ตอนที่ 21
“รันชรี...” ใช่แล้ว วันนั้นวันที่เขาและเพื่อนช่วยกันเก็บข้าวของที่บ้าน ก่อนจะย้ายมาอยู่ที่นี่ รันชรีนำหน้าเขาไปนั่งเล่นที่สนามหญ้า แล้วชวนให้เขาลงมานั่งที่สนามหญ้าด้วยกัน
แต่ขณะที่หญิงสาวกำลังทอดสายตาไปยังภาพเด็กๆ เบื้องหน้า ภาพรันชรีก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้น
“เธออย่าเพิ่งตกใจ อยู่นิ่งๆ ที่เหลือฉันจะจัดการเอง” รันชรีชิงพูดขึ้นก่อน
ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะกล่าวตอบ เธอก็รู้สึกเคลิ้มเหมือนกำลังจะหลับ
“คุณโชค คุณเคยมีเพื่อนรักไหมคะ เพื่อนสนิทก็ได้”แหม่มเอ่ยถาม
ชายหนุ่มตกใจเล็กน้อยที่จู่ๆ หญิงสาวก็เอ่ยคำถามนี้ขึ้นมา โดยที่ใจเขาเองก็กำลังคิดถึงรันชรีอยู่ไม่น้อย ชายหนุ่มมองหน้าหญิงสาวอย่างสงสัย
“ทำไมคุณถึงถามผมละครับ แล้วคุณล่ะมีบ้างหรือเปล่า”ชายหนุ่มถามกลับ
“มีสิคะ ก็ชมพู่ไง เรารู้จักกันมาตั้งแต่เรียนอยู่ปีหนึ่ง พอทำงานเราก็ทำที่เดียวกัน ถือได้ว่าเป็นทั้งเพื่อนรักและเพื่อนสนิทเลยล่ะ แต่เวลาเรามีปัญหากัน เราก็จะมานั่งคุยกันให้รู้เรื่อง ไม่ใช่ต่างฝ่ายต่างไม่พูดจากัน หรือปล่อยให้อีกฝ่ายรอที่จะพูดคุยอยู่ฝ่ายเดียว ที่สำคัญเราจะไม่เชื่อคนอื่น เราจะเชื่อใจกันและกัน คุณมันคนใจร้าย ใจดำ ทิ้งเพื่อนโดยที่ไม่รับฟังคำอธิบาย คุณไม่สงสารเพื่อนเลยหรือไง คุณไม่รู้หรอกว่าเพื่อนคุณรักคุณมากขนาดไหน”หญิงสาวหยุดพูดแล้วจ้องหน้าชายหนุ่ม ด้วยแววตาที่ปวดร้าว
อีกครั้งกับประโยคแปลกๆ ที่หญิงสาวพูดขึ้นมาชายหนุ่มค่อยๆ ถอยตัวออกห่างจากหญิงสาว ตรงข้ามกับหญิงสาวที่จ้องหน้าชายหนุ่มด้วยแววตาที่ขึงขัง และกำลังขยับกายใกล้เขามาเรื่อยๆ ซึ่งเขาเชื่อในสายตาเขาว่าแววตานั้นมันไม่ใช่ชโลธรคนเมื่อสักครู่ที่นั่งคุยกัน แต่มันเป็นแววตาที่น่ากลัว แววตาที่ดุดัน อาฆาต
“แกกลัวฉันหรือโชค ฉันเป็นแค่ผู้หญิงตัวคนเดียว ฉันทำอะไรใครไม่ได้หรอก” แน่นอนว่าประโยคนี้ออกมาจากปากชโลธร แต่แววตานั้น มันไม่ใช่ของหญิงสาว
ชายหนุ่มรวบรวมความกล้าทั้งหมด เอนกายเข้าไปหาหญิงสาว แล้วจับหัวไหล่อันบอบบางนั้น
“แหม่ม...แหม่ม...” ชายหนุ่มเขย่าตัวหญิงสาวเบาๆ พร้อมกับเรียกหญิงสาวคนเดิมกลับมา
เหมือนถูกปลุกขึ้นจากความฝัน หญิงสาวพบว่าบัดนี้เบื้องหน้านั้นเป็นใบหน้าของชายหนุ่มที่อยู่เกือบจะชิดใบหน้าตน มือทั้งสองข้างของเขาเกาะกุมอยู่ที่หัวไหล่ทั้งสองของเธอ เธอสลัดมือนั้นออกไปสุดแรง
“อีตาโชค คุณจะทำอะไรฉันเนี่ย” เสียงแหม่มแว้ดขึ้นมา พร้อมกับแววตาที่เปลี่ยนไป
“แหม่ม คุณรู้หรือเปล่าว่าคุณพูดอะไรออกมาบ้าง”
“ก็ฉันถามคุณว่าคุณจะทำอะไรฉันอยู่นี่ไง ไม่ได้ยินหรือ” หญิงสาวเริ่มขึ้นน้ำเสียง พร้อมกับลุกขึ้น
“แสดงว่าก่อนหน้านี้คุณ...จำ...ไม่ได้”
“พอเถอะคุณ นี่มันกลางวันแสกๆ ผู้คนเยอะแยะจะมาทำลามกอนาจารอะไรกับฉัน นี่ถ้าไม่ติดว่าคุณรัน...” หญิงสาวหยุดเอามือข้างหนึ่งปิดปากตนเองไว้ เพื่อยุติคำพูดที่กำลังจะพรั่งพรูออกมา
“รัน...คุณรู้จักรันหรือตอบผมมาสิ” ชายหนุ่มเป็นฝ่ายลุกขึ้นบ้าง พร้อมกับย่างสามขุมเข้าหาหญิงสาว
แทนคำตอบ หญิงสาวกลับรีบสาวเท้ากลับไปที่รถของตนเองที่จอดอยู่ใกล้ๆ ไม่วายชายหนุ่มจะวิ่งตาม เพราะจากคำพูดทั้งหลายของหญิงสาวที่พรั่งพรูออกมา ประกอบกับหญิงสาวเอ่ยชื่อรันชรี ทำให้เขารู้ว่าหญิงสาวผู้นี้ต้องรู้จักรันชรีอย่างแน่นอน
ชายหนุ่มคว้าข้อมือหญิงสาวไว้ได้ เขาดึงร่างเล็กๆ นั้นเข้าหาตัวอย่างสุดแรง ชั่วไม่กี่วินาทีนั้นหญิงสาวก็เข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างง่ายดาย
“คุณบอกผมมาเดี๋ยวนี้ว่าคุณรู้จักรันใช่ไหม”
“ฉันไม่รู้จักใครทั้งนั้น แล้วคุณก็ปล่อยฉันได้แล้ว” แม้ปากของแหม่มจะบอกให้ชายหนุ่มปล่อยตนออกจากอ้อมกอดของเขา แต่หญิงสาวก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเธอไม่เคยถูกชายใดสวมกอดเช่นนี้ ความรู้สึกซาบซ่านมันแผ่คลุมจนทำให้ร่างกายเกือบจะชาไปทั้งตัว
ชายหนุ่มเองก็เหมือนกัน หากไม่มีเรื่องคำถามเกี่ยวกับรันชรีมาเกี่ยวโยง เขาจะมีโอกาสสัมผัสกับหญิงสาวอย่างใกล้ชิดเช่นนี้หรือไม่ เขาเองคิดว่ามันคงไม่เรียกว่าการฉวยโอกาส หากชายคนหนึ่งจะแสดงต่อหญิงที่ตนชอบเช่นนี้ เขาอมยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะยิ่งทวีแรงกอดให้แนบแน่นยิ่งขึ้นแล้วเอาหน้าไปแนบไว้ข้างๆ หูหญิงสาว
“คุณก็บอกผมมาก่อสิ” เสียงกระซิบนั้น ทำเอาหญิงสาวหน้าแดงอีกระลอก
เสียงแตรรถที่ลากยาว หันความสนใจของคนทั้งคู่ออกจากประเด็นที่กำลังพูดถึงกันอยู่นั้น ชายหนุ่มคลายวงแขนออกจากร่างอันบอบบางของหญิงสาว แต่ก็ยังสวมกอดไว้อย่างหลวมๆ
รถเก๋งสีขาวคันหรู ยังคงบีบแตรเสียงดังและจอดอยู่ถนนริมบึง ดึงดูดสายตาเกือบทุกคู่ของผู้คนที่มีใช้พื้นที่ให้หันไปมองเป็นตาเดียวกัน
ทันทีที่ชายหนุ่มเห็น ก็ได้แต่ถอนใจแรงๆ เขารู้จักเจ้าของรถคันนี้ดี เพราะมันเป็นรถของแพรวพรรณนั่นเอง เขาหรี่ตามองดูผู้โดยสารที่นั่งอยู่คู่กับเบาะคนขับ คือผู้เป็นมารดาของเขา ขณะที่ชายหนุ่มกำลังหรี่ตามองอยู่นั้น แพรวพรรณก็เปิดประตูลงมาจากรถ และรีบเดินมาอย่างรวดเร็ว โดยมีมารดาของเขาค่อยๆ เดินตามมาอย่างเชื่องช้า
“โชค...โชค...โชค ทำอะไรน่ะ” เสียงแพรวพรรณมาเร็วกว่าตัว
หญิงสาวผู้อยู่ในอ้อมกอดพยายามแกะมือทั้งสองของชายหนุ่มออกแต่ก็ไร้ผล แทนที่เขาจะรีบปล่อยเธอเขากลับยิ่งกอดรัดราวกับอยากจะให้ผู้ที่กำลังย่างก้าวเข้ามาได้เห็นภาพที่กำลังเกิดขึ้น
ชายหนุ่มผู้นี้กำลังคิดอะไรอยู่ เหตุใดเขาจึงทำเช่นนี้
“ปล่อยเดี๋ยวนี้นะโชค” แพรวพรรณพูดพร้อมเข้ามาดึงแขนฝ่ายชายออก แต่ชายหนุ่มกลับสลัดมือของแพรวพรรณและจับมือของชโลธรไว้แน่น พลางดึงเธอเข้ามาใกล้จนเนื้อตัวชิดกัน
“แพรวมาก็ดีแล้ว นี่แหม่มแฟนเราเอง” หญิงสาวผู้ถูกเรียกว่าแฟนถึงกับตาค้างในตำแหน่งที่ชายหนุ่มเพิ่งหยิบยื่นให้
“ไม่จริงโชค ที่โชคเป็นแฟนกับนังนี่ แพรวไม่เชื่อ นังนี่มันเป็นคนของกิตติ แฟนของนังรันเพื่อนรักคุณไงล่ะ แล้วนี่มันก็กำลังจะให้นังนี่มาแย่งโชคไปจากแพรว แพรวไม่ยอม” แพรวพรรณพูดราวกับคนเสียสติ คงมีเพียงแหม่มคนเดียวที่ยืนอึ้งกับคำพูดของแพรวพรรณ ส่วนชายหนุ่มนั้นบัดนี้เขาได้บีบมือเธอแรงขึ้น มองหน้าพร้อมกับส่งยิ้มหวานให้
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับคุณโชคนะ” หญิงสาวว่า
“โถแหม่ม แพรวเป็นเพื่อนของผมเอง เราเป็นแฟนกันไม่เห็นต้องปิดบังใครเลยนี่ โน่นแม่ผมกำลังเดินมา” ชายหนุ่มว่าพรางเสตามองไปที่ผู้เป็นมารดา ที่อีกเพียงไม่กี่ก้าวก็จะมาถึงเขาแล้ว
หญิงสาวได้แต่อึ้งที่ชายหนุ่มพูดและแสดงพฤติกรรมเช่นนี้ออกไป แต่อีกใจก็รู้สึกสะใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อเห็นหญิงใบหน้าสวยนั้นเต้นแร้งเต้นกา ร้องเสียงดังเหมือนงิ้วออกโรงเช่นนี้
“สมน้ำหน้า” หญิงสาวก่นด่าในใจ
ผู้เป็นมารดาเดินมาสบทบอย่างยากเย็น แค่เพียงเห็นชายหนุ่มก็พอจะรู้ว่าอาการปวดหลังของนางกลับมาอีกครั้ง ชายหนุ่มรีบเดินเข้าหามารดาแต่ทว่ายังไม่ปล่อยมือจากหญิงที่ตนกุมมือไว้ เขาดึงเธอเข้าไปหาผู้เป็นมารดา เมื่อหญิงสาวเห็นนางเดินมาด้วยอาการปวดหลัง มิวายที่หญิงสาวจะยื่นมือข้างหนึ่งให้นางจับ และพยุงนางให้มานั่งที่ม้านั่งที่ใกล้ที่สุด นางรู้สึกแปลกใจไม่น้อยกับภาพที่เห็นเมื่อสักครู่
บุตรชายของนางกำลังสวมกอดหญิงสาวผู้นี้ไว้ ยิ่งบัดนี้นางได้สัมผัสถึงประกายในตาของบุตรชาย นางทราบได้ทันทีว่าหญิงสาวผู้นี้คงเป็นบุคคลพิเศษสำหรับบุตรชายของตนอย่างแน่นอน
“มาได้ยังไงกันเนี่ยแม่” บุตรชายเอ่ยถามมารดา
“แม่ปวดหลังมาก แพรวเขาอาสาขับรถมาส่งที่บ้าน แล้วก็มาเจอแกกลางทางนี่แหละ” มารดาพูดพร้อมกับอมยิ้มน้อยๆ สายตามองไปที่หญิงสาวข้างกายตนอย่างเอ็นดู
“แหม่ม สวัสดีแม่เสียสิ แม่ครับ นี่แหม่มแฟนผมครับ” ชายหนุ่มแนะนำ
แทนคำพูดใดๆ หญิงสูงวัยมีเพียงรอยยิ้มเท่านั้นที่ส่งออกไปให้กับหญิงสาวและบุตรชายของตน ต่างจากแพรวพรรณที่บัดนี้หายใจหอบฟืดฟาด มือทั้งสองกำแน่นด้วยด้วยความโกรธเกรี้ยว และมองมาทางคนทั้งสามด้วยสายตาที่ร้ายกาจ
“นี่แหละความรัก ความรักที่ฉันเคยมี และพวกแกกำลังมี พวกแกจะต้องวิบัติเพราะความรัก” เสียงใครบางคนแว่วมา แต่ปราศจากผู้ที่ได้ยิน
“หยุด พอ พอกันได้แล้ว มีความสุขกันเข้าไป” แพรวพรรณระเบิดอารมณ์ออกมา แล้วตรงไปผลักหญิงสาวจนเสียหลัก ล้มลงไป
ทั้งชายหนุ่มและมารดาต่างก็ตกตะลึงในการกระทำของแพรวพรรณ เพราะไม่คิดว่าหญิงสาวจะกล้าทำเช่นนี้ได้
แพรวพรรณหวังจะเข้าไปตบหน้าชโลธร เธอเดินเข้าไปหาหญิงสาวอย่างมาดร้าย แต่เมื่อหญิงผู้เป็นเป้าหมายเงยหน้าขึ้นมาเท่านั้น ก็ทำให้แพรวพรรณถึงกับผงะจนตนเองเสียหลักหกล้มเสียเอง
ใบหน้านั้น กลับกลายเป็นใบหน้าของรันชรี ไม่ผิดแน่
ชโลธรลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า ใบหน้าแฝงด้วยรอยยิ้มประหลาด แพรวพรรณยังคงนั่งตกตะลึงอยู่ที่พื้นหญ้า
“อย่าเข้ามานะ นังรัน แกออกไปเดี๋ยวนี้ แกจะมาหลอกมาหลอนอะไรฉันอีก ฉันมีพระนะ” ว่าแล้วแพรวพรรณก็ดึงเอาสายสร้อยที่จี้พระออกมา แล้วยื่นไปต่อหน้ารันชรีในร่างชโลธร
แต่มันกลับไม่มีผลอันใด หญิงสาวยังคงก้าวต่อไปเพื่อจะเข้าหาแพรวพรรณ ซึ่งมันทำให้แพรวพรรณเพิ่มระดับความดังของเสียงกรีดร้อง เพราะบัดภาพรันชรีที่หน้าตาซีดเซียว เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด กำลังคืบคลานเข้าหาเธอ เธอพยายามจะส่งเสียงร้องอีกแต่ทว่าเนื้อตัวกลับชา ชาเกินกว่าที่เธอจะขยับเขยื้อนสิ่งใดในร่างกายได้อีก
ทุกคนถึงกับอึ้งเมื่อเห็นอาการของแพรวพรรณ ทุกคนกำลังมองหารันชรีอย่างที่แพรวพรรณบอก แต่ตาแพรวพรรณกลับจับจ้องอยู่ที่ชโลธรแต่เพียงผู้เดียว
“หนูแพรว” หญิงสูงวัยจับที่หัวไหล่หญิงสาว เมื่อเธอกำลังถอยหลังมาเกือบจะชนกับหัวเข่านาง นางเขย่าอีกที่เพื่อเรียกสติหญิงสาวกลับคืน
แพรวพรรณได้แต่จับหัวเข่าของหญิงสูงวัยไว้แน่น พลางร้องให้ทุกคนช่วย โชคดึงแขนเพื่อนหญิงให้ลุกขึ้น ฝ่ายแพรวพรรณเมื่อเรียกสติตนเองกลับคืนมาได้ ก็มองหน้าชโลธรอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับไม่ใช่ใบหน้ารันชรีที่ซีดเซียวนั้น
“นังรันมันต้องตายแล้วแน่นอน โชค ต้องไปพิสูจน์นะ คุณป้าก็เหมือนกัน ที่คุณป้าคุยด้วยนั้นมันเป็นผี ผีนังรัน” แพรวพรรณประมวลเหตุการณ์ทุกอย่างแล้วสรุปได้ว่าตอนนี้รันชรีไม่ได้มีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว และวิญญาณคอยตามหลอกหลอนทั้งเธอและอานนท์ ตลอดจนเหตุการณ์ที่ลูกค้าเจอผีในห้องน้ำ ก็ต้องเป็นวิญญาณของรันชรีเป็นแน่
แพรวพรรณกึ่งวิ่งกึ่งเดินออกไปจากบึงน้ำใหญ่ด้วยความหวาดกลัว เมื่อหันหลังกลับมามองด้านหลังก็ต้องผวาอีกรอบเมื่อเห็นรันชรียืนจ้อมเขม็งอยู่ใกล้ๆ กับชายหนุ่ม ยิ่งทำให้หญิงสาวต้องรีบจ้ำอ้าวไปที่รถอย่างกลัวสุดขีด
เหลือเพียงสองหนุ่มสาวกับอีกหนึ่งคนแก่ ที่มองหน้ากันอย่างหาคำตอบไม่ได้ในเหตุการณ์ที่เพิ่งดำเนินผ่านมา แต่อาจจะมีเพียงชโลธรเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่าแพรวพรรณไม่ได้ตาฝาด และไม่ได้โกหก สิ่งที่แพรวพรรณพบเจอเป็นเรื่องจริง รันชรีคงจะอยู่แถวนี้ แล้วปรากฏให้แพรวพรรณได้เห็นในรูปที่ไม่น่ามองนัก
“เดี๋ยวหนูขับรถไปส่งค่ะ” หญิงสาวกล่าวโดยที่ตนเองไม่รู้ตัว
ผู้เป็นมารดาเพิ่งพินิจดูหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้า อย่างตรึกตรอง เด็กสาวผู้นี้มีอะไรลึกๆ อยู่หรือเปล่า และเป็นแฟนกับบุตรชายของนางจริงหรือไม่
“ลูกนะลูก น่าจะเปิดตัวแฟนตั้งนานแล้ว เพื่อนแกจะได้ไม่คิดมากแล้วฟุ้งซ่านแบบเมื่อกี้” ผู้เป็นมารดากล่าวอย่างขบขันระหว่างที่บุตรชายและหญิงสาวพยุงนางเดินมาที่รถ
“แหม่มเขาเพิ่งว่างครับแม่” ชายหนุ่มปรายตามองหญิงสาวนิดหนึ่ง อมยิ้มให้กับเรื่องที่แต่งขึ้นมาและยังดำเนินต่อโดยที่หญิงสาวไม่สามารถล่วงรู้ได้เลย ว่าต่อไปชายหนุ่มจะจัดฉากเช่นไรต่อไป
แต่มันกลับเป็นเรื่องแปลก ที่เธอเองไม่ยักจะปฏิเสธในคำพูดใดๆ ของชายหนุ่ม มิหนำซ้ำยังเออออไปด้วยกัน ทำเอาชายหนุ่มยิ้มไม่หุบ
“หนูแหม่มมาเที่ยวหรือลูก” มารดากล่าวถามหญิงสาวร่างเล็กข้างกาย
“คือ...หนูมาทำงานค่ะ”
“งานอะไร ทำที่ไหนกันเหรอลูก”
“แม่ก็...อย่าเพิ่งซักอะไรมากครับ เดี๋ยวแฟนผมเค้าตกใจแย่ เล่นถามเอาๆ แบบนี้”
ภาพของคนทั้งสามกำลังตกอยู่ในห้วงของความสุข ยิ่งในสถานที่เช่นนี้ บรรยากาศเช่นนี้ มันช่างอบอวลไปด้วยความรัก และความอาทร ซึ่งแตกต่างจากในแววตาผู้เฝ้ามองอย่างรันชรี ที่บัดนี้สิ่งที่เธอต้องการกำลังจะบรรลุผล
รถเก๋งสีแดงเพลิงจอดหน้าบ้านไม้อันร่มรื่นหลังใหญ่ ผีกำลังออกมาตากผ้าอ้อมให้ลูก แต่ทว่าแสงในยามนี้กำลังสวย หากใครจะว่าน่ากลัวก็ช่างเถิด แต่สำหรับแหม่มแล้วมันสวยจับจิต โดยเฉพาะในอาณาเขตของบ้านเก่าแก่หลังนี้ มันสวยงามเกินจะบอกได้ว่าเป็นเช่นไร
มีหญิงวัยกลางคนตรงรี่มาที่รถ และช่วยพยุงผู้เป็นมารดาของชายหนุ่มลงจากรถไป โดยมีชายสูงวัยท่านหนึ่งยืนคอยรับที่ประตูใหญ่ทางเข้าบ้าน ก่อนลงจากรถหญิงสูงวัยเอ่ยชวนหญิงสาวให้เข้าไปในบ้านด้วยกัน และส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
“บ้านคุณสวยจัง” หญิงสาวเผลอปากพูด
“แล้วคุณอยากอยู่ไหมล่ะ” ชายหนุ่มกระเซ้าเล่น
“ฉันยังไม่ได้จัดการคุณเลยนะ มาขี้ตู่ว่าฉันเป็นแฟน แล้วก็...” หญิงสาวละคำที่จะพูดต่อไว้ มีเพียงความเขินอายเท่านั้นที่ปรากฏบนใบหน้า
“แล้วก็กอดคุณ ใช่ไหม” ชายหนุ่มเสริมต่อ
“ผมขอโทษ ว่าแต่คุณเถอะ อยากเป็นแฟนกับผมจริงๆ ไหมล่ะ” ชายหนุ่มทำแววตาซึ้ง
แทนคำพูดหญิงสาวทำท่าจะเดินหนี แต่ชายหนุ่มคว้าข้อมือไว้ทัน ทำเอาหญิงสาวหน้าแดงระเรื่ออีกครั้ง แม้ความรู้สึกหวั่นไหวจะเกิดขึ้นแล้ว แต่หญิงสาวก็เตือนสติตนเองด้วยการคิดถึงรันชรี เพราะการที่เธอเข้าไปพบโชคที่ร้านอาหาร มันเป็นความต้องการของรันชรี หญิงสาวผู้โชคร้ายที่เธอเองสัมผัสเรื่องราวอันแสนเจ็บปวดของเธอมาแล้ว
เมื่อความรู้สึกถูกระชากกลับมาสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง แววตาอ่อนโยนของหญิงสาวกลับกลายเป็นแววตาอันแสนกระด้าง และแสดงความโกรธเคืองชายหนุ่มอย่างรุนแรง จนเธอสะบัดข้อมือจากการเกาะกุมของชายหนุ่มไว้จนเป็นอิสระ
“พอเถอะคุณโชค ดิฉันไม่ต้องการจะเป็นอะไรกับคุณทั้งสิ้น ไม่ว่าแฟนหรือเพื่อน เพราะคนอย่างคุณคงจะไม่มีความจริงใจต่อเพื่อน” พูดจบหญิงสาวเดินกลับไปที่รถ ปล่อยให้ชายหนุ่มสงสัยในคำพูดเหล่านั้นแต่เพียงผู้เดียว
ระหว่างทางที่จะกลับบ้านพัก แหม่มเริ่มสับสนในความรู้สึกของตนเอง การที่เธอได้มารู้จักผู้ชายคนนี้ก็เพราะการชักพาของรันชรี และที่เธอทำทุกอย่างก็เพื่อวิญญาณของรันชรีจะสงบสุข แต่เธอก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่ารันชรีต้องการให้เธอมาพบกับเพื่อนชายด้วยสาเหตุอันใด หากต้องการบอกเรื่องการตายของเธอ เหตุใดจึงมีเสียงห้ามปรามจากเธอมิให้บอก หญิงสาวได้แต่นั่งพูดคุยคนเดียวในรถ เพราะเธอหวังว่าขณะนี้รันชรีคงจะคอยดูเธออยู่ หรือไม่แน่อาจจะร่วมโดยสารอยู่บนรถกับเธอก็เป็นได้