ตอนที่ 27
รถกิตติยังคงจอดไว้ที่บ้านของรันชรี แต่รถแวก้อนอีกคันกลับอัดแน่นไปด้วยผู้คนที่ต่างก็ตกอยู่ในอาการหวาดผวา ผู้อยู่ตรงหน้าพวงมาลัยรถ มุ่งตรงไปที่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันที ทั้งโชคและกิตติถูกปฐมพยาบาลอย่างเร่งด่วน คนทั้งหมดออกมานั่งรออยู่บริเวณที่ทางโรงพยาบาลจัดไว้ให้ หญิงสูงวัยเอ่ยถามด้วยดวงตาที่ชื้นด้วยคราบน้ำตาถึงเรื่องราวทั้งหมด
หญิงสาวหันไปมองหน้าแพรวพรรณที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เพื่อรอฟังอยู่เช่นกัน
“ฉันไม่เกี่ยวนะ” แพรวพรรณร้อนตัว
“ฉันยังไม่ได้เล่าอะไร ถ้าคุณแพรวไม่มีอะไรก็อย่าร้อนตัวสิคะ”ชโลธรว่า
หญิงสาวพาตัวเองออกมาจากวงสนทนา เพราะเกรงว่าชโลธรอาจจะล่วงรู้ถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เธออาจมีส่วนเกี่ยวข้องให้รันชรีจบชีวิตลง ในใจนั้นอัดแน่นไปด้วยความหวาดหวั่นจึงรีบปลีกตัวออกมาก่อน และมุ่งหน้าไปหาเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยทันที เธอจะทำเช่นไรหากกิตติเล่าเรื่องทุกอย่างให้โชคและทุกคนได้รับรู้
แต่ในเมื่อกิตติสัญญากับเธอไว้แล้ว ว่าจะไม่พาดพิงเรื่องใดๆ มาถึงเธอ
แต่เธอจะเชื่อได้หรือไม่ ก็ในเมื่อครั้งหนึ่งเขาเคยสัญญาว่าจะไม่กลับไปที่เมืองนั้นอีก แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็กลับไปอีกจนได้
ความร้อนรุ่มที่เกาะกุมหัวจิตหัวใจอยู่ในขณะนี้ เหมือนไฟที่กำลังลุกโชน ยากเหลือเกินที่แพรวพรรณจะทำตัวให้นิ่งเฉยได้ ยิ่งเมื่อนึกถึงภาพรันชรีที่เนื้อตัวเกรอะกรังไปด้วยเลือด ความหวาดผวาก็มาเยือนหญิงสาวอีกครา แต่ความหวาดกลัวก็ลดลงเมื่อหญิงสาวมองดูตะกรุดที่ห้อยอยู่ที่ข้อมือ มันจริงอย่างที่อานนท์ว่า เมื่อเธอมีเครื่องรางอันนี้แล้ว รันชรีไม่เคยมาปรากฏให้เห็นอีกเลย
แต่หญิงสาวหารู้ไม่ว่า บัดนี้ความน่าสะพรึงกลัวกำลังคืบคลานมาสู่เธอในไม่ช้า
เมื่อแพรวพรรณออกมาจากชโลธรแล้ว ก็ไม่มีอำนาจใดๆ จะสามารถป้องกันตนได้อีก เพราะรันชรีคือเจ้ากรรมนายเวรของหญิงสาว แม้แต่ตะกรุดที่ถูกสวมไว้ที่ข้อมือก็ช่วยอะไรไม่ได้
และในรถนั้นเอง ภาพรันชรีก็ปรากฏขึ้นบนรถของแพรวพรรณ แววตาแห่งความอาฆาตฉายแววมาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งครั้งนี้มันรุนแรงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
“พวกแกต้องทุกข์ทรมาน” คำรามก้องของความอาฆาตจากสิ่งที่มองไม่เห็น
ใกล้จะถึงบ้านเพื่อนของแพรวพรรณแล้ว หญิงสาวรู้สึกใจชื้นขึ้นมา แต่ในขณะที่กำลังจะเลี้ยวรถนั่นเอง หญิงสาวเหลือบตามองไปที่กระจกส่องหลัง ใบหน้าซีดเซียวของรันชรีก็ปรากฏขึ้น
แพรวพรรณหวีดร้องสุดเสียงด้วยความกลัวอย่างสุดขีด เท้าถูกถอนนออกจากคันเร่งนั้นทันที แล้วสลับเปลี่ยนเป็นเหยียบเบรกแทน รถกำลังหมุนคว้างกลางถนน แล้วเลยแฉลบไปชนเอากับเสาไฟฟ้าที่อยู่ข้างทาง รถเก๋งคันงามไถลไปอีกเลนหนึ่งของถนนที่ไม่ได้ว่างเปล่า
ภาพสุดท้ายที่แพรวพรรณจำได้คือรถบรรทุกคันใหญ่ แล้วทุกอย่างก็กลายเป็นสีมืดดำสนิท
..........................................................................................................................
ชโลธรเล่าเรื่องราวของรันชรีทั้งหมดที่ตนเองรับรู้มา ตลอดจนเรื่องเธอกับโชค ว่าจริงๆ แล้วเป็นเพราะแรงอาฆาตของรันชรี จึงทำให้บางครั้งหญิงสาวพูดและทำอะไรไปโดยไม่รู้สึกตัวให้ผู้เป็นมารดาของโชคฟัง
“แม่คิดไว้แล้ว มันต้องมีเรื่องอะไรแน่นอน แพรวกับนนท์ เด็กสองคนนี้ร้ายกาจนัก ทำอะไรไปไม่คิดเสียเลย” นางเอ่ยอย่างอ่อนใจ
“รัน...ลูก แม่ขอโทษแทนโชคนะ ถ้าลูกยังรักแม่อยู่...เลิกเสียเถิดลูก เลิกอาฆาตพยาบาทต่อกันเสียที วันหนึ่งทุกคนจะได้รับผลกรรมที่ตนเองได้ทำไว้อย่างแน่นอน ปล่อยวางนะลูก แล้วลูกจะพ้นทุกข์” ผู้เป็นมารดาเอ่ยขึ้นราวกับกำลังพูดคุยอยู่กับรันชรี
แม้จะถูกอำนาจลึกลับนั้นกักขังอยู่ในบ้านของตน แต่ทว่ารันชรีกลับได้ยินเสียงของมารดาของโชค ที่กล่าวขอโทษด้วยความบริสุทธิ์ใจ แม้เสียงนั่นจะเบามากก็ตามที
วิญญาณหญิงสาวร่ำไห้สะอึกสะอื้น...
ผู้ป่วยทั้งสองถูกส่งเข้าพักห้องพิเศษที่ทางโรงพยาบาลจัดไว้ ทั้งชโลธร มารดาและบิดาของโชคนั่งเฝ้าอาการด้วยความห่วงใย ชโลธรบอกกับตัวเองว่าจะไม่ยอมห่างกลุ่มคนเหล่านี้ เพราะเธอรู้แล้วว่าผลจากการแผ่เมตตาของเธอไปสู่รันชรี นอกจากรันชรีจะได้รับแล้ว ตัวเธอเองก็จะได้รับอานิสงค์นั้นเช่นกัน ซึ่งมันจะทวีมากขึ้นกว่าที่เธอมอบให้รันชรีหลายเท่า มันจึงเป็นเหมือนเกราะป้องกันเธอจากรันชรีได้
ในระหว่างที่พักรักษาตัวอยู่นั้น ทำให้โชคและกิตติมีโอกาสได้พูดคุยกันเป็นครั้งแรก
“ผมขอโทษสำหรับทุกสิ่ง” กิตติเอ่ยขึ้นก่อน
โชคมองกิตติอย่างครุ่นคิดในคำขอโทษนั้น
“คุณอย่าโกรธ อย่าโทษรันเลย ความผิดทั้งหมดอยู่ที่ผมคนเดียวเท่านั้น รันเป็นคนที่น่าสงสารที่สุด”
กิตติกล่าวต่ออย่างยากเย็น แล้วเขาก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้โชค และคนทั้งหมดในห้องฟังพร้อมๆ กัน
น้ำตาหยดใสๆ ของลูกผู้ชาย บัดนี้มันหลั่งไหลออกมาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว โชคไม่คิดมาก่อนว่าแพรวพรรณและอานนท์จะเลวร้ายได้ถึงเพียงนี้ แต่บทสรุปทั้งหมดก็คือตัวเขา ที่ไม่ให้โอกาสเพื่อน จึงทำให้รันชรีต้องพบจุดจบเช่นนี้
“ผมต่างหากละคุณโชค หากผมไม่เข้ามา คุณกับรันก็คงไม่หมางใจกัน แล้วเรื่องเลวร้ายทั้งหมดนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น รันน่าสงสารมากที่ต้องมาเจอกับเรื่องราวแบบนี้ ทั้งหมดเป็นความผิดของผม”กิตติกล่าวโทษตนเอง
“เมื่อผมรู้ว่ารันตายไปแล้ว ผมยอมรับว่าผมกลัว กลัวมาก กลัวว่าผมจะต้องตาย แต่เมื่อเทียบกับความผิดของผมแล้ว ผมยอม...ยอมทุกอย่างที่รันต้องการ ยอมแม้กระทั่งหากเธอต้องการชีวิตผม เพราะตอนนี้ผมรักเธอเข้าจริงๆ มันจึงทำให้ผมกลับไปที่นั่นอีกครั้ง”
ภาพของหญิงสาวตอนกำลังจะสิ้นลมต่างก็ติดตาของชายทั้งคู่
“ผมไม่น่าเลย ผมไม่น่าทำกับคนที่รักผมเช่นนั้นเลย ผมมันเลวอย่างไม่น่าให้อภัย หากรันยังอยากจะเอาชีวิตผมไปเพื่อแลกกับการชดใช้ความผิดทั้งหมด ผมก็ยอม” กิตติพูดด้วยใบหน้าหม่นเศร้า เขารู้สึกร้อนผ่าวที่ดวงตา
“มันก็ไม่ต่างกับผมนักหรอกคุณกิตติ ผมเป็นเพื่อนรัน เป็นเพื่อนสนิทที่คบกันมาเกือบยี่สิบปี แต่ผมกลับไม่เข้าใจเธอ ไม่ให้โอกาสเพื่อนที่ดีคนนี้ ทั้งๆ ที่รู้ว่ารันไม่มีใคร ผมยังไล่เพื่อนไปได้ลงคอ ความผิดของผมมันก็มากมายเหมือนกัน” โชคกล่าวขึ้นบ้าง
ซุ่มเสียงแห่งการสนทนากังวานมาถึงรันชรีที่ถูกกักขังอยู่ เธอรับรู้แล้วว่าคนที่เธอรักทั้งสองบัดนี้คิดเช่นไร
“แม่ว่า ทั้งสองคนถ้ารักษาตัวให้แข็งแรงแล้วน่าจะบวชให้รันนะลูก” ผู้เป็นมารดาเสนอความคิดเห็น
ทั้งสองมีความเห็นสอดคล้องดังนั้น จึงตกลงกันว่าเมื่อออกจากโรงพยาบาลแล้ว จะบวชเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับรันชรีเพื่อเป็นการไถ่บาป และหวังว่ารันชรีจะอภัยให้เขาทั้งสอง
“ฉันไม่มีวันรับ ไม่รับเด็ดขาด” กังวานของรันชรีที่แผ่วเบาลงทุกที
วิญญาณของรันชรีร้องไห้คร่ำครวญอย่างโหยหวน แต่เธอไม่อาจต้านทานพลังลึกลับของชโลธรได้ ความโกรธแค้นแทนที่จะลดลงกลับยิ่งเพิ่มขึ้น