกรับรู้ สิ่งที่แกรู้สึก มันเทียบเท่าฉันอย่างนั้นหรือ ไม่เลยนะ....โชคเพื่อนรัก มันยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของฉันเลย แกจะต้องรับรู้สิ่งที่ฉันรู้สึก รับรู้สิ่งที่ฉันเคยได้รับ” สิ้นกังวานนั้นรันชรีก็ผละจากเพื่อนรักไปหาชายคนรักของตน ที่อยู่ไม่ห่างกันนัก
“สุดที่รักของรัน ดูสิเพื่อนรันเขาร้องไห้อีกแล้ว คุณอย่าขี้แยเหมือนเพื่อนรันนะคะ” หญิงสาวโน้มใบหน้าไปจนชิดใบหน้าของอีกฝ่าย กิตติอยากจะผ่านช่วงเวลานี้ไป จะด้วยวิธีไหนก็ตามแต่
ใบหน้าขาวซีดนั้น แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่ชุ่มไปด้วยเลือด ลิ่มเลือดทะลักออกมาจากปากหญิงสาว แล้วหยดลงเปรอะเปื้อนตัวชายที่นอนนิ่งอยู่นั้น
“หากคุณจะลงโทษผม ผมก็ยินยอมทุกอย่าง เอาชีวิตผมไปเสียสิ” คำพูดที่ตอบโต้กันได้ด้วยความรู้สึก
“มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกที่รัก คุณอยู่อย่างนี้แหละดีแล้ว รันจะอยู่ข้างๆ คุณอย่างนี้ ทุกวัน เราจะอยู่ด้วยกันอย่างนี้ทุกวัน ทุกคืน” หญิงสาวที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดนั้น เอนร่างเข้าหาชายคนรัก เธอขยับกายเข้าไปเบียดผู้ที่นอนนิ่งอยู่นั้น สองมือกอดก่ายเขาไว้แน่น เสียงหัวเราะเล็กๆ นั้น มันช่างเปี่ยมไปด้วยความสุข
ชโลธรมองคนทั้งสองที่นอนนิ่งอย่างถดถอนใจ อีกนานเท่าใด แรงอาฆาตของรันชรีถึงจะเบาบางลง มันคงเป็นเวรกรรมจริงๆ เวรกรรมที่คนทั้งสองต้องชดใช้ในชาตินี้และเป็นเวรกรรมของรันชรีที่จะต้องชดใช้กันอีกต่อไป ไม่รู้เมื่อใดที่จะจบสิ้น
จบ...