ตอนที่ 22
แพรวพรรณตรงดิ่งไปที่บ้านอานนท์และเล่าเรื่องกิตติส่งชโลธรมาแย่งโชคเพื่อเป็นการแก้แค้น แพรวพรรณวางแผนเช่นเดิมคือให้อานนท์เข้าไปตีสนิทและจีบชโลธร โดยคราวนี้ให้ค่าจ้างเป็นเงินหลักแสน แต่อานนท์ต้องทำให้สำเร็จตามเวลาที่แพรวพรรณกำหนดไว้
ฝ่ายอานนท์เมื่อเห็นเงินค่าจ้างก้อนใหญ่ก็ตกปากรับคำทันที
“แกอย่าทำพลาดเหมือนคราวนังรันก็แล้วกัน” แพรวพรรณท้าวความถึงเรื่องที่อานนท์จีบรันไม่สำเร็จ
“เออน่า ยัยนี่น่าจะไม่ยาก” ในแววตาชายหนุ่มฉายแววเจ้าเล่ห์ออกมาทันที
“ฉันก็เห็นแกบอกอย่างนี้เมื่อครั้งนังรันเหมือนกัน”
อานนท์มองแพรวพรรณด้วยสายตาไม่พอใจสักเท่าใด เพราะเขาเองก็ใช่ว่าหน้าตาจะขี้ริ้วขี้เหร่ บรรดาสาวเล็กสาวใหญ่ในเมืองต่างก็อยากจะคู่ควงของเขา คงมีเพียงแต่รันชรีเท่านั้นที่ตาไม่ถึงของ แต่เมื่อนึกเงินมันก็ทำให้ความรู้สึกขุ่นเคืองนั้นหายไปเป็นปลิดทิ้ง
แต่อีกเรื่องหนึ่งที่แพรวพรรณจะต้องเล่าให้อานนท์ฟังให้ได้ คือเรื่องใบหน้าของชโลธรกลายเป็นรันชรี
“เราต้องไปหาของดีมาป้องกันตัวเรา ไม่งั้นฉันต้องประสาทกลับเพราะนังรันแน่ ตอนเป็นคนก็เป็นขวากหนามของฉัน พอตายไปก็ยังตามมาหลอกหลอนกันอีก”
ว่าแล้วหญิงสาวก็ลูบแขนไปมา เพราะยังนึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนเย็นที่ริมบึงแต่แรงแห่งความรักและความหึงหวงมันมีมากยิ่งกว่า
“ไอ้กิตติล่ะ แพรวได้โทรหามันบ้างหรือเปล่า เห็นบอกว่ามันไปหารันไม่ใช่หรือ”
“ติดต่อไม่ได้ ไม่รู้ป่านนี้โดนนังรันบีบคอตายไปหรือยังก็ไม่รู้”
อานนท์นั่งอมยิ้มอย่างมีความใน สักพักชายหนุ่มก็ลุกขึ้นเดินไปชั้นสองของบ้าน เขากลับลงมาด้วยตะกรุดเก่าๆ หนึ่งอัน พลางยื่นให้กับหญิงสาว
“แกเอานี่ไว้ มันจะอยู่หรือมันจะตายก็กันไว้ก่อน”
“แกเอามาจากไหน”
“ตั้งแต่วันนั้นที่เราต้องไปนอนค้างที่วัด ฉันก็เริ่มเสาะแสวงหาของพวกนี้ ก็ที่ฉันไม่อยู่สองสามวันนั่นแหละ ไปเอาของดีมา เชื่อฉันนะใส่ไว้แล้วจะปลอดภัย ก็ตั้งแต่ฉันใส่ติดตัว ก็ไม่มีอะไรมาให้เห็นอีก”
หญิงสาวรับเครื่องรางจากชายหนุ่มเอาไว้ มันทำให้จิตใจอันหวาดผวานั้นกลับมามั่นคงอีกครั้งหนึ่ง
.......................................................................................
ระยะเวลาแห่งการทำงานของชโลธรใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว แต่กิตติหายตัวไปอย่างลึกลับ นับจากวันที่เขาลางานและขอลาพักร้อนต่อ มันร่วมเดือนเข้าไปแล้ว “คุณยุพา” คือหัวหน้าคนใหม่ที่ทางสำนักงานใหญ่ส่งมาแทนกิตติ ข่าววงในซุบซิบกันว่ากิตติอาจจะหนีหนี้พนันอีกก็เป็นได้ หรือไม่ก็ถูกนักเลงทำรายเหมือนที่ผ่านมา แต่เรื่องสำคัญคือบัดนี้เขาถูกปลดออกจากการเป็นพนักงานของบริษัทไปเรียบร้อยแล้ว เพราะการละเลยงานเป็นเวลานานขนาดนี้ มันถือเป็นความบกพร่องอย่างสูงสำหรับผู้มีตำแหน่งเป็นหัวหน้างาน
แม้หญิงสาวจะไม่ค่อยชอบหน้ากิตตินัก แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ที่เขาหายตัวไปนานเช่นนี้บวกกับการไม่ได้ติดต่อกับรันชรีมาหลายวัน ทำให้หญิงสาวคาดเดาไปต่างๆ นานา ว่ากิตติอาจจะตกอยู่ในอันตรายก็เป็นได้
คืนนี้ชโลธรจึงนั่งสมาธินานเป็นพิเศษ จนชมพู่ดูทีวีแล้วเผลอหลับไป ชโลธรก็ยังคงนั่งสมาธิต่อไป โดยเธอไม่รู้สึกเหนื่อยล้าร่างกายแต่อย่างใด
หญิงสาวเพ่งจิตไปที่รันชรี แต่ทว่ากลับพบแต่ความว่างเปล่า สิ่งที่ทำได้สิ่งเดียวคือการแผ่เมตตาและอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้ แต่พลันนั้นภาพของรันชรีก็ปรากฏขึ้น
“ฉันสบายดี ขอบใจเธอมากนะที่ช่วยเหลือฉันมาตลอด” รันชรีพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“คุณกิตติหายไป คุณรันรู้หรือเปล่าค่ะว่าเขาอยู่ที่ไหน ทุกคนที่บริษัทเป็นห่วงเขามากนะคะ”
“ไม่ต้องห่วงหรอก”
“หมายความว่าเขาอยู่กับคุณ?
...คุณรันให้แหม่มไปพบเพื่อนคุณทำไมคะ? ”
“แค่เธอไปให้เพื่อนฉันได้รู้จักเธอ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว เธอช่วยฉันมามาก ต่อไปนี้ฉันจะเป็นฝ่ายช่วยเธอเอง”
“ช่วยอะไรคะ”
“เดี๋ยวเธอก็รู้เอง ฉันไปละนะ ขอบใจเธอมาก”
แล้วภาพทุกอย่างก็กลายเป็นสีขาวโพลน หญิงสาวค่อยๆ ลืมตาขึ้นแล้วถอนตนเองออกจากการนั่งสมาธิ แม้ว่าคำตอบทุกอย่างจะยังไม่เฉลยให้เธอได้รับรู้ทั้งหมด แต่เมื่อเห็นรันชรีกับใบหน้าที่ยิ้มแย้มและมีความสุขเช่นนั้น ก็ทำให้หญิงสาวอิ่มอกอิ่มใจไม่น้อย เธอหวนนึกถึงคำพูดของรันชรีอีกครั้งว่าไม่ต้องทำอะไรแล้ว มันก็ช่วยทำให้เธอผ่อนคลายลงไปได้มาก
รุ่งเช้าหญิงสาวไปทำงานด้วยความปลอดโปร่ง แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นดอกไม้ช่อใหญ่วางอยู่บนโต๊ะทำงานของตน ชมพู่ตื่นเต้นกับดอกไม้ช่อนั้นยิ่งกว่า รีบวิ่งเข้าไปสำรวจดูในการ์ดที่แนบมา
“สำหรับมิตรภาพที่กำลังจะก่อเกิด...อานนท์”
หญิงสาวทั้งสองถึงกับผงะ ชมพู่เผลอปล่อยมือ ทำให้ดอกไม้ช่อใหญ่หล่นลงบนพื้นไปต่อหน้าหญิงสาวทั้งสอง
“สองคนนั่น กำลังคิดจะทำอะไรอยู่” ชโลธรรำพึง
“ฉันว่าแกต้องระวังตัวให้มากนะ ต้องเป็นแผนการของยัยแพรวนั่นพันเปอร์เซ็นต์”ชมพู่ออกความคิดเห็นทันที
ทั้งคู่เดาถูกเพราะครั้งหนึ่งชโลธรเคยรับรู้วิธีการสกปรกที่มีผู้เป็นหัวหน้าของคนทั้งสองร่วมลงมือไปด้วย
“พวกแกไม่มีวันทำได้สำเร็จหรอก” ชมพู่ว่าบ้าง
แต่ยังไม่ทันไรก็มีโทรศัพท์จากสำนักงานใหญ่มาถึงชโลธร เนื้อความคือให้เธออยู่ที่เมืองนี้ต่อ โดยเลื่อนตำแหน่งให้เป็นเลขาฯ ของหัวหน้าฝ่ายคนใหม่ที่ทางสำนักงานใหญ่ส่งมาแทนกิตติ
“หรือนี่จะเป็นสิ่งที่คุณรันบอกว่าจะช่วยเรา เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น เงินเดือนเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว ยังไม่รวมเงินพิเศษอื่นๆ อีก” โดยที่ยังไม่ทันเล่าให้ชมพู่ฟัง หญิงสาวค่อยๆ เดินออกจากสำนักงาน เพื่อออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ด้านนอก เธอนึกตรึกตรองดูอีกทีว่าจริงๆ แล้วเธออยากจะอยู่เมืองนี้ต่อหรือไม่ เพราะในระยะเวลาที่กำหนด อีกไม่ถึงสิบวันเธอก็จะได้กลับกรุงเทพฯ แล้ว
ชโลธรเล่าเรื่องที่สำนักงานใหญ่เลื่อนตำแหน่งและเงินเดือนให้ชมพูนุชฟัง แต่ต้องทำงานที่นี่ต่อจนกว่าห้างสรรพสินค้าแห่งใหม่เปิดได้หกเดือน ถึงจะทำเรื่องย้ายกลับไปที่กรุงเทพฯ ได้อีกครั้งหนึ่ง
รถเก๋งสองคันบรรทุกผู้โดยสารมาแน่นเอี๊ยด มาจอดสนิทที่หน้าร้านอาหารอันคุ้นเคยนั้น บรรดาหนุ่มๆ สาวๆ ต่างทยอยกันออกมาจากรถอย่างยากลำบาก เพราะอัดเบียดเสียดกันมาอย่างแน่นขนัดมีเพียงคุณยุพาหัวหน้าคนใหม่เท่านั้นที่จะขับรถตามมาสมทบกับคุณสมชาย
หนุ่มสาววัยทำงานนับรวมกันแล้วก็สิบห้าคนพอดี กำลังส่งเสียงเซ็งแซ่ระหว่างการสั่งอาหาร คนนี้จะเอาอย่างนั้น อีกคนจะเอาอย่างนี้ บางคนกำลังสั่งเครื่องดื่มจากบริกรหนุ่มน้อย แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนต่างก็มีเหมือนกันคือรอยยิ้ม วันนี้ทุกคนบนโต๊ะอาหารมีรอยยิ้มอาบอยู่ที่ใบหน้า เคล้ากับเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะอย่างขบขันในบางจังหวะ มันช่างเป็นชั่วโมงที่แสนจะมีชีวิตชีวาเสียจริง
เมื่อเงยหน้าขึ้นจากรายการอาหาร หญิงสาวผู้นั่งหัวโต๊ะก็ชำเลืองตาไปที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์ แต่ก็ทำให้หญิงสาวต้องชะงักงันในสายตา เพราะในสายตาของเธอนั้นไปบรรจบกับสายตาอีกคู่หนึ่ง ที่กำลังเพ่งมองเธอยู่ด้วยแววตาที่ยากจะอธิบาย คงไม่มีใครจะมีแววตาเช่นนี้ได้นอกเสียจาก หญิงสาวหน้าสวยคนนั้น
“แพรวพรรณ”
แต่แล้วสายตาชโลธรก็ไปสะดุดกับผู้เป็นมารดาของชายหนุ่มที่กำลังเดินออกมาจากห้องเล็กๆ ด้านในสุดของร้านหญิงสาวลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปสวัสดีกับผู้ที่สูงอายุกว่า นางเองเมื่อเห็นหญิงสาวก็ดีใจไม่น้อย แต่ก็นึกเสียดายที่บุตรชายขับรถกลับไปทันทีที่ส่งนางถึงหน้าร้าน
แตกต่างกับอีกคนที่เมื่อเห็นกลุ่มของชโลธรที่กำลังเข้ามาในร้าน กลับทำหน้าไม่รับแขก ใบหน้าสวยๆ นั้นแฝงไปด้วยความอิจฉาริษยา ชื่อของอานนท์ผุดขึ้นมาในทันที
เหตุใดในเวลานี้อานนท์จึงไม่อยู่ที่ร้าน
แต่ก็ยังถือว่าโชคดี เพราะโชคเองก็ไม่อยู่เหมือนกัน จะอยู่ก็แต่มารดาที่แพรวพรรณเองอยากจะให้เป็นอัมพาตไปให้รู้แล้วรู้รอด เพราะทุกวันนี้ที่เห็นหน้ากัน หล่อนก็ต้องฝืนยิ้มและฝืนพูดคุยด้วยทุกอย่าง
“พวกพนักงานบริษัทกิ๊กก๊อก มากันเยอะแบบนี้สงสัยเจ้านายจะพามาเลี้ยง ถ้าให้จ่ายเองคงไม่มีปัญญาหรอก” แพรวพรรณแสดงความคิดเห็นเมื่อหญิงสูงวัยผละออกมาจากชโลธร
“เขาจะมีจ่ายหรือใครจะจ่ายให้ เขาก็คือลูกค้า แพรวไม่ควรไปพูดวิจารณ์ลูกค้าอย่างนั้นนะ เรามีหน้าที่บริการเขา ก็ทำหน้าที่ของเราไป” หญิงสูงวัยกว่ากล่าวสอนด้วยวาจาที่นุ่มนวล
“คุณป้าก็มองโลกในแง่ดีตลอด เผื่อพวกมันกินแล้วไม่มีเงินจ่ายจะทำยังไงคะ”
“คงไม่มีเหตุการณ์อย่างนั้นเกิดขึ้นหรอกจ๊ะ หนูแพรวก็รู้จักหนูชโลธรไม่ใช่เหรอ คนที่นั่งหัวโต๊ะนั่น”
“รู้ค่ะ ก็แค่พนักงานบริษัท เงินเดือนจะซักเท่าไหร่เชียว”
หญิงสูงวัยถอนหายใจด้วยความระอาใจที่มีต่อแพรวพรรณ นางคิดว่าหากวันใดที่บุตรชายของนางมีแฟนเป็นตัวเป็นตน แพรวพรรณคงจะเลิกคิดและเลิกหวังกับบุตรชายของนางไปเอง แต่ในทางตรงกันข้าม แพรวพรรณกลับมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าวยิ่งขึ้น
นางเลี่ยงออกไปที่ระเบียงร้านด้านที่ติดกับแม่น้ำ แล้วกดโทรศัพท์ไปหาบุตรชายเพื่อต่อว่าว่าเหตุใดจึงไม่รู้ว่าแฟนตนเองจะมาทานอาหารที่ร้านอาหาร นางจึงบอกให้บุตรชายรีบขับรถกลับมาโดยเร็ว
เวลาไม่ถึงสิบห้านาทีโชคมาถึงที่ร้าน ชายหนุ่มปรี่เข้าหาชโลธรดั่งคนคุ้นเคย หญิงสาวทำตัวไม่ถูกด้วยความเขินอาย เพื่อนๆ ทุกคนในโต๊ะอาหารรวมทั้งชมพู่ต่างก็แปลกใจกับอากัปกิริยาที่เจ้าของร้านรูปหล่อ ปฏิบัติกับเลขาฯ คนใหม่ประดุจคนคุ้นเคยเช่นนั้น
แพรวพรรณคิดตำหนิอานนท์ที่ไม่เอาไหน ปล่อยให้เรื่องทุกอย่างเป็นอย่างที่เห็น คนที่เข้าไปสนิทสนมกับชโลธรต้องเป็นอานนท์ไม่ใช่โชค ที่บัดนี้ดูเหมือนจะเข้ากับกลุ่มเพื่อนของหญิงสาวได้เป็นอย่างดี เมื่อฟังจากเสียงหัวเราะอย่างเฮฮา ที่ดังมาจนถึงเคาน์เตอร์
หญิงสาวหน้าสวยขบฟันแน่น
ชมพูนุชถามชโลธรเมื่อทั้งคู่มาเข้าห้องน้ำ ว่าไปเป็นแฟนกับโชคตอนไหน ชโลธรได้แต่บอกว่าจะเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟังเมื่อกลับถึงบ้านแล้ว ซึ่งก็ปล่อยให้ชมพู่ตกอยู่ในความสงสัยไปตลอดเวลาที่นั่งอยู่บนโต๊ะอาหาร
“น้องแหม่มเนี่ย เป็นแฟนของเจ้าของร้านก็ไม่บอก” หนึ่งในสมาชิกพูดเชิงตำหนิ
“เปล่านะคะ ไม่ได้เป็นอะไรกัน”
“ยังมาปฏิเสธอีก” ชายหนุ่มสวนขึ้นมาทันที
“โธ่ คุณชโลธรครับ คุณจะอายใครหรือครับ นี่ก็เพื่อนคุณทั้งนั้น ไม่ต้องอาย ขนาดผมยังไม่อายเลย” ชายหนุ่มพูดด้วยใบหน้าทะเล้น
หญิงสาวอยากจะเอาช้อนส้อมที่อยู่ในมือไปอุดปากผู้พูดเสียจริงๆ ในเวลานี้
“ขี้ตู่”
แต่ลึกๆ แล้วในใจหญิงสาวก็ไม่ได้ปฏิเสธแม้แต่น้อย จากหน้าตาที่ดูดีอยู่แล้ว เมื่อได้สัมผัสกับความน่ารักและความทะเล้นเล็กๆ ของเขา มันยากเหลือเกิน ยากที่จะรั้งใจตนเองไว้ ไม่ไห้ล่องลอยไปกับเขา
แต่แล้วนางมารร้ายก็ปรากฏร่างขึ้นมา แพรวพรรณเดินเชิดหน้าสวยๆ นั้นเข้ามายังชายหนุ่ม
“โชคคะ ท่านรองฯ อยากพบคุณค่ะ” แพรวพรรณเอ่ยเสียงเข้มพร้อมกับสองมือที่เข้ามาคล้องที่แขนของชายหนุ่ม และดึงรั้งเข้าหาตัว
ทุกคนบนโต๊ะอาหารต่างชะงักการพูดคุยที่กำลังได้อรรถรสนั้น แล้วหันมามองแพรวพรรณเป็นตาเดียวกันสลับกับมองมาที่ชโลธร เป็นนัยๆ จะถามว่าหญิงสาวหน้าสวยผู้นี้เป็นใคร เหตุใดจึงมาควงแขนแฟนหนุ่มของเธอเช่นนี้
“ท่านรองฯ ลูกค้าประจำของเราไงคะ ท่านรออยู่ที่หน้าร้าน”หญิงสาวบอกแล้วหันหน้าออกไปทางหน้าร้าน
“คงไม่ต้องไปพบแล้วละมั้ง เพราะแม่คุยธุระกับท่านเรียบร้อยแล้ว แล้วหนูแพรวก็ควรจะปล่อยมือจากแขนโชคเสียที เพราะหากแม่เป็นหนูแหม่มแม่คงไม่พอใจ ที่คนอื่นจะมาควงแขนแฟนตัวเองอยู่อย่างนี้”
หญิงสูงวัยผู้ตามมาสมทบกล่าวขึ้น ทำเอาทุกคนบนโต๊ะอาหารอึ้งไปอีกรอบนางพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่หากแฝงไปด้วยอำนาจ ดวงตานางแม้จะไม่กลมโตเหมือนหญิงสาวหน้าสวย แต่บัดนี้สายตาที่นางมองไปที่หญิงสาวผู้นั้น ราวกับว่าจะกระชากมือของหญิงสาวออกจากแขนของชายหนุ่มในบัดดล
“คนอื่น คุณป้าเรียกแพรวว่าเป็นคนอื่น แล้วสองคนนี้เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน จะเรียกว่าแฟนได้ยังไง” หญิงสาวพูดด้วยอารมณ์ไม่พอใจ
“ก็ลองถามเจ้าตัวเขาดูอีกทีสิ ว่าใช่หรือไม่ใช่” หญิงสูงวัยกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบอีกเช่นเคย
พอดีกับคุณยุพาและคุณสมชายมาถึง ชโลธรจึงถือโอกาสแนะนำให้โชคและมารดาได้รู้จักกับหัวหน้างานตามมารยาท แต่ชายหนุ่มกลับถือวิสาสะบอกคุณยุพาว่าตนเองเป็นแฟนกับชโลธร ทุกคนบนโต๊ะอาหารชักชวนให้ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของร้านมานั่งร่วมโต๊ะด้วยกัน ชายหนุ่มอ้างว่าตนต้องดูแลแขกโต๊ะอื่นด้วย ขอให้ทุกคนตามสบาย มื้อนี้เขาขอเป็นเจ้าภาพเลี้ยงฉลองตำแหน่งใหม่ของชโลธรแล้วชายหนุ่มกับมารดาก็เดินเลี่ยงออกมา ปล่อยให้หญิงสาวหน้าสวยนั้นมองตามอย่างร้อนรน ที่ไม่มีใครแนะนำตนให้คนทั้งโต๊ะได้รู้จัก