ตอนที่ 28
แพรวพรรณลืมตาขึ้นมองเพดาน บัดนี้แสงมันช่างสว่างจ้าจนดวงตาทั้งคู่นั้นไม่สามารถเปิดได้อย่างเต็มตา หญิงสาวค่อยๆ หรี่ตามองดูทีละน้อย หันไปมองด้านซ้ายและขวา มีอานนท์และมารดาของโชคนั่งอยู่ คอนั้นช่างแห้งผากสิ้นดี
“ขอ...น้ำ...หน่อย” แพรวพรรณเค้นเสียงออกมาอย่างยากเย็น
“ฟื้นแล้วค่ะ ฟื้นแล้ว” เสียงใครบางคนที่ไม่คุ้นเคยสักเท่าใด
หญิงในชุดสีขาวเข้ามาใกล้ แล้วประคองศีรษะของหญิงสาวให้ชันขึ้นเล็กน้อย มองเห็นแก้วน้ำอยู่ตรงหน้า แพรวพรรณดื่มน้ำจากหลอดดูดอย่างกระหาย
“แพรวเป็นไงบ้าง” มารดาของโชคเอ่ยถาม
ยากที่จะตอบออกไปในทันที
หญิงสาวรู้สึกชาที่ใบหน้าและท่อนขาทั้งสองข้างอย่างบอกไม่ถูก
“เราเป็นอะไรไป” ความทรงจำสุดท้ายที่กำลังถูกรื้อฟื้น
“กรี๊ดดดดดดดด” เสียงกรีดร้องจากหญิงที่เพิ่งฟื้นจากการสลบไสลมาหลายวัน
“ผีนังรัน ผี เอามันออกไป มันอยู่ในรถ เอามันออกไป” แพรวพรรณตะโกนก้อง
“ไม่มีอะไรแล้วหนูแพรว หนูปลอดภัยแล้ว” หญิงสูงวัยตรงเข้าโอบกอดผู้เสียขวัญไว้
แต่หากแพรวพรรณได้เห็นสภาพของตนในบัดนี้แล้ว หญิงสาวอาจจะเสียขวัญมากกว่านี้ก็เป็นได้
“ทำไมแพรวชาที่ขาคะคุณป้า” หญิงสาวกล่าวอย่างยากเย็น เพราะใบหน้าล้วนถูกพันด้วยผ้าพันแผลจนขาวโพลน
“หนูแพรวอย่าเพิ่งลุกเลยจ๊ะ อยากได้อะไรก็บอกพยาบาลเขาก็แล้วกัน นี่นนท์เขาก็โทรศัพท์ไปบอกพ่อกับแม่หนูที่อเมริกาแล้ว อีกไม่กี่วันพวกเขาคงจะมาถึง” หญิงสูงวัยกว่าพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ผีนังรัน มันตามแพรวมาค่ะ มันน่ากลัวเหลือเกิน แพรวกลัว แล้วโชคอยู่ที่ไหนค่ะ” หญิงสาวไม่วายจะถามถึงชายที่ตนรัก
“โชคดีขึ้นแล้วกำลังพักฟื้นร่างกายอยู่ ไม่เป็นอะไรแล้ว หนูแพรวไม่ต้องห่วงหรอกนะ”
พยาบาลเข้ามาวัดอุณหภูมิร่างกาย และความดันแล้วเดินออกไป
อานนท์มองแพรวพรรณอย่างหวั่นใจ หากเพื่อนของเขารู้ว่าขาอันเรียวงามทั้งคู่นั้นบัดนี้ไม่ได้อยู่ติดกับร่างกายแล้ว เธอจะเป็นเช่นไร เพราะแพรวพรรณเองจัดว่าเป็นคนสวยมากคนหนึ่ง ยังไม่รวมกับใบหน้าที่ถูกเศษกระจกบาดหลายแผล ยิ่งคิดอานนท์ก็ยิ่งหวั่นใจกับเหตุการณ์เลวร้ายที่แพรวพรรณต้องประสพ
แต่ความหวั่นใจนั้นมันไม่มากไปกว่าเรื่องของตนเอง เพราะทุกคนต่างได้รับเคราะห์กรรมอันเลวร้ายมาหมดแล้ว คงเหลือแต่อานนท์เพียงคนเดียวเท่านั้น ที่ยังไม่พบเจอกับสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวเช่นแพรวพรรณ โชค และกิตติ รันชรีอาจจะอาฆาตเขาก็เป็นได้ ว่าแล้วชายหนุ่มก็ใช้มือข้างหนึ่งจับองค์พระที่ห้อยอยู่ในคอของตนเองไว้แน่น
หลังจากพยาบาลฉีดยาให้หญิงสาวแล้ว ไม่นานเธอก็ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว
มารดาของโชคกลับไปแล้ว คงเหลือเพียงแต่อานนท์และพยาบาลพิเศษที่จ้างมาเท่านั้น ความคิดระแวงและกังวลทำให้อานนท์เอ่ยขอยานอนหลับจากพยาบาล เพื่อที่เขาจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่บ้าง
“ไม่จริงๆๆๆๆๆๆๆ” เสียงกรีดร้องของแพรวพรรณปลุกให้อานนท์ตื่นจากการหลับด้วยฤทธิ์ยา
แพรวพรรณร้องเสียงหลง เมื่อพบว่าขาคู่เรียวของตนนั้นบัดนี้มันได้หายไปเสียแล้ว หญิงสาวต้องกลายเป็นคนพิการตลอดชีวิตเช่นนั้นหรือ
เสียงร้องไห้คร่ำครวญดังเล็ดลอดออกมาจากห้องผู้ป่วย จนพยาบาลหลายคนแตกตื่น แต่เรื่องของแพรวพรรณนั้น เป็นหัวข้อสนทนาของเหล่าพยาบาลมาหลายวันแล้ว ว่าหากหญิงสาวคนสวยผู้นี้ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตนเองต้องกลายเป็นคนพิการจะเป็นเช่นไร หลายคนได้แต่ถอนหายใจด้วยความสงสาร
แพรวพรรณเหมือนคนเสียสติ เอาแต่พร่ำเพ้อหาขาของตนเอง และในค่ำคืนนั้นเองสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ขณะที่กำลังจะเคลิ้มหลับด้วยฤทธิ์ยา รันชรีก็ปรากฏขึ้น ใบหน้าขาวซีดนั้นก้มลงมาจากเพดานห้อง มันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนเกือบชิดกับใบหน้าหญิงสาว แม้ต้องการจะตะโกนออกมา แต่ทว่าหญิงสาวกลับทำไม่ได้ กลิ่นคาวเลือดอยู่ที่ปลายจมูก ดวงตากลมโตนั้นเบิกโพลงกับภาพที่ตนเห็น หัวใจเหมือนจะหยุดเต้น แต่ทว่ามันยังคงดำเนินเป็นจังหวะไปอย่างเชื่องช้า
“อย่าทำอะไรฉันเลยรัน ฉันกลัวเธอแล้ว” เสียงคร่ำครวญจากหญิงสาวผู้ที่ต้องกลายเป็นคนพิการ บัดนี้น้ำเสียงของเธอช่างแตกต่างจากแพรวพรรณคนเก่าโดยสิ้นเชียง
“ฉันจะไม่ทำอะไรเธออีกแล้ว แพรว แค่นี้มันก็น่าจะทำให้เธอรับรู้ถึงคำว่าตายทั้งเป็น ว่ามันเป็นยังไง เหลือแต่เพื่อนรักของเธอ ฉันจะต้องให้มันลิ้มรสของความเจ็บปวดบ้าง” สิ้นเสียงของรันชรี ภาพใบหน้าขาวซีดนั้นก็ค่อยๆ เลือนหายไป
ทิ้งให้หญิงสาวผู้ต้องตกอยู่ในชะตากรรมนี้ นอนตาเบิกโพลงอยู่เช่นนั้น
นานเท่าใดหนอ ที่แพรวพรรณคนเดิมจะกลับมา หรืออาจจะไม่มีวันกลับมาเลยก็เป็นได้
หญิงสาวรู้สึกตัวมาอีกทีตอนฟ้าสว่างเต็มตา บัดนี้บิดามารดาของเธอมาถึงแล้ว ทั้งสองร่ำไห้กับสภาพของบุตรสาว ยิ่งมองดูบุตรสาวของตนที่ครั้งหนึ่งเคยสวยงาม แต่บัดนี้ต้องกลายเป็นคนพิการ ผู้เป็นมารดายิ่งไม่สามารถสกัดกั้นน้ำตาของความเป็นห่วงไว้ได้
“โธ่ แพรวลูกแม่” นางพูดทั้งน้ำตานองหน้า
มารดาของแพรวพรรณปรารภกับมารดาของโชค ที่รู้จักกันดีในฐานะคนบ้านเดียวกัน นางบอกว่าจะพาบุตรสาวไปอยู่ด้วยกันที่อเมริกา
เมื่ออานนท์ได้ยินเช่นนั้นแทนที่จะสบายใจที่เพื่อนจะได้อยู่กับครอบครัว แต่เขาเองกลับคิดถึงเรื่องผลประโยชน์ในร้านอาหารที่แพรวพรรณสัญญากับเขาไว้ ดังนั้นความคิดจึงปราดเข้าไปหาโชคในทันที
“ต้องทำดีกับโชคเข้าไว้ เพราะตอนนี้แพรวพรรณไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้อีกแล้ว” หนึ่งในความคิดของอานนท์
.........................................................................................................
ชโลธรกลับต่างจังหวัดไปก่อนด้วยหน้าที่การงาน แต่ตลอดระยะเวลาที่หญิงสาวอยู่ที่โรงพยาบาล ไม่ปรากฏเห็นรันชรีอีกเลย แม้ว่าหญิงสาวจะพยายามนั่งสมาธิสักเพียงไร หรือแม้แต่ความฝัน ก็ไม่สามารถติดต่อกับรันชรีได้แม้แต่ครั้งเดียว แต่ทว่าก็ไม่มีผู้ใดเห็นรันชรีอีกเช่นกัน ชโลธรได้แต่คิดว่าวิญญาณของรันชรีคงจะเลิกจองเวรและไปอยู่ในที่ที่ควรอยู่แล้ว แต่หญิงสาวก็ยังคงแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้กับรันชรีไม่ขาด
เมื่อโชคและกิตติได้รับรู้ถึงเรื่องของแพรวพรรณต่างก็ตกใจและรู้สึกสงสารหญิงสาวอย่างมาก ในวันที่ไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล แพรวพรรณราวกับคนเสียสติ ยิ่งเมื่อเห็นโชคแล้วนั้นเธอกลับไล่โชคออกไปจากห้อง ชายหนุ่มเดาเอาว่าแพรวพรรณคงจะอายที่ใบหน้าเสียโฉม และต้องกลายเป็นคนพิการ
ก่อนเดินทางกลับ โชคและกิตติรวมทั้งผู้เป็นบิดาและมารดา เลือกที่จะไปวัดเพื่อทำบุญให้กับรันชรี
“รัน...ฉันขอโทษนะ สิ่งที่ฉันทำผิดกับแก ฉันสำนึกได้แล้ว ขอให้แกไปสูสุคติเถอะเพื่อน” โชคกล่าวหลังจากกรวดน้ำเสร็จ
เช่นเดียวกับกิตติ ที่แม้จะไม่พูดจาอันใด แต่ในใจนั้นล้วนอัดแน่นไปด้วยคำขอโทษต่อหญิงสาวที่รักตนมาก
หลังจากพระประพรมน้ำมนต์ให้กับคนทั้งสี่แล้ว ทั้งหมดก็พร้อมที่จะออกเดินทางกลับต่างจังหวัด โดยจุดมุ่งหมายหน้าคือการบวชให้รันชรี
“หวังว่ารันคงจะอโหสิให้กับคนบาปอย่างผมนะ” กิตติเอ่ยขึ้นเมื่อขับรถออกจากวัดไปแล้ว
เมื่ออานนท์รู้ว่าวันนี้โชคและทุกคนจะกลับต่างจังหวัด ก็รีบกล่าวลาทางแพรวพรรณทันที แม้ว่าหญิงสาวจะขอร้องให้เพื่อนอยู่ด้วยก็ตาม แต่อานนท์ให้ข้ออ้างว่าจะรีบกลับไปช่วยโชคดูแลร้าน แพรวพรรณยากที่จะกล่าวทัดทานต่อความต้องการของอานนท์ ได้แต่มองอานนท์ที่รีบเก็บข้าวของๆ ตน แล้วเดินออกไปจากห้อง
น้ำตาหยดใสๆ เอ่อนอง ในดวงตาทั้งสองของหญิงสาวผู้กลายเป็นคนพิการ เธอคิดว่าแม้เธอจะสูญเสียขาทั้งสองข้างไป แต่ก็ยังมีอานนท์ที่จะอยู่เคียงข้างเธอเช่นเดิม แต่เมื่อในวันที่เธอรู้สึกย่ำแย่และเลวร้ายที่สุด อานนท์กลับไม่อยู่กับเธออย่างที่เธอคิด
“นี่หรือ น้ำใจของอานนท์ คนที่เธอเรียกว่าเพื่อนมาตลอดชีวิต มีเพียงเท่านี้หรือ” เมื่อความคิดนั้นหยุดลง น้ำใสๆ ก็ใหลออกมาจากดวงตาคู่โตทั้งสองนั้นอย่างยากที่จะสกัดกั้นได้
อานนท์มุ่งหน้ากลับต่างจังหวัด ระหว่างทางเขาโทรศัพท์หาโชคอยู่ตลอด จนเขาสามารถขับรถตามได้ทัน เขาหวังที่จะตีสนิทโชคให้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ที่โชคยังไม่แข็งแรงดี เขาอาจจะได้เข้าไปดูแลร้านอาหารอย่างเต็มตัวก็เป็นได้
รถของโชคและอานนท์จอดคู่กันอยู่ในปั๊มน้ำมัน ในขณะที่นั่งรอทุกคนอยู่นั้น อานนท์เดินเข้าไปหาโชค เขาพยายามพูดคุยกับโชคราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่มีเพียงคำพูดที่เย็นชาเท่านั้นที่ตอบออกมา จนในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว
“ฉันไม่เกี่ยวกับการตายของรันเลยนะโชค แกเชื่อฉันสิ” อานนท์กล่าวอย่างร้อนตัว
“ฉันรู้เรื่องทุกอย่างแล้ว แกอย่ามาตีหน้าซื่อหน่อยเลย” โชคตอบอย่างเสียไม่ได้
“ทุกอย่างฉันถูกบังคับ” อานนท์ยังโกหกต่อไป
“แกกับแพรว ให้คุณกิตติมาหลอกรัน เพื่อให้รันไปจากที่นี่ แกทำได้ยังไงวะ”อานนท์ถึงกับหน้าชากับคำถามของเพื่อน
“แกจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม ทุกอย่างเป็นเพราะยัยแพรวคนเดียว ที่บ้านฉันเป็นหนี้บ้านแพรวหลายล้านแกก็รู้ แพรวขู่แล้วก็บังคับฉันว่าหากฉันไม่ช่วย จะไล่พ่อแม่ฉันออกจากบ้าน และยึดทรัพย์สินทุกอย่าง แกจะให้ฉันทนดูพ่อแม่ของฉันกลายเป็นคนไร้ที่อยู่อย่างนั้นหรือ”
อานนท์ปั้นเรื่องขึ้นมาเพื่อให้โชคเกิดความสงสาร แล้วโยนความผิดไปให้แพรวพรรณทั้งหมด
เรื่องที่พ่อแม่อานนท์เป็นหนี้เป็นสินนั้น โชคพอจะรู้มาบ้าง แต่เขาไม่รู้ว่ามากเท่าใดโดยเฉพาะหนี้สินกับครอบครัวของแพรวพรรณ หากเรื่องทั้งหมดเป็นเช่นนั้นจริง แพรวพรรณนั้นช่างร้ายกาจเหลือเกิน แต่เขากลับบอกตัวเองว่าในเวลานี้เขาจะไม่คิดเรื่องอื่นนอกจากเรื่องการบวชให้รันชรีเท่านั้น
“เอาเถอะนนท์ อย่าเพิ่งพูดอะไรมากเลย ฉันว่าพวกเรารีบขับรถกลับให้ถึงบ้านก่อนเถอะ ฉันมีอะไรที่ต้องทำให้รัน” โชคกล่าวตัดบทในหัวข้อสนทนานั้น
โชคเดินแยกจากไปเพื่อไปทำธุระที่ห้องน้ำ ส่วนคนอื่นๆ นั้นแยกไปที่มินิมาร์ทในปั๊มน้ำมัน อานนท์โล่งใจไปบ้างที่อย่างน้อยโชคก็ยังไม่ปฏิเสธเขา เขาคงต้องใช้ความพยายามอีกสักนิดเพื่อให้โชคคลายความสงสัยเรื่องรันชรี เพราะอีกไม่ช้าแพรวพรรณก็จะไปอยู่อเมริกาแล้ว เธอคงไม่สามารถอยู่เป็นพยานปากเอกได้หรอก
อานนท์เปิดดูกระเป๋าเงินตนเอง เงินสดเหลืออยู่ไม่เท่าไหร่ เขากำลังมองหาตู้เอทีเอ็ม เพื่อกดเงินสดออกมาซื้อของกินเล็กน้อยในมินิมาร์ทนั้น
ตู้เอทีเอ็มอยู่หน้าปั๊มเกือบติดกับถนน ชายหนุ่มเดินตรงรี่ไปทันที แต่ในขณะที่กำลังทำธุรกรรมทางการเงินอยู่นั้น เสียงร้องอย่างตกอกตกใจของใครหลายคนก็เซ็งแซ่ขึ้นมา
รถน้ำมันคันใหญ่กำลังจะออกจากปั๊ม แต่ทว่ากลับพุ่งชนไปที่ตู้เอทีเอ็มที่อานนท์กำลังยืนอยู่
น่าจะเป็นเวลาเพียงหนึ่งหรือสองนาทีเท่านั้น
ทั้งกิตติ บิดา และมารดาของโชค ต่างหันไปดูภาพที่เพิ่งเกิดขึ้น โดยที่ไม่รู้ว่าผู้ประสพเหตุร้ายนั้นคืออานนท์ จวบจนโชคก้าวเดินออกมาจากห้องน้ำ และเห็นคนกำลังมุงดูอยู่หน้าปั๊ม พลางส่ายสายตาหาสมาชิกที่ร่วมทางมาด้วยกัน
พบทุกคน ยกเว้น อานนท์
ไม่มีใครคาดคิด เมื่อรถกู้ภัยมาถึง ร่างที่อาบไปด้วยเลือดของอานนท์ถูกหามออกมาจากซากตู้เอทีเอ็มที่ถูกอัดติดกับกำแพงจนมองไม่เห็นรูปร่างเดิม
“นนท์” สมาชิกทุกคนอุทานชื่อชายหนุ่มขึ้นพร้อมๆ กัน
นั่นคือเวรกรรมของอานนท์โดยแท้ หากเขาตายไปเสียทีเดียวมันอาจจะเป็นสิ่งที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ แม้ร่างกายจะไม่พิการ แต่บัดนี้เขาก็ไม่สามารถที่กลับมาเป็นอานนท์คนเดิมได้ เส้นประสาทการเคลื่อนไหวได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง เขากลายเป็นอัมพาต ร่างกายขยับไม่ได้หากแต่ว่ายังมีความรู้สึกอยู่
วูบหนึ่งในวันที่เขารู้สึกตัว ภาพของแพรวพรรณและรันชรีสลับกันเข้ามาอยู่เบื้องหน้า บางคราวก็หัวเราะ บางคราวก็ร้องไห้ สลับกันไปมา แม้จะหวาดกลัวกับภาพดังกล่าว แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะทำเช่นไรได้ นอกจากนอนมองดูสิ่งที่ปรากฏต่อหน้า ที่มีเขาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รับรู้ได้
...............................................................................................................................