ตอนที่ 15
แพรวพรรณเล่าถึงเรื่องที่กิตติกลับมาที่เมืองนี้อีกครั้ง เพราะอยากเอาเงินมาคืนรันชรี ให้อานนท์ฟัง แต่ตนได้บอกให้กิตติไปตามหารันชรีที่บ้าน เพื่อสกัดไม่ให้หล่อนกลับมาที่นี่อีก อานนท์เริ่มสงสัยในตัวกิตติว่าคิดจะมาไม้ไหน แต่ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่ในห้องบัญชีนั้น จู่ก็มีเสียงเอะอะมาจากด้านนอก
“กรี๊ดๆๆๆๆๆ”
หุ้นส่วนทั้งสองรีบวิ่งออกไปดูเพื่อหาที่มาของเสียงนั้น
หญิงสาวคนหนึ่งถูกพยุงร่างออกมาจากห้องน้ำ ใบหน้าของเธอแสดงถึงอาการขวัญเสียอย่างรุนแรง
“มีผีอยู่ในห้องน้ำ มีแต่เลือดเต็มไปหมดเลย”
ตามด้วยเสียงกรีดร้องอย่างหวาดกลัว มิหนำซ้ำหล่อนยังพูดเรื่องผีในห้องน้ำไม่หยุด จากนั้นก็ได้แต่เอามือปิดหน้าปิดตาตนเอง พนักงานเสิร์ฟช่วยกันพยุงร่างหญิงผู้นั้นไปนั่งที่โต๊ะ หญิงสาวกลับพูดไม่ได้ศัพท์ หล่อนบอกจุดประสงค์เพียงอย่างเดียว คือต้องการออกไปจากสถานที่แห่งนี้
ลูกค้ากลุ่มนั้นเช็คบิลกลับไปแล้ว แต่สถานการณ์หาได้หยุดนิ่งเพียงนั้นไม่ เสียงพูดคุยกันเซ็งแซ่เกี่ยวกับเรื่องผีในห้องน้ำยังเป็นหัวข้อสนทนาของทุกคนที่ยังอยู่ภายในร้าน
“มีอะไรกัน” อานนท์ถามพนักงานด้วยเสียงเข้ม
“ผู้หญิงคนนั้นเขาเล่าว่า กำลังยืนรอที่จะเข้าห้องน้ำ พอคนในห้องน้ำเปิดประตูออกมา ใบหน้าของคนๆ นั้นกลับซีดเซียวเหมือนกับ....ผี.... แล้วเลือดสดๆ ก็ไหลออกมาจากข้อมือทั้งสองข้างจนนองเต็มพื้น” พนักงานสาวคนหนึ่งหันหน้ามาตอบอย่างตื่นตระหนก
“เหลวไหลน่า ผีมีจริงที่ไหน” อานนท์ฝืนพูดไปทั้งที่ใจเต้นไม่เป็นจังหวะเอาเสียเลย
“มันน่าจะเป็นแผนของร้านอื่นมากกว่าที่ส่งคนมาแกล้งร้านเรา ให้คนเข้าใจว่าร้านเรามีผี คนก็จะไม่เข้าร้านเรา แผนการตลาดโง่ๆ พวกมันคิดได้ยังไงกัน” อานนท์พูดอย่างใส่อารมณ์ เพราะในความจริงนี่อาจจะเป็นแผนของร้านคู่แข่งก็เป็นได้
ชายหนุ่มได้แต่มองหน้ากับหญิงสาว แล้วหันไปบอกกับพนักงานทุกคนว่าเป็นการกลั่นแกล้งจากร้านคู่แข่ง แต่แม้ว่าเหตุผลจะดีสักเพียงใด ลูกค้ากลุ่มอื่นต่างก็มองไปรอบๆ ร้านด้วยสายตาแปลกๆ หลายโต๊ะเช็คบิลกลับ โดยที่ทานอาหารยังไม่หมด คงเหลือลูกค้าเพียงสองโต๊ะเท่านั้นที่ยังนั่งละเลียดไวน์กันอย่างไม่สนใจต่อเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น
“พวกแกได้เจออะไรเยอะกว่านี้แน่”
รันชรีหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจในขณะที่ลูกค้ากำลังทยอยออกจากร้านไป
เหตุการณ์ลูกค้าเจอผีในห้องน้ำกระจายไปรวดเร็ว แค่ข้ามคืนผู้คนต่างโจษจันทน์กันอย่างสนุกปาก บ้างก็ว่ามีผีจริง บ้างก็เห็นคล้อยตามกับคำบอกของอานนท์ว่าเป็นเพียงการกลั่นแกล้งของร้านคู่แข่ง
ชายหนุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ในร้านอาหารแห่งนั้น กำลังนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่กับจอคอมพิวเตอร์ขนาด 16 นิ้ว ตรงหน้า ยอดขายของเดือนนี้ตกไปมากกว่าครึ่ง การควบคุมวัตถุดิบไม่รัดกุมเหมือนเมื่อรันชรียังคงอยู่ รายรับลดแต่รายจ่ายยังคงเดิม แต่ดูเหมือนอาจจะเพิ่มกว่าเดิมเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไร มันก็ไม่ทำให้ชายหนุ่มสามารถละสายตาจากโปรแกรมบัญชีนั้นได้มันเป็นผลกระทบอย่างยิ่งโดยเฉพาะการวางแผนเปิดสาขาในห้างสรรพสินค้าใหม่ที่กำลังจะเปิดเร็วๆ นี้
แต่ยังไม่ทันที่ผู้ถือหุ้นใหญ่จะเรียกทุกคนเข้าประชุม ก็มีเรื่องผีเข้ามาอีกระลอกหนึ่ง ยิ่งทำให้ชายหนุ่มหัวเสียหนักไปใหญ่ ซึ่งตัวเขาเองก็ยังไม่ปักใจเชื่อเรื่องผีนั้น แต่ค่อนข้างโอนเอนไปทางความคิดของอานนท์ที่ว่าเป็นการกลั่นแกล้งจากร้านคู่แข่งมากกว่า
เมื่อมารดาได้ทราบเรื่องราวนี้แล้ว ทำให้อดไม่ได้ที่จะเข้ามาช่วยบุตรชายดูแลร้าน เพราะตัวนางเองก็เชื่ออย่างที่บุตรชายเชื่อเช่นกันว่าเป็นการกลั่นแกล้งจากร้านคู่แข่ง ซึ่งหากจะพูดกันตรงๆ ก่อนที่จะปลดระวางตนเอง นางและสามีเป็นผู้บุกเบิกร้านอาหารจนมีชื่อเสียงถึงทุกวันนี้ เมื่อมีเรื่องนี้เข้ามาประกอบกับนางได้เห็นพฤติกรรมบางอย่างของแพรวพรรณ ทั้งด้านการทำงานและแววตาที่หญิงคนนี้มองบุตรชายตนเอง ทำให้นางรู้สึกหนักใจและคิดถึงรันชรีมากขึ้นทุกที
“โชคโทรหารันหน่อยนะลูก บอกให้รันรีบกลับมา” นางบอกกับบุตรชาย
“ถ้าแม่คิดถึงกันมาก ก็โทรหาเองสิ” โชคบอกมารดา
จริงๆ แล้วโชคก็อยากจะทำตามที่มารดาบอก แต่ด้วยทิฐิที่ยังมีอยู่ เขาได้แต่บอกว่าเขาสามารถดูแลร้านนี้เองได้โดยไม่ต้องพึ่งคนอื่น แพรวพรรณได้ยินดังนั้นก็รู้สึกโล่งใจที่โชคยังโกรธและเกลียดรันชรีอยู่
หญิงสูงวัยเดินดูรอบๆ ร้านอาหารที่ตนและสามีร่วมกันสร้างขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตน ก่อนจะยกให้บุตรชายดูแล เรื่องการร่วมหุ้นของรันชรีนั้นเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น แต่จริงๆ แล้ว นางต้องการที่จะทำตัวเป็นแม่สื่อให้เด็กทั้งสองเสียมากกว่า นางจึงยินดีที่รันชรีมาช่วยบุตรชายดูแลร้าน แต่การเข้ามาของแพรวพรรณและอานนท์นั้น โชคตัดสินใจโดยที่ไม่ปรึกษานาง นอกจากจะทำให้นางไม่พอใจแล้วนั้น ยิ่งทำให้นางไม่สามารถปลดระวางได้อย่างแท้จริง
รันชรีชอบดอกกุหลาบสีแดง หญิงสาวจึงเลือกดอกกุหลาบมาประดับตกแต่งร้าน ซึ่งมันเป็นอีกหนึ่งอย่างที่เด็กสาวคนนี้ชอบในสิ่งที่คล้ายๆ กับหญิงสูงวัย
“แม่ค่ะ รันขอโทษ แม่ไม่ควรจะมาที่ร้านนี้อีก แม่กลับไปอยู่ที่บ้านเถอะค่ะ” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าเพราะผู้เป็นมารดาเข้ามาอยู่ดูแลร้าน ทำให้รันชรีไม่กล้าที่จะสำแดงฤทธิ์เดชอันใด ทำให้เมื่อทั้งโชคและมารดาเข้ามาที่ร้าน ก็ไม่มีเหตุการณ์ผีหลอกมาให้ได้รับรู้อีกเลย
เพียงไม่กี่วันที่ผู้เป็นมารดามาช่วยบุตรชายดูแลร้าน แพรวพรรณสัมผัสได้ถึงความหนาแน่นของกำแพงที่แม่ของโชคก่อขึ้น เพราะนอกจากจะคอยกันท่าลูกชายแล้ว เมื่ออยู่ด้วยกันลำพัง นางมักจะกล่าวชมรันชรีทุกครั้งไป มันทำให้เธอดูไร้ค่าไปโดยสิ้นเชิงและเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อเธอมีปากเสียงกับมารดาของโชค ในวันที่โชคไม่อยู่
“เธอจะไปตะคอกใส่หน้าลูกค้าอย่างนั้นไม่ได้ จะอย่างไรเขาก็คือลูกค้า สิ่งที่เธอทำได้คือคำว่าขอโทษเท่านั้น ช่วงนี้ที่ร้านเรากำลังมีปัญหาเรื่องข่าวลือนั่น เธอต้องอดทนให้มากกว่านี้แพรว” หญิงผู้ผ่านร้อนหนาวมามากกว่า บอกกับหญิงสาวที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหุ้นส่วนของร้านอาหารแห่งนี้
“คุณป้าจะรู้เรื่องอะไร คนพวกนี้มันต้องเจอแบบนี้ถึงจะสาสม มีอย่างที่ไหนทำน้ำแกงหกใส่รองเท้าตัวเอง แล้วจะให้เราเช็ดให้” หญิงสาวแย้ง
“แต่ที่ป้าเห็น หนูตั้งใจเทน้ำแกงใส่เท้าผู้หญิงคนนั้นนะ”
“ก็มันอยากจะมาให้ท่าโชคทำไม หนูยอมมันมาหลายครั้งแล้ว” หญิงสาวไม่พูดเปล่า ชี้ไม้ชี้มือไปทางกลุ่มลูกค้าที่เป็นคู่กรณี
“เธออย่าลืมนะว่าเธอเป็นแค่เพื่อนของลูกชายฉัน ตอนหนูรันอยู่ไม่เคยมีปัญหาแบบนี้ ฟังฉันนะ ร้านนี้ฉันสร้างมากับมือ ฉันจะไม่มีวันให้เธอมาทำลายสิ่งที่ฉันทำเอาไว้มาอย่างดีหรอก บอกมาหุ้นส่วนของเธอมีเท่าไหร่ ฉันจะคืนให้แล้วเธอก็ไม่ต้องมาที่ร้านนี้อีก” สรรพนามระหว่างหญิงสูงวัยกับแพรวพรรณเปลี่ยนไปทันที คำพูดของหญิงสูงวัยเป็นเหมือนดั่งสายฟ้าฟาดลงมาต่อหน้าหญิงสาว
“คุณป้าทำเกินไปแล้วนะ เรื่องนี้โชคคนเดียวที่จะตัดสินได้”ดวงตาทั้งคู่ของหญิงสาวฉายแววแห่งความเป็นศัตรูอย่างเปิดเผย
“แต่ฉันเป็นแม่ ลูกชายฉันเขาต้องทำตามทุกอย่างที่ฉันบอก”ผู้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้บุกเบิกร้านเหลือจะทน
แพรวพรรณสะบัดหน้าหนีด้วยความโกรธสุดชีวิต ถ้าหากหญิงคนนี้ไม่ใช่แม่ของชายที่รักแล้วละก็ เธอจะกระโดดตบให้สลบไปต่อหน้าต่อเสียในตอนนั้น
................................................................................................................................
ข้าวของในบ้าน ตกระเกะระกะอยู่ตามพื้น แพรวพรรณยังไม่หยุดที่จะมองหาสิ่งของใกล้ตัวที่สามารถขว้างปาได้อีก สลับกับเสียงร้องกรี๊ดๆๆๆ จนคนรับใช้ในบ้านไม่กล้าจะเข้ามาเก็บกวาดสิ่งของที่ตกเกลื่อนกลาดอยู่นั้น
“พวกแกออกไปเดี๋ยวนี้ จะมองหาอะไร”
หล่อนตวาดกร้าวเมื่อเห็นหญิงรับใช้แอบมองมาจากด้านหลังบ้าน หล่อนกระทืบเท้าลงกับพื้น แล้วเดินอย่างลงน้ำหนักก่อนจะหายเข้าไปในห้องนอน ปล่อยให้หญิงรับใช้ยืนมองตามด้วยความระอาใจ
“อีแก่หนังเหนียว จะตายลงโลงอยู่แล้วยังมาทำเก่งอีก มันน่าจะเป็นอัมพาตให้นอนตายคาเตียงไปเลย คำก็รันสองคำก็รัน มันมีอะไรดีนักหนา ฉันเกลียดแกนังรัน ถ้าแกอยู่ที่นี่ฉันจะบีบคอแกให้ตายคามือฉันเลย” หล่อนยังก่นด่าไม่หยุด
วินาทีนั้นเอง...
รันชรีก็มาปรากฏอยู่ต่อหน้า ปากก็พูดจาด้วยเสียงเว้าวอน
“แพรวเธออย่าทำอะไรฉันเลย ฉันกลัวเธอแล้ว”
แพรวพรรณตาค้างกับภาพที่ปรากฏ
จู่ๆ รันชรีเข้ามาในบ้านและในห้องตนเองได้อย่างไร ?
หญิงสาวผู้มาเยือนยังคงยืนนิ่งที่หน้าประตูห้องด้วยรอยยิ้มที่มุมปากสายตาที่อ้อนวอนเมื่อไม่กี่วินาทีที่ผ่านมา กลับกลายเป็นสายตาที่น่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก แพรวพรรณยอมรับว่าเธอไม่เคยเห็นรอยยิ้มและแววตาเช่นนี้จากรันชรีมาก่อน นี่เป็นครั้งแรกและเป็นเหตุการณ์ที่เธอเองตกใจอย่างที่สุด
“เธอเข้ามาในห้องฉันได้ยังไง” หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านยังไม่วายสงสัย
“ฉันไปได้ทุกที่ที่ฉันอยากไป และทำได้ทุกอย่างที่ฉันอยากทำ ว่าไงแพรวเธออยากจะบีบคอฉันไม่ใช่เหรอ ฉันอยู่ตรงนี้แล้ว มาสิ มาบีบคอให้ฉันตายอย่างที่เธออยากทำ”
ตามด้วยเสียงหัวเราะในลำคอของรันชรี
“แกออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ” หญิงสาวยอมรับว่าในขณะนี้ความกลัวมันแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางกาย
“ถ้าเธอไม่ทำ ฉันทำเองก็ได้” รันชรีลากเสียงเยือกเย็น
หญิงผู้มาเยือนใช้มือทั้งสองข้างบีบที่ลำคอของตนเอง แต่ผู้ที่รู้สึกแน่นที่ลำคอกลับเป็นแพรวพรรณ ใจที่เต้นแรงอยู่แล้วยิ่งทวีจังหวะความแรงและความเร็ว ลมหายใจที่เคยสูดเข้าอย่างง่ายดายกลับกลายเป็นติดๆ ขัดๆ เหมือนมีอะไรมาอุดรูจมูกไว้ หญิงสาวทรุดตัวลงที่กลางห้อง เรี่ยวแรงที่เคยมีบัดนี้มันหดหายไปแห่งหนใดกันแล้วหนอ แพรวพรรณอยากจะเปิดประตูออกไปจากห้อง แต่ทว่าแม้แต่แขนขาในขณะนี้มันไม่สามารถที่จะเขยื้อนได้สักนิด
“นี่เรากำลังเจอกับอะไรอยู่?”
“ทำไม...รันชรี...ถึงทำ...อะไรอย่างนี้...ได้?”
“หรือว่าหล่อนจะตายไปแล้วจริงๆ?”
“อย่า...ทำ...อะ...ไร...ฉัน...เลย” แพรวพรรณพยายามเค้นเสียงออกมาจากลำคออย่างยากเย็น
ชั่วอึดใจเดียวกันนั้นรันชรีก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา พลางคลายมือออกจากคอของตนเอง แพรวพรรณเหมือนกับตายแล้วเกิดใหม่ หล่อนนอนแผ่หรา กระเสือกกระสนสูดอากาศที่เป็นเสมือนหนึ่งยาวิเศษเข้าไปเหมือนจะมีใครมาแย่งยาวิเศษนั้นไป หล่อนสูดลมหายใจอย่างหื่นกระหาย เมื่อร่างกายได้รับออกซิเจนจนเต็มแล้ว หญิงสาวมองไปรอบๆ ห้อง แต่ทว่ากลับไม่มีใคร
รันชรีหายไปแล้ว
แล้วสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นกับเธอนั้นจะอธิบายได้อย่างไร
หล่อนกรีดร้องเสียงหลง หญิงรับใช้ทุบประตูห้องเสียงรัวเมื่อตั้งสติได้แพรวพรรณกดโทรศัพท์ไปหาอานนท์และเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง
เข็มนาฬิกาผ่านไปไม่นานรถเก๋งคันงามของอานนท์จอดนิ่งสนิทอยู่หน้าบ้าน เมื่อไปถึงเขาเห็นเพื่อนสาวยืนอยู่หน้าบ้านแต่ไม่ยอมเปิดประตูให้ เขาได้แต่ร้องเรียกแต่ทว่าหญิงสาวกลับยืนนิ่งเหมือนไม่ได้ยิน แต่เมื่อเข้าไปใกล้เกือบจวนประชิดตัวแพรวพรรณที่เขาพบเห็นอยู่นั้นก็กลับกลายเป็นรันชรีที่มีแต่เลือดอาบทั่วร่าง
“พวกแกต้องชดใช้สิ่งที่พวกแกทำกับฉันไว้” เสียงนั้นกังวานเยือกเย็น
อานนท์ถึงกับผงะและเสียหลักล้มลง รัชรีเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า ใบหน้าของหญิงสาวค่อยๆ ซีดลงๆ ดวงตาที่แข็งกร้าวนั้นจ้องมองมาที่เขาอย่างจดจ่อ
“จะหนีฉันทำไม ฉันเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ฉันทำอะไรแกไม่ได้หรอก” ว่าแล้วรันชรีก็ยื่นหน้าเข้าไปเกือบชิดชายหนุ่ม น้ำสีแดงไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างของหญิงสาว เธอยิ้มให้กับชายหนุ่มอีกครั้ง
อานนท์ร้องเสียงหลง จนแพรวพรรณที่อยู่ในตัวบ้านได้ยินจึงรีบวิ่งออกมาดู ก็พบเพื่อนนั่งตาเบิกโพลงอยู่ที่พื้นหน้าบ้าน ใช้มือทั้งสองข้างยันพื้นเพื่อพาร่างกายขยับเหมือนจะหนีอะไรบางอย่าง
หญิงสาวเข้าไปสัมผัสตัวอานนท์ แต่เขากลับผลักเธอออกสุดแรง จนเธอเซถลา
“ออกไป แกจะทำอะไรฉัน” อานนท์ยังถอยหลังต่อไป พร้อมกับตะเบ็งเสียงใส่หน้าแพรวพรรณ
“นนท์...นี่ฉันเองแกเป็นอะไรไป” หญิงสาวถามด้วยอาการตระหนก
แต่บัดนี้ภาพของแพรวพรรณกลับกลายเป็นใบหน้าของรันชรี ที่ขาวซีด เสื้อผ้าและเนื้อตัวเปียกชุ่มไปด้วยเลือด กลิ่นคาวเข้าปะทะกับประสาทสัมผัส
ชายหนุ่มรวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีอยู่ลุกขึ้น และผลักหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้าจนล้มลง แล้ววิ่งออกไปนอกบ้านอย่างไม่คิดชีวิต เขาวิ่งออกมาแต่ก็ต้องสติแตกเมื่อพบร่างของรันชรียืนดักอยู่ด้านหน้า ชายหนุ่มร้องอย่างหวาดผวาได้แต่หันหลังวิ่งกลับไปทางบ้านของแพรวพรรณอีกครั้งหนึ่ง
ด้านแพรวพรรณเมื่อเห็นอานนท์วิ่งออกจากบ้านเช่นนั้น จึงรีบสตาร์ทรถและขับตามมากลางทาง เมื่ออานนท์เห็นว่าเป็นรถของตนเอง และแพรวพรรณเป็นผู้ขับ เขารีบโบกไม้โบกมือให้เมื่อรถจอดเขาก็รีบกระโจนขึ้นรถทันที
ทันทีที่อานนท์ปิดประตูรถ แพรวพรรณเหยียบคันเร่งจนเกือบมิดไมล์ เธอเองก็ไม่รู้ว่าจะขับไปที่ใด รู้แต่เพียงว่าต้องออกไปจากสถานที่มืดๆ ให้เร่งด่วน
“แกวิ่งหนีอะไรนนท์” หญิงสาวเอ่ยก่อน
“แพรว ฉันเห็นรันอยู่ที่บ้านแก ตัวมีแต่เลือด พอฉันวิ่งหนีออกมารันก็มาดักหน้าฉันไว้ จนฉันต้องวิ่งกลับไปทางบ้านแก แล้วแกก็ขับรถมาเจอฉันนี่แหละ ฉันว่ารันต้องตายไปแล้วแน่นอน” อานนท์บอกด้วยเสียงสั่นเครือ
แพรวพรรณสนับสนุนความคิดนั้นของอานนท์ เพราะเธอเองก็เจอเหตุการณ์แปลกๆ เกี่ยวกับรันชรีมาถึงสองครั้งสองครา
“ที่แกเจอมันยังน้อยไป ฉันเกือบจะตายเพราะนังนี่” แพรวพรรณเล่าเรื่องที่ตนประสพมาทั้งหมดให้อานนท์ฟังซ้ำอีกครั้ง
“หรือว่านังรันมันตายไปแล้ว” คนทั้งสองเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
หญิงสาวตัดสินใจหักหัวรถเลี้ยวเข้าประตูวัดที่อยู่ระหว่างทาง แต่ทั้งสองจะรู้หรือไม่ว่าบนหลังคารถที่ตนกำลังโดยสารอยู่นั้นมีรันชรีนั่งติดตามไปด้วย
อานนท์ละล่ำละลักตะโกนเรียกพระในวัดจนแตกตื่น พอเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พระฟัง เจ้าอาวาสจึงประพรมน้ำมนต์ และให้สายสิญจน์ไว้คล้องคอ เพื่อเรียกสติของคนทั้งสองกลับมา แล้วจัดแจงให้ทั้งสองนอนกับเด็กวัดส่วนผู้ทรงศีลก็แยกย้ายกันไปที่กุฏิของตน
“พวกแกคิดเหรอว่าอยู่ในวัดแล้วฉันจะทำอะไรไม่ได้” วิญญาณยังคงติดตามไม่ลดละ
“เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร อโหสิ ให้กับโยมทั้งสองเสียเถิด” พระชราบอกกับวิญญาณหญิงสาวที่ยืนประจันหน้าอยู่นั้น
“ท่านไม่ต้องมายุ่ง พวกมันสองคนทำให้ฉันต้องทุกข์ทรมาน มันทั้งสองต้องได้รับกรรมที่มันได้ก่อไว้” วิญญาณหญิงสาวตอบกลับ
“ท่านหลีกไปเสียเถอะ....”
“โยมทุกข์เพราะจิตใจของโยมเอง อย่าไปโทษคนอื่นเลย ใครทำกรรมอย่างไรไว้ สักวันหนึ่งก็ต้องได้รับผลกรรมนั้น โยมควรจะกลับไปอยู่ในที่ของโยมเสีย เลิกอาฆาต เลิกจองเวร เผื่อกรรมของโยมเองก็จะได้เบาบางลงบ้าง” ผู้ทรงศีลกล่าวด้วยอาการสงบนิ่ง
แต่ทว่าพระชรารูปนั้นสัมผัสได้อย่างรุนแรงถึงแรงอาฆาตของรันชรีนั้นว่ามากมาย จนไม่สามารถจะดึงรั้งกลับมาได้ สิ่งที่ทำได้ก็เพียงแต่แผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศลไปให้ เผื่อสักวันหนึ่งแรงอาฆาตนั้นจะเบาบางลง
แต่จากการนั่งสมาธิดูแล้ว รันชรีคือเจ้ากรรมนายเวรของคนทั้งสอง มันยากที่จะบรรเทาผลกรรมที่คนทั้งคู่จะได้รับ แม้แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ก็ไม่สามารถป้องกันคนทั้งคู่จากเจ้ากรรมนายเวรนี้ไปได้