ตอน 20
ตลอดทั้งวันนับตั้งแต่เปิดร้าน แพรวพรรณราวกับอยู่ในกองไฟ หญิงสาวผุดลุกผุดนั่ง เดินไปเดินมา จนหญิงสูงวัยกว่าเอ่ยปากให้หยุดเดิน เพราะนางตาลายกับพฤติกรรมดังกล่าวจนทำให้ต้องมองหายาดมแม้ผู้เป็นบุตรชายจะบอกกับตนว่าไม่จำเป็นต้องเข้ามาที่ร้านก็ได้ เพราะมีแพรวพรรณกับอานนท์ดูแลอยู่แล้ว นางก็อดห่วงไม่ได้ ที่จะปล่อยให้คนไม่เคยทำงานบริการอย่างแพรวพรรณมาดูแลร้านในช่วงที่บุตรชายของนางเอ่ยปากว่าขอพักสักสองสามวัน
“โชคไปไหนค่ะคุณป้า แพรวโทรไปก็ไม่ติด”คำถามที่อยากจะถามมาตั้งแต่เปิดร้าน แต่หญิงสาวเพิ่งจะมาถามเอาตอนบ่ายแก่ๆ หญิงสาวนึกไว้ในใจแล้วตั้งแต่เหตุการณ์เมื่อคืน ที่จู่ๆ โชคก็เดินออกจากร้านไป โดยไม่สนใจในตัวเธอเลย
“ไม่ค่อยสบายจ้ะ ป้าก็เลยมาแทนนี่ไง”หญิงผู้เป็นมารดาของชายหนุ่มกล่าวมุสาฯ เพราะจริงๆ แล้วบุตรชายของนางไม่ได้เป็นอะไรเลย และยังคงปกติดีทุกอย่าง
“งั้นแพรวไปดูแลโชคที่บ้านนะคะ”หญิงสาวไม่ละความพยายาม
“อย่าเลยหนูแพรว เขาทานยาไปแล้ว ให้เขาพักผ่อนเถอะ หนูอยู่ดูแลร้านกับป้านี่แหละดีแล้ว”
“.........................”
ประกายเพลิงในใจหญิงสาวปะทุขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เพราะเชื้อเพลิงแห่งความเกลียดชังที่มีต่อหญิงสูงวัยที่กำลังสนทนาอยู่ด้วยนี้มันมีอยู่แล้ว หญิงสาวมองไปยังหญิงสูงวัยด้วยสายตาที่ไม่เคารพหรือยำเกรงแต่อย่างใดแต่ก็ต้องฝืนยิ้มเพื่อปิดบังความรู้สึกที่แท้จริงนั้นไว้
เช่นเดียวกันกับสตรีสูงวัย ที่ขณะนี้ส่งยิ้มให้หญิงสาวอย่างผู้มีชัยชนะ แต่จริงๆ แล้วนางไม่ต้องการชัยชนะใดๆ เหนือหญิงสาวผู้นี้ เพียงแต่ต้องการให้ออกไปจากชีวิตบุตรชายเพียงเท่านั้น ซึ่งดูจากพฤติกรรมของคนทั้งคู่แล้ว นางก็พอจะคาดเดาออกว่าในขณะนี้บุตรชายของนางกำลังหาวิธีให้หญิงสาวก้าวออกไปด้วยวิธีที่นุ่มนวลที่สุด
เมื่อเช้าหลังจากนางใส่บาตรเสร็จ บุตรชายก็มาปรารภเรื่องจะซื้อหุ้นคืนจากแพรวพรรณ นางก็พอจะเข้าใจว่าบัดนี้สิ่งที่นางดูหญิงสาวคนนี้คงไม่ผิดเพี้ยนเป็นแน่ และบุตรชายของนางคงจะอึดอัดหากรู้ว่าเพื่อนที่เล่นหัวด้วยกันมาแต่เล็กแต่น้อย คิดอะไรมากกว่าคำว่าเพื่อน ซึ่งหากบุตรชายของนางชื่นชอบในตัวหญิงสาวมันคงไม่มีปัญหาใดๆ แต่ในทางกลับกันนางรู้ใจบุตรชายดีว่าจะไม่มีวันรักชอบแพรวพรรณในฉันชู้สาวไปได้เด็ดขาด
นางเองต่างหากที่บอกบุตรชายว่าไม่ต้องมาที่ร้าน ขอให้นางเข้ามาจัดการเองเถิด แม้ว่าจะถูกทัดทานจากทั้งผู้เป็นสามีและบุตรชาย นางก็ยังยืนยันว่านางสามารถแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ โดยไม่ต้องกลัวว่าอาการป่วยของนางทรุดลงไปอีก มิหนำซ้ำยังบอกบุตรชายว่าให้หยุดพักยาว และเสนอว่าควรจะไปตามรันชรีกลับมาที่นี่
เข็มสั้นบนหน้าบัดนาฬิกาเรือนใหญ่ในห้องรับแขกเดินอย่างเชื่องช้าสู่เลข 4 ของเวลาบ่าย ชายหนุ่มแต่งกายด้วยชุดสบายๆ เสื้อยืด กางเกงขาสั้น มองไปรอบๆ บ้าน มันนานนับตั้งแต่ที่เขาเทียวไปเทียวมาระหว่างเมืองนี้กับกรุงเทพฯ เพื่อเฝ้าอาการอัมพฤกษ์ของผู้เป็นมารดา ช่วงเวลาเย็นๆ เช่นนี้เขาไม่เคยได้อยู่ในบ้านเลย เพราะหากกลับมาจากโรงพยาบาล เขาก็ต้องไปที่ร้านอาหาร กว่าจะกลับถึงบ้านก็มืดค่ำ เกือบทุกวัน บรรยากาศเช่นนี้เรียกความรู้สึกเก่าๆ กลับคืนมาได้เป็นอย่างดี
ในวันวานที่เขาพารันชรีมาที่บ้านครั้งแรก มารดาตื่นเต้นกับการมาของหญิงสาวเป็นอันมาก นางทำอาหารแปลกๆ ให้กับอดีตเพื่อนรักได้ลิ้มรส ยิ่งเมื่อรันชรีสนอกสนใจเรื่องการทำอาหาร ยิ่งทำให้นางพึงพอใจอย่างเป็นที่สุด เขามองปราดเดียวก็รู้ว่ามารดาพยายามจะถ่ายทอดวิชาการทำอาหารให้กับรันชรี และก็เหมือนชะตาของคนทั้งสองจะต้องกัน รันชรีเข้ากับมารดาเขาได้เป็นอย่างดี ซึ่งเขาเองก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าเหตุใดมารดาจึงได้สนิทสนมและรักใคร่เอ็นดูเพื่อนคนนี้มาก
แต่ยิ่งนึกถึงเรื่องราวที่ล้วนแล้วแต่อบอวลไปด้วยกลิ่นไอของความสุขมากเท่าใด ความผิดหวังและความโกรธเคืองที่มีต่อหญิงผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเพื่อนที่เขารักมาก มันกลับยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น เขาขบกรามแน่นแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ สมองกำลังสั่งให้จิตใจลืมเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับเพื่อนคนนี้ไปเสีย
เขามองหาผู้เป็นบิดา ที่ไม่ได้นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ตัวโปรด ชายหนุ่มก้าวเดินอย่างไม่รีบเร่งออกมาที่หน้าบ้าน
ใกล้ๆ บ้านเป็นบึงน้ำสาธารณะ ในเวลาเย็นๆ เช่นนี้จะมีผู้คนมากมายมาใช้พื้นที่ร่วมกัน ทั้งออกกำลังกาย รำมวยจีน นั่งเล่น สารพัดจะทำได้ มันก็นานมากเหมือนกันที่เขาไม่ได้มาเยือนบึงน้ำแห่งนี้ วันนี้เขาจึงเลือกที่จะเดินเล่นๆ ไปที่บึงน้ำแห่งนั้น
ชายหนุ่มเดินทอดอารมณ์ออกจากบ้านมุ่งหน้าสู่บึง แต่แล้วในความว่างเปล่าในความรู้สึกกลับมีใครคนหนึ่งแทรกเข้ามา เขาแทบจะไม่อยากเชื่อความรู้สึกของตนในวันนี้เลย เพียงพบชโลธรไม่กี่ครั้ง หญิงสาวผู้นี้ได้ฉุดกระชากหัวใจของเขาไปเสียแล้ว เขาอยากพบชโลธรอีกครั้งหนึ่ง
เขารีบสลัดความคิดออกไปอย่างรวดเร็ว
ออกจากบ้านมาเพียงไม่กี่เมตร มีลูกสุนัขตัวหนึ่งวิ่งออกมาจากรั้วบ้านที่เปิดแง้มไว้ มันคงจะเหมือนเด็กเล็กๆ ที่ไม่รู้ว่าที่ตรงไหนปลอดภัยหรือันตรายสำหรับมัน
“เอี๊ยด......................” เสียงเบรกรถในระยะประชิด ดังสนั่น!!
“เอ๋งๆๆๆๆๆๆๆ” ลูกสุนัขตัวอ้วนร้องเสียงหลง
รถเก๋งสีแดงสดจอดนิ่งสนิท ก่อนที่ผู้โดยสารอยู่ด้านในจะเปิดประตูออกมา ชายหนุ่มมองดูด้วยความตกใจ เจ้าหมาน้อยตัวนั้นจะเป็นอะไรหรือเปล่า เขาวิ่งเข้าไปดูลูกสุนัขที่นอนหมอบอยู่กับพื้น
รอยลากของล้อรถ เป็นทางยาว พร้อมกับกลิ่นฉุนของผ้าเบรก ที่เขาคาดเดาว่ามันคงไหม้ไปเสียแล้ว
เมื่อไปถึงตัวลูกสุนัข ก็เป็นจังหวะเดียวกับประตูรถถูกเปิดออก
โอ...กามเทพตัวน้อยคอยติดตามมาแผลงศรให้เขาอีกคราหนึ่งหรือนี่
ผู้ที่ก้าวลงมาจากรถ เป็นคนๆ เดียวกับหญิงสาวที่เขากำลังคิดถึงอยู่ในขณะนี้ “ชโลธร” ในที่สุดเราก็พบกันอีกจนได้ เขากระหยิ่มยิ้มย่องในใจ
หญิงสาวลงจากรถมาด้วยใบหน้าตกใจ แล้วก้มมองลูกสุนัขที่นอนหมอบอยู่เบื้องหน้า
“ว้าย! ตายแล้วชนลูกหมา ตายหรือเปล่าเนี่ย” หญิงสาวเอ่ยขึ้นพร้อมกับวิ่งเข้ามาดูลูกสุนัขตัวอ้วนที่เนื้อตัวสั่นเทาอยู่บนพื้นผิวถนน
“คุณ...โชค” หญิงสาวหลุดปากเอ่ยชื่อชายหนุ่ม ที่นั่งดูลูกสุนัขอยู่ก่อนแล้ว
“ก็คุณเล่นลากเบรกซะยาว เจ้าตัวน้อยนี้เลยไม่เป็นอะไร” ชายหนุ่มผู้เห็นเหตุการณ์กล่าว
หญิงสาวใช้สองมือค่อยๆ สัมผัสไปที่ลูกสุนัข
“อื้อๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
เจ้าตัวเล็กร้องครางในลำคอ
หญิงสาวอุ้มลูกสุนัขไว้แนบอก
“ไม่เป็นอะไรแล้วนะ แกปลอดภัยแล้ว ว่าแต่แกเล่นโผล่มาแบบนี้ คงไม่โชคดีอย่างนี้เสมอไปหรอก เจ้าตัวน้อย” หญิงสาวยกลูกสุนัขขึ้นมาต่อหน้า แล้วพูดราวกับว่ามันจะฟังรู้เรื่อง
ไม่นานเด็กผู้หญิงสองคนก็วิ่งตาลีตาลานออกมาจากบ้าน เพื่อมารับเอาลูกสุนัขคืน ชายหนุ่มกล่าวเป็นภาษาถิ่นว่าทีหลังให้ปิดประตูบ้านให้ดี เจ้าลูกหมาตัวนี้ไม่โชคดีอย่างนี้เสมอไปหรอก หลังจากเด็กหญิงทั้งสองรับลูกสุนัขคืนไปแล้ว เขาหันกลับมาที่หญิงสาวผู้ยืนอยู่เคียงข้างอีกครั้ง
“สวัสดีครับ คุณชโลธร” ชายหนุ่มเอ่ยทักทาย
“สวัสดีค่ะ”หญิงสาวทักทายกลับด้วยใบหน้าที่ไม่ยิ้มแย้มสักเท่าใด
“มาทำอะไรแถวนี้ครับ”
“มาส่งพี่ที่บริษัทค่ะ แล้วคุณ...ล่ะ”หญิงสาวตอบพลางส่งสายตาเลยไปที่หญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างๆ กัน
“บ้านผมอยู่แถวนี้ นี่กำลังเดินเล่นไปที่บึงน้ำ ไปนั่งเล่นด้วยกันไหมครับ”
“ทำเอาหญิงสาวหน้าแดงโดยไม่รู้ตัว”
“เออ พี่ก็ว่าจะชวนน้องแหม่มอยู่แล้วเชียว บึงนี้เป็นบึงเก่าแก่ของเมืองเลยนะ” หญิงสาวผู้ร่วมโดยสารมาแสดงความคิดเห็น
“แต่พี่น้ำ...”
“พี่ไปด้วยก็ได้จ้ะ เดี๋ยวพี่จะโทรหาแฟนพี่ให้มาเจอกันที่บึง น้องแหม่มจะได้ไม่ต้องเข้าไปส่งพี่ในซอย ทางมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่” อีกฝ่ายเหมือนจะรู้ตัวว่าหญิงสาวไม่ต้องการไปกับชายหนุ่มเพียงลำพัง
หญิงสาวเพ่งพิจอยู่ที่ชายหนุ่มในชุดลำลองสบายๆ เช่นนี้ เขาดูมีเสน่ห์ไม่น้อย ยิ่งดวงตากลมโต รับกับขนตางอนยาวนั้น มันดูน่าค้นหาอย่างบอกไม่ถูก แต่ถึงอย่างไรเขาก็คือเพื่อนที่ใจร้ายที่สุด หญิงสาวพยายามสกัดกั้นความรู้สึกตนเองเอาไว้
สายลมพัดมาปะทะใบหน้าวูบใหญ่
หญิงสาวลงนั่งกับผืนหญ้าสีเขียวข้างบึงนั้น พลางใช้มือข้างหนึ่งตบลงบนพื้นหญ้านั้น
“แกลงมานั่งกับฉันสิ มานั่งนี่ อีกหน่อยเราจะไม่ได้มานั่งกันแบบนี้แล้วนะ”หญิงสาวเอ่ยออกมาโดยไม่มองหน้าชายหนุ่ม
ปล่อยให้ผู้รับฟังยืนอึ้งกับคำพูดเหล่านั้นเขารู้สึกคลับคล้ายคลับคลากับประโยคเหล่านั้น มันคุ้นๆ เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน เขาได้แต่เก็บความสงสัยของตนเองไว้ แล้วก้าวไปนั่งลงที่ข้างๆ หญิงสาว
“คุณแหม่ม ผมจะเรียกคุณอย่างนี้ได้ไหมครับ” แทนคำตอบหญิงสาวยิ้มรับแล้วพยักหน้าหงึกๆ
เสียงมอเตอร์ไซต์ดังอยู่ใกล้ๆ หู คนทั้งสามหันไปตามเสียงนั้น ชายผู้หนึ่งโบกไม้โบกมือให้กับน้ำ พนักงานบัญชีที่แหม่มตั้งใจจะมาส่งที่บ้าน จนทำให้เจอกับโชคอีกครั้ง
“น้องแหม่ม แฟนพี่มารับแล้ว ขอตัวก่อนนะ” น้ำพรวดลุกขึ้น พร้อมกับโบกมือลาให้กับชายหญิงทั้งคู่
“อ้าวพี่น้ำ...” แหม่มเรียกตาม
“แหม กลัวผมหรือครับ” ชายหนุ่มกระเซ้าเล่น
“เปล่าค่ะไม่ได้กลัวอะไรทั้งนั้น เพียงแต่...”
“เพียงแต่อะไรครับ”
หญิงสาวไม่ตอบได้แต่มองไปทางกลุ่มเด็กๆ ที่กระโดดน้ำเล่นตูมตามอยู่ริมบึงอีกด้านหนึ่ง
“คุณยังไม่อนุญาตผมเลย ผมจะเรียกคุณว่าแหม่มได้ไหมครับ”
“ก็เรียกไปสิ ใครจะไปว่าอะไรเล่า” หญิงสาวตอบอย่างเขินอาย
แม้ว่าชายหนุ่มจะกำลังตกอยู่ในห้วงเวลาของความสุข แต่ทว่าประโยคคุ้นหูที่แหม่มเอ่ยขึ้นมา มันยังทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่าเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน แต่มันก็เป็นประโยคทั่วๆ ไปที่ใครจะพูดก็ได้ ไม่จำเป็นที่เขาจะต้องไปคิดตามอะไรมากมาย แต่จู่ๆ ที่เขากำลังจะหันมาคุยกับหญิงสาว เสี้ยวหนึ่งในความทรงจำก็โผล่ขึ้นมา