ตอน 18
กว่าสองสัปดาห์แล้วที่ชโลธรไม่สามารถติดต่อกับรันชรีอีกเลยนับตั้งแต่การนั่งสมาธิแล้วเห็นภาพเหตุการณ์ตอนที่หญิงสาวกำลังจะตาย มันเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่กิตติลางานและลาพักร้อนต่อ แต่นี่มันเลยกำหนดลาพักร้อนมาหลายวันแล้ว ยังไม่มีวี่แววว่ากิตติจะปรากฏตัว หญิงสาวเริ่มกระวนกระวายใจกับเหตุการณ์ที่ตนเองกำลังคาดเดา ด้วยความเจ็บปวดที่รันชรีได้รับ และความอาฆาตที่อาจบ่มเพาะอยู่ในใจของเธอ กิตติอาจจะ...
หญิงสาวหยุดความคิดของตนเองไว้แต่เพียงเท่านี้ แล้วก็นั่งสมาธิและแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลไปให้รันชรีเผื่อว่าสิ่งที่เธอกำลังคิดนั้นเป็นจะเป็นจริง หากเป็นเช่นนั้นแล้วกิตติอาจจะตกอยู่ในอันตรายก็เป็นได้
แต่แล้วในค่ำคืนหนึ่งที่หญิงสาวกำลังทำสมาธิอยู่นั้น ภาพรันชรีก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้า
ใบหน้านั้นยิ้มแย้ม พวงแก้มเปล่งปลั่งอาบไปด้วยความสุข รันชรีเดินเข้ามานั่งใกล้ๆ พลางใช้มือทั้งสองข้างกุมมือเธอไว้ แววตานั้นช่างสดใสเหลือเกิน
“เธอเป็นคนจิตใจดี ฉันขอบใจเธอมาก เหลือเพียงอย่างเดียวที่ฉันจะขอความช่วยเหลือจากเธอเป็นครั้งสุดท้าย ไปหาโชค เพื่อนรักของฉัน”
เพียงเท่านั้นภาพของรันชรีก็หายไป
“ค่ะคุณรัน ชโลธรจะไปหาเพื่อนรักของคุณ” หญิงสาวพูดกึ่งรับคำสัญญา
...........................................................................................................
แดดเพิ่งลับไปไม่นาน แต่แสงแห่งวันยังคงหลงเหลือไว้ทาทับริ้วของสายน้ำ ที่บัดนี้เป็นดั่งแผ่นทองอันมหึมาที่ฉาบสายน้ำใหญ่ทั้งสายไว้จนสุดลูกหูลูกตา ชโลธรและชมพูนุชหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าภาพอันตระการตานั้น ทั้งสองเชิดหน้าสูดรับความบริสุทธิ์ของชั้นบรรยากาศเข้าไปจนชุ่มปอดลมยามเย็นโชยเอื่อยๆ อากาศของต่างจังหวัดเป็นสิ่งเดียวที่หาซื้อจากห้างสรรพสินค้าในเมืองกรุงไม่ได้
อีกไม่ถึงห้าสิบเมตรก็จะถึงที่หมายในคืนนี้
แม้จะเป็นยามเย็นย่ำของวันศุกร์ แต่ทว่าบรรยากาศในร้านอาหารกลับเงียบเหงา ไม่คึกคักเหมือนครั้งแรกที่หญิงสาวทั้งสองมาเยือนกับเพื่อนร่วมงานมีลูกค้าเพียงสองโต๊ะเท่านั้นที่นั่งอยู่ในมุมเงียบๆ หลังร้าน ชโลธรกวาดตามองไปทั่วร้าน
ผ้าพื้นเมืองทอลายแปลกตายังคงแขวนที่ฝาผนังทั้งสองข้าง แสงไฟสีนวลตาจากหลอดวอล์มไลท์ ช่วยขับเส้นด้ายสีทองให้โดดเด่นขึ้นมาอีกโข ริมระเบียงด้านนอกสุดที่ติดกับแม่น้ำ กุหลาบในกระถางนับสิบกำลังแข่งกันเบ่งบาน กลีบของมันหนาและแดงจัดจนเข้ม หยดน้ำเล็กๆ หลายหยดเกาะอยู่ที่กลีบหนานั้น เหมือนดังผ้ากำมะหยี่สีแดงที่กำลังเปียกปอนด้วยไอฝน
เพลงยังคงบรรเลงด้วยเปียโนเหมือนเช่นเดิม
สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มแต่งกายด้วยผ้าซิ่นพื้นเมือง นำพาให้หญิงสาวทั้งสองเข้าไปในร้าน
สายตาหญิงสาวสอดส่ายมองหาใครคนหนึ่ง
เขาอยู่ไหนนะ?
ภาวนาในใจ เธอนั้นไม่อยากเจอแพรวพรรณอีกเลย หญิงคนนี้แม้หน้าตาจะสะสวยกว่ารันชรีมาก แต่ช่างเป็นคนที่น่ารังเกียจโดยเฉพาะแววตาอันร้ายกาจนั้น มันเหมือนดังเหยี่ยวที่กำลังมองหาเหยื่อ และพร้อมที่จะโฉบลงมาคร่าชีวิตได้ทุกเวลา
ชโลธรเลือกนั่งโต๊ะที่ระเบียงติดกับต้นกุหลาบ นอกจากมันจะส่งกลิ่นหอมแล้ว เธอยังรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างดึงดูดให้เธอต้องเลือกที่นั่งตรงนี้
รันชรีเงยหน้าขึ้นมาจากเหล่าดอกไม้สีแดงสดเหล่านั้น เธอส่งยิ้มเย็นยะเยือกให้กับภาพที่เห็น
“ในเมื่อฉันไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว ใครก็อยู่ไม่ได้ โชค...เพื่อนรัก...อีกไม่นาน แกต้องไปอยู่กับฉัน”
ปนด้วยกังวานหัวเราะในลำคอ
ชโลธรโน้มตัวเข้าหาเหล่าดอกไม้นั้น แล้วสูดดมเอาความหอมของดอกไม้สีสด ราวกับว่าจะเก็บกลิ่นอันจรุงใจนั้นไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เป็นจังหวะเดียวกับที่โชคกำลังเดินออกมาจากห้องบัญชี แต่เขากลับมองเห็นเป็นหญิงสาวที่ครั้งหนึ่งเคยถูกเรียกขานว่าเป็นเพื่อนรัก
ภาพนั้น...รันชรี
ชายหนุ่มสลัดศีรษะไปมา
เขามองภาพเบื้องหน้าอีกครั้งหนึ่ง เพื่อความชัดเจนของความรู้สึก แน่นอนว่ามันไม่ใช่ภาพรันชรีเหมือนครั้งแรก หากแต่มันเป็นภาพของหญิงสาวผู้หนึ่งกำลังโน้มตัวลงสูดกลิ่นของดอกไม้
มันคงไม่มีอะไรมากนักหรอก คงเพราะท่าทางนั้นเหมือนกิจวัตรที่รันชรีมักจะกระทำบ่อยๆ เมื่อครั้งยังอยู่ที่นี่ เพื่อนรักจะเดินมาสูดกลิ่นดอกไม้ทุกวัน จึงทำให้เขาตาฝาดไป
แต่ภาพหญิงเบื้องหน้าก็ทำให้เขาถึงกับหยุดชะงักอีกครั้งเหมือนกัน
เหมือนเขากำลังยืนอยู่สุดปลายของชะง่อนหินผา เพียงสายลมอันแผ่วเบาก็ทำให้เขาร่วงหล่นลงไปในหุบเหวนั้นทันทีที่ได้ประสพกับหญิงสาวผู้นี้
และในวินาทีนี้...หุบเหวแห่งความรัก...เขาได้ตกลงไปเสียแล้ว
แม้ว่าชายหนุ่มจะครองตัวเป็นโสดมานาน แต่ใช่ว่าเขาจะไม่มองหาคนที่ถูกใจ ตามประสาชายทั่วไป แต่ที่ผ่านมาเขาไม่มองใครเลย เพราะต่างก็มุทำงานอย่างที่เคยให้คำมั่นกับเพื่อนรักไว้ ซึ่งเขาเองก็ยอมรับว่าตั้งแต่รันชรีไม่อยู่ ความรู้สึกว้าเหว่มักจะเข้ามาแวะเวียนเสมอ แม้จะมีแพรวพรรณและอานนท์มาแทนที่ก็ตาม แต่จากเหตุการณ์ที่บ้านแพรวพรรณคืนนั้น เขาก็ระวังเนื้อระวังตัว และตั้งสติทุกครั้งที่อยู่กับแพรวพรรณ ยังไม่นับถึงความเข้าอกเข้าใจที่แพรวพรรณต่างจากที่รันชรีทุกอย่างก็ว่าได้
ชายหนุ่มจ้องมองหญิงสาวอยู่จนเธอผู้นั้นถอนใบหน้าจากสีแดงกำมะหยี่ของกลีบกุหลาบ หญิงสาวค่อยๆ หันหน้ามาทางเขา มิวายที่เขาจะส่งยิ้มให้หล่อนแล้วค้อมศีรษะเล็กน้อย ฝ่ายหญิงสาวเมื่อประจันหน้ากับชายหนุ่มถึงกับอึ้ง ใบหน้าคมเข้มนั้นกำลังส่งยิ้มให้เธอ หญิงสาวก้มหน้าเล็กน้อย แฝงด้วยรอยยิ้มเล็กๆ ที่ตั้งใจปิดบังเขาเอาไว้
“นั่นไงชมพู่ อีตาโชค” หญิงสาวบอกให้เพื่อนมองตามชายผู้นั้นไป
“หล่อมากแก ไม่แปลกใจเลยที่ยัยแพรวนั่นจะหลงรัก” ชมพูนุชออกความคิดเห็น
“ว่าแต่ว่าฉันมาที่นี่แล้ว แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อ คุณรันเขาอยากให้ฉันช่วยอะไรเกี่ยวกับนายคนนี้ หรือเธออยากให้ฉันบอกว่าเธอตายไปแล้ว”
“อย่าบอกเด็ดขาด” เสียงนั้นกังวานอยู่ในโสตประสาทของชโลธรเพียงผู้เดียว ทั้งๆ ที่รู้ว่าเสียงนั้นคือเสียงใคร แต่ก็ไม่วายที่หญิงสาวจะหันไปซ้ายทีขวาที
ขณะนั่งทานอาหารอยู่นั้น หญิงสาวจะรู้ไหมว่ามีสายตาหนึ่งที่กำลังลอบมองเธออยู่ โชคนั่นเอง เขานั่งอมยิ้มแล้วมองชโลธรด้วยแววตามีประกาย มันนานเหลือเกินที่เขาไม่เคยรู้สึกเช่นนี้กับผู้หญิงคนไหน แต่วันนี้และขณะนี้ใจเขากำลังเต้นไม่เป็นจังหวะ
“โชคเพื่อนรัก อีกไม่นานแกจะได้รู้ว่าความรักมันเป็นยังไง แกจะต้องสัมผัสกับความรักอย่างที่ฉันเคยรู้สึก” วิญญาณเพื่อนรักยืนจ้องมองชายหนุ่ม ด้วยรอยยิ้มอันปวดร้าว
“แหม่มๆ” ชมพูนุชเรียกเพื่อน เมื่อเห็นว่าเพื่อนสาวกำลังอมยิ้มและใบหน้าเริ่มแดงระเรื่อ
“แกคิดอะไรอยู่เนี่ย อย่าบอกนะว่าชอบอีตาโชคนี่”
“จะบ้าเหรอแก ฉันจะไปชอบเขาได้ยังไง แกอย่าลืมว่าเขาเป็นคนทำให้คุณรันเสียใจนะ ไอ้คนใจร้าย” หญิงสาวเรียกสติกลับคืนมาจากภวังค์ เมื่อรู้สึกตัวว่าสิ่งที่ชมพูนุชกำลังทักอยู่นั้น มันอาจจะเป็นจริง
“เรามาที่นี่แล้ว ต่อไปจะเป็นอย่างไรต่อ คุณรันอยากให้แหม่มทำอะไรต่อค่ะเนี่ย” หญิงสาวเอ่ยขึ้น
เม็ดฝนบางๆ กำลังโปรยปรายอยู่ด้านนอก สายลมอ่อนๆ พัดพาเอาละอองเล็กๆ นั้นสัมผัสกับผิวกายของหญิงสาว มันสร้างความสดชื่นให้เธอไม่น้อย
“ฉันชอบฤดูฝน ชอบนั่งมองสายฝน และชอบกลิ่นของดินเวลาถูกน้ำฝน” หญิงสาวพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว
เป็นจังหวะเดียวกับบริกรหนุ่มยกอาหารมาเสิร์ฟ โดยมีชายหนุ่มเจ้าของร้านเดินมาสมทบ แต่ยังไม่ทันที่จะยกอาหารวางลงบนโต๊ะ เขาก็ต้องชะงักกับประโยคที่หลุดออกมาจากปากหญิงสาวเสียก่อน
“ช่างเหมือน...กับ...รันชรี...อะไรอย่างนั้น”
ไม่มีคำพูดใดจะเอื้อนเอ่ยต่อไป เขาหยุดอยู่ตรงหน้าหญิงสาวแล้วจ้องมองใบหน้านั้นอย่างฉงนกับคำพูด
เด็กหนุ่มยกอาหารวางบนโต๊ะ มันยิ่งสร้างความฉงนให้เขาอีกระลอกหนึ่ง อาหารทุกจานล้วนแล้วแต่เป็นอาหารที่รันชรีชอบทั้งนั้น
“รัน...”ชื่อของเพื่อนรักถูกเรียกขานอีกครั้งหนึ่ง
“ยังจำได้หรือโชค ว่าฉันชอบอะไร”
หญิงสาวถึงกับสะดุ้งในคำพูดของตนเอง เพราะจริงๆ แล้วในขณะนี้เธอเองรู้สึกราวกับว่าพฤติกรรมและคำพูดทุกอย่างของตนนั้น อยู่เหนือการควบคุมของตนเองอย่างสิ้นเชิง
ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น แม้ว่าเขาจะถูกตรึงใจไว้กับหญิงที่อยู่เบื้องหน้า แต่พฤติกรรมและวาจาต่างๆ ของหญิงสาว กลับทำให้เขาสับสนไม่น้อย
“อาหารที่คุณสั่งล้วนเป็นรายการอาหารแนะนำของทางร้านครับ” ชายหนุ่มตัดบทไปที่เรื่องอาหาร แทนการครุ่นคิดถึงคำพูดที่หลุดออกจากปากหญิงสาวที่เขาเองยังไม่รู้จักเสียด้วยซ้ำ
มันนานเหลือเกินที่ประกายในตาของชายหนุ่มไม่ได้เปล่งออกมาเช่นนี้ เขามองไปที่หญิงสาวอีกครั้งหนึ่ง จนทำให้อีกฝ่ายหลบสายตาไปด้วยความเขินอาย
“มาเที่ยวหรือครับ ผมเป็นเจ้าของร้าน มีอะไรติชมได้นะครับ”
ไม่ต้องมาแสดงตัวหรอกว่าเป็นเจ้าของร้าน ฉันรู้อะไรมากกว่าที่คุณคิดเยอะ อีตาโชค หญิงสาวคิดในใจก่อนจะพยักหน้าแล้วเสสายตามองไปยังจานอาหารที่วางอยู่เบื้องหน้า