ตอนที่ 26
ชโลธรลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า มองไปรอบๆ กาย ที่บัดนี้ถูกความมืดมิดปกคลุมไว้ทุกหนแห่ง
“โชคอยู่ไหน” ความรู้สึกแรกเมื่อรู้สึกตัว
หญิงสาวชันกายให้ลุกขึ้น แล้วค่อยเดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง แล้วมุ่งหน้าไปยังห้องนอน ที่เธอเองพอจะรู้ว่าคือห้องไหน เพราะเคยมาสำรวจครั้งหนึ่งแล้ว แต่ทว่าประตูปิดสนิท
“มันถูกล็อคจากด้านใน”
แล้วนี่เธอจะทำเช่นไรดี ฝ่ามือเล็กๆ ทั้งสองตบไปที่ประตู ปากก็ร้องเรียกหาแต่โชค ไม่มีเสียงตอบรับแต่อย่างใด หากแต่ผู้ที่อยู่ในห้องนั้นกลับได้รับรู้ได้ทุกอย่าง แต่ไม่สามารถทำอะไรได้
“มันไม่มีประโยชน์หรอก” เสียงรันชรี
“คุณรัน ปล่อยคุณโชคออกมาเถอะคะ เขาเป็นเพื่อนคุณไม่ใช่หรือ คุณจะทำร้ายเขาทำไม มันบาปนะคะ”
“เธอไปได้แล้ว ฉันจะช่วยให้เธอไปจากที่อย่างปลอดภัย”กังวานเสียงสุดท้ายก่อนที่แหม่มจะจำอะไรไม่ได้
รันชรีเข้าสิงร่างชโลธรแล้วขับรถโชคออกมาจากบ้าน เมื่อถึงกลางทาง หญิงสาวรู้สึกตัวขึ้นมา ก็พบว่าตนไม่ได้อยู่ในบ้านรันชรีแล้ว แล้วนี่เธอจะทำเช่นไร โชคยังติดอยู่ในนั้น และอาจจะมีกิตติอีกคนที่อยู่ในนั้นด้วย
เมื่อสติกลับมา หญิงสาวเหยียบคันเร่งไปหาชมพูนุชที่อพาร์ทเม้นท์ทันที และเมื่อไปถึงหญิงสาวเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างให้เพื่อนฟัง ชมพู่ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หญิงสาวทั้งสองครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรดีกับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้น ชโลธรตัดสินใจโทรศัพท์ไปหามารดาของโชคและเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้ฟังเช่นกัน
ผู้เป็นมารดาเมื่อรับรู้เรื่องราวทุกอย่าง เหมือนอะไรมาอุดหลอดลมของนางเอาไว้
“หนูรันตายแล้ว”แม้ความสงสัยจะมีมากมายเพียงใด แต่ความเป็นห่วงบุตรชายนั้นมีมากมายกว่า
แพรวพรรณที่กำลังนั่งทาเล็บอยู่ไม่ห่างกันนัก หยุดชะงักทันทีที่ได้ยินประโยคนี้จากปากของหญิงสูงวัย
“คุณป้าว่าไงนะคะ รันตายแล้ว” หญิงสาวย้ำถามอีกครา
“แล้วตอนนี้โชคอยู่ที่ไหน อย่าบอกนะคะว่าไปหานังรันที่บ้าน”
หญิงสาวรีบลุกเข้ามาหาหญิงสูงวัยอย่างร้อนรน เพราะเธอเองทั้งรักและเป็นห่วงโชคมาก หากโชคหายไปเหมือนกิตติเธอคงจะทนอยู่ไม่ได้
“ไปค่ะ คุณป้า แพรวจะพาไปตามหาโชคที่บ้านนังรัน แพรวรู้จักบ้านมัน”
หญิงสูงวัยทำตามอย่างว่าง่าย นางนั่งคู่ที่ด้านหน้ารถไปกับแพรวพรรณ ก่อนจะไปแวะรับสามีที่บ้านของตน
...........................................................................................................................
ชโลธรติดต่อกับมารดาของโชคอยู่ทุกระยะ กระทั่งทุกคนมาถึงกรุงเทพฯ แม้ว่าหญิงสาวจะเสนอให้ทุกคนพักผ่อนก่อน แต่ทว่าผู้เป็นมารดากลับตอบปฏิเสธ และยืนยันว่าต้องการไปที่บ้านรันชรีทันที
รถสองคันจอดอยู่หน้าบ้านร้างหลังนั้น และรถอีกคันหนึ่งจอดอยู่ภายในบ้าน ผู้เป็นมารดาร่ำไห้เหมือนใจจะขาด เมื่อนางนึกถึงบุตรชาย ว่าบัดนี้จะเป็นเช่นไร ในบ้านร้างหลังนี้กับวิญญาณของเพื่อน
ชโลธรเป็นผู้นำทางบุคคลทั้งหมดเข้าไปในตัวบ้าน แต่ก็พบกับความว่างเปล่า
“โชคอยู่ไหน รันปล่อยโชคเถอะนะลูก” ผู้เป็นมารดากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนในทันทีที่เหยียบย่างเข้ามาในบ้านที่กักขังบุตรชายของนางไว้
“อยู่ชั้นบนค่ะแม่” ชโลธรบอกแล้วเดินนำไปบนชั้นสองอย่างรีบเร่ง
ห้องนอนยังคงถูกปิดล็อคเช่นเดิม
“รัน...ลูกฟังแม่นะ ปล่อยโชคออกมาเถอะ แม่ขอร้อง” นางยังคงร่ำไห้และอ้อนวอนต่อวิญญาณของหญิงสาวที่นางเองก็รักเหมือนลูกเช่นกัน แต่มันกลับไม่เป็นผล
“กลับออกไป” เสียงอันเหี้ยมเกรียมของรันชรี
ผู้เป็นมารดาสะดุ้งเฮือกกับเสียงอันเหี้ยมเกรียมนั้น แล้วนางก็ร่ำไห้ปานใจจะขาด
“จะให้แม่ทำอะไรก็ยอม ปล่อยโชคออกมาเถอะ” นางยังอ้อนวอนต่อไป
แหม่มถอยห่างออกไปเพื่อยืนทำสมาธิ แล้วแผ่เมตตาไปให้รันชรี หญิงสาวคิดว่าทั้งหมดเป็นความผิดของตนเอง หากตนเองไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ กิตติและโชคอาจจะไม่เป็นเช่นนี้ก็ได้ แต่ก็ยังคงกล่าวบทแผ่เมตตาต่อไป
“คุณรันคะ ปล่อยพวกเขาออกมาเถอะค่ะ” แหม่มกล่าวอย่างรู้สึกผิด แล้วตรงไปยังประตู ทุกคนช่วยกันออกแรงผลักประตู จนประตูไม้นั้นเปิดออก
ภาพเบื้องหน้าที่ปรากฏ...มันช่างน่าสลดใจเหลือเกิน
กิตตินอนซูบผอมอยู่บนเตียงเก่าๆ ถัดไปบนโซฟาเป็นร่างของโชคที่ใบหน้าซีดเซียวแต่ดวงตาของคนทั้งคู่ยังคงเบิกโพลงอยู่
ผู้เป็นมารดาถึงกับหมดสติเมื่อเห็นภาพบุตรชายที่อยู่เบื้องหน้า ผู้เป็นสามีและแพรวพรรณพยุงร่างนั้นไว้มีเพียงชโลธรผู้เดียวที่มองเห็นรันชรีที่ยืนอยู่ภายในห้อง ด้วยสีหน้าอันโกรธเกรี้ยว
“หมดหน้าที่ของเธอแล้ว ฉันบอกเธอแล้วว่าอย่ามายุ่งเรื่องของฉัน อยากลองดีกับฉันใช่ไหม” เสียงรันชรีตวาดลั่นห้อง
ถึงแม้จะหวาดกลัวสักเพียงใด แหม่มก็ยังถลาร่างเข้าไปหาโชคที่นั่งนิ่งอยู่บนโซฟา หญิงสาวจับจังหวะการเต้นของหัวใจอย่างยากเย็น มันแผ่วเบามาก มากเสียจนในตอนแรกเธอคิดว่าเขาตายไปแล้ว แต่เมื่อดวงตาทั้งสองนั้นกระพริบลง หญิงสาวจึงได้รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่
“พ่อ...แม่...แหม่ม...ออก...ไป...อันตราย” สิ่งที่โชคอยากจะพูดเหลือเกิน เพราะเขารู้ดีว่ารันชรีคงไม่ปล่อยคนที่จะขัดขวางเธอเป็นเด็ดขาด
“ใครจะเอาเพื่อนฉันไปไม่ได้”
“พอได้แล้วคุณรัน คุณทำเกินไปแล้ว ฉันไม่น่าช่วยคุณเลย” แหม่มตวาดกลับบ้าง
“อยากลองดีกับฉันใช่ไหม”
แต่แล้วก็ปรากฏภาพชายหญิงสองคนเดินตรงเข้ามาหารันชรีทำให้รันชรีหยุดปฏิกิริยาทุกอย่างที่เป็นอยู่
“พ่อ แม่”
รันชรีเรียกบุพการี
“หยุดเถอะลูก อย่าจองเวรกันเลย ลูกทำอย่างนี้มันไม่มีอะไรดีขึ้น ลูกเองต่างหากที่จะไม่มีสงบเสียที”
รันชรีร้องไห้ เสียงนั้นโหยหวนน่าสะพรึงกลัวยิ่ง
“ทุกคนทำร้ายหนู หนูทำผิดอะไร ทำไมทุกคนใจร้ายกับหนู พวกเขารังแกหนูก่อน”
“พ่อกับแม่ขอร้องล่ะ ก่อนที่ลูกจะทำบาปกรรมไปมากกว่านี้ ปล่อยวางเสียเถิด แล้วลูกจะเป็นสุข”
แล้วร่างทั้งสองก็เลือนหายไปต่อหน้าต่อตา
มีเพียงเสียงสะอื้นไห้จากรันชรีเท่านั้น ที่บ่งบอกถึงความเจ็บปวดที่ยากจะเยียวยาได้
ชโลธรยังคงแผ่เมตตาไปให้ไม่หยุด ยากเหลือเกินที่จะหยุดยั้งความอาฆาตของรันชรีได้ เธอเองไม่มีสิ่งวิเศษใดๆ ที่จะมาสามารถหยุดรันชรีได้เลย มีเพียงจิตใจอันเมตตาสงสารต่อวิญญาณพยาบาทเท่านั้น
“ด้วยบารมีแห่งพระพุทธคุณ โปรดปกป้องพวกเราด้วยเถิด” สิ่งหนึ่งที่แหม่มยึดมั่นในจิตใจมาตลอด
พลันนั้นหญิงสาวก็จับที่ข้อมือของชายหนุ่ม หมายจะปลุกให้ตื่นจากการหลับใหล รันชรีโกรธเกรี้ยวกับการกระทำของแหม่มที่จะช่วยเหลือโชค แต่ทว่าเมื่อรันชรีจะเข้าไปหาชโลธร กลับเหมือนถูกอะไรบางอย่างผลักออกมา เธอไม่สามารถแตะต้องหญิงสาวได้เลยยิ่งทวีความโกรธเกรี้ยวที่กำลังคุกรุ่น
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ เธอจะเอาเพื่อนฉันไปไม่ได้ เธอจะเอาใครไปจากฉันไม่ได้เด็ดขาด”
เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวด กังวานนั้นช่างน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง แต่ทว่าเธอกลับไม่สามารถเข้าใกล้หญิงสาวได้เลย ชโลธรเขย่าร่างของโชคเต็มแรง ชายหนุ่มเหมือนถูกกระชากออกมาจากความฝัน ทันทีที่เขารู้สึกตัว หญิงสาวสวมกอดเขาไว้อย่างแนบแน่น จากนั้นจึงเข้าไปที่ร่างของกิตติที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง
ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบๆ เมื่อสายตาประสพกับบิดาที่ประคองและมารดาของตนที่หมดสติอยู่นั้น เขาก็รี่เข้าไปหาในทันที
“แม่ครับ แม่...” บุตรชายเรียกมารดา นางลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า
“โชค ลูกไม่เป็นไรแล้วนะ” นางโอบกอดบุตรชายไว้ด้วยความห่วงใยเหลือคณา
ชายหนุ่มหันหน้าไปหากิตติที่นอนอยู่บนเตียง
กิตติดูเหมือนจะอาการหนักที่สุด ร่างกายเขาซูบผอม ไม่มีเรี่ยวแรง โชคใช้พละกำลังทั้งหมดของเขาที่เหลืออยู่ยกร่างกิตติขึ้นมา โดยมีบิดาของเขาช่วยพยุงลงมาชั้นล่าง คงมีเพียงรันชรีเท่านั้นที่ยังส่งเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดอยู่เพียงลำพัง เธอไม่สามารถเข้าใกล้กลุ่มคนเหล่านั้นได้เลย ได้แต่ยินมองกลุ่มคนเหล่านั้นเดินจากไป
“พวกเธอจะไปจากฉันไม่ได้”
รันชรีหันมามองกลุ่มคนเหล่านั้นด้วยแรงอาฆาต
“บารมีแห่งพุทธคุณ โปรดคุ้มครองพวกเราด้วยเถิด โปรดชักพาให้ดวงวิญญาณของคุณรันได้พ้นทุกข์ด้วยเถิด” ชโลธรตั้งมั่นในคำอธิษฐานนั้น
ลำแสงสีขาวพวยพุ่งออกมาปกป้องพวกเขาเหล่านั้น ทำให้รันชรีไม่สามารถเข้าใกล้ได้
ชโลธรได้แต่ยืนมองดูวิญญาณของรันชรีกรีดร้องอย่างโหยหวน
บัดนี้คนทั้งสามกำลังจะออกไปจากบ้าน รันชรีพุ่งตรงเข้าหา แต่ก็ถูกแรงผลักอันลึกลับนั้น ไม่ให้เข้าถึงตัวคนกลุ่มนั้นได้เลย
“อย่า...ทิ้งฉันไป อย่าเอาพวกเขาไป” รันชรีเปล่งเสียงกังวาน
หญิงสาวพยายามจะตามออกไป แต่ทว่ากลับออกไปจากห้องๆ นั้นไม่ได้ ลำแสงสีขาวนั้นปิดกั้นไม่ให้ทางออกทุกทางไว้ราวกับเป็นกำแพงหนาทึบ
“อย่า...เอา...คน...ที่...ฉัน...รัก...ไป”
น้ำเสียงที่ระคนไปด้วยความอาวรณ์ การพลัดพรากที่บังเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง เป็นดั่งมัจจุราชที่คร่าชีวิตเธออีกครั้ง
ชโลธรหันมามองรันชรีอีกครั้งหนึ่ง ภาพนั้นช่างน่าเวทนาเหลือเกิน รันชรีวิ่งไปทั่วห้อง ร่ำไห้กับการพลัดพรากจากคนที่ตนรัก