ตอนที่ 14
หนึ่งสัปดาห์แห่งการทำงานในเมืองนี้ ผ่านไปโดยไม่มีอุปสรรคใดๆ เนื้องานทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่ทางทีมงานวางไว้ ทุกคนร่วมมือกันเป็นทีมเวิร์คอย่างเข้มแข็ง หากตัดเรื่องรันชรีออก กิตติคือหัวหน้างานที่น่าเอาแบบอย่างที่สุด เขาทำงานเก่ง วางแผนการตลาดได้อย่างแยบยล การพูดจาปลุกระดมกลุ่มและโน้มนาวจิตใจถือว่ายอดเยี่ยม คงมีเพียงอย่างเดียวที่ทำให้ชโลธรต้องสะดุดในความคิดคือเรื่องของรันชรี
ชายคนนี้เลวร้ายมากสำหรับเรื่องความรัก...
เลวอย่างไม่น่าให้อภัย...
ใกล้เวลาเลิกงานเต็มที แต่พนักงานทุกคนกลับไม่มีใครเตรียมตัวจะกลับแต่อย่างใด คงเป็นเพราะเม็ดฝนที่กระหน่ำอยู่ด้านนอกที่ตั้งเค้ามาตั้งแต่บ่ายแก่ๆ แล้วเริ่มโปรยปรายเอาตอนใกล้จะเลิกงาน ทำเอาพนักงานหลายต่อหลายคนถึงกับบ่นอุบเพราะไม่มีใครกลับบ้านได้สักคน รวมทั้งชโลธรและชมพูนุช ทั้งสองสาวนั่งคุยกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีตามประสาผู้หญิง
“พี่น้ำ คุณกิตตินี่เขามีครอบครัวหรือยังค่ะ” ชโลธรยิงคำถามไปยังเจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชี
“เท่าที่รู้ก็เคยมีนะคะ แต่ภรรยาแกเสียไปตั้งนานแล้วค่ะ แต่เท่าที่รู้มาอีกนั่นแหละค่ะ แกเจ้าชู้น่าดู แหมคิดอะไรกับหัวหน้าหรือเปล่าน้องแหม่ม”ชโลธรรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธทันที
“พี่น้ำเป็นคนเมืองนี้หรือเปล่าค่ะ” หญิงสาวเปลี่ยนเรื่องในการสนทนา
“โดยกำเนิดเลยละคะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็รู้จักคนเยอะสิคะ”
“ก็พอรู้ค่ะ”
รู้จักร้านอาหารชื่อโชติรสไหมค่ะ
“อ๋อรู้จักค่ะ ร้านดังของเมืองเลยล่ะ ว่าแต่น้องแหม่มอยากไปทานที่ร้านนั้นเหรอ นึกว่าหัวหน้าพาไปเลี้ยงต้อนรับแล้วซะอีก”
“แล้วรู้จักเจ้าของร้านหรือเปล่าค่ะ” หญิงสาวยังคงถามต่อไป
“รู้ค่ะ เขาเป็นคนที่นี่ใครๆ ก็รู้จัก ตอนนี้ป่วยเดินไม่ได้ ก็เลยเปลี่ยนมือมาให้ลูกชายทำต่อ”
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีก็เล่าเรื่องราวความเป็นมาของร้านให้ทั้งคู่ฟัง ซึ่งทั้งหมดคือสิ่งที่ชโลธรรับรู้มาก่อนแล้ว แต่นี่ถือเป็นการตอกย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าสิ่งที่เธอฝันนั้น เป็นความจริงที่โดยที่เธอไม่ได้คิดไปเองหรือแต่งเรื่องขึ้นมา
ชโลธรมองหน้าชมพูนุชเหมือนจะนัดแนะอะไรบางอย่างพอดีกับกิตติเดินออกมาจากห้อง
“แหม! หัวหน้านึกว่าพาสาวๆ จากกรุงเทพฯ ไปเลี้ยงต้อนรับที่ร้านดังแล้วซะอีก” น้ำแซวผู้เป็นหัวหน้างาน
กิตติส่งยิ้มให้กับกลุ่มพนักงานที่กำลังจับกลุ่มคุยกันอยู่นี้
“ไม่เป็นไรหรอกพี่น้ำ คุณกิตติเขาอาจจะไม่อยากไปที่ร้านนั่นอีกก็ได้ จริงหรือเปล่าค่ะหัวหน้า” ชโลธรเอ่ยถามด้วยสายตาที่สบประมาท
ไม่มีคำพูดใดๆ จากกิตติ
“แน่ละสิ ทำอะไรกับใครไว้ แล้วไม่กล้าสู้หน้าเขา คนทำผิดแล้วรู้จักขอโทษยังน่าให้อภัย แต่คนที่ทำผิดแล้วไม่ขอโทษนี่สิแย่ยิ่งกว่า ว่าไหมคะพี่น้ำ” ชโลธรรัวออกมาเป็นชุด ทำให้คู่สนทนางุนงงกับคำถาม เพราะไม่รู้เรื่องที่หญิงสาวพูดมา ตรงข้ามกับกิตติที่ขณะนี้รู้สึกร้อนวาบขึ้นมาที่ใบหน้า
“พี่น้ำไปด้วยกันไหมคะ พรุ่งนี้วันหยุดคืนนี้ก็ฟรีสไตล์ได้” ชโลธรเอ่ยชวน
“หัวหน้าละคะ ไปด้วยกันไหมคะ” น้ำชวนอีกต่อหนึ่ง
“กล้าหรือเปล่าคะ หัวหน้า” ชโลธรพูดพร้อมและสบตากับอีกฝ่ายหนึ่งพร้อมกับรอยยิ้มหยันๆ ที่มุมปาก
“ชโลธร คุณหมายความว่าอย่างไร กล้าหรือเปล่า แค่การไปทานอาหารทำไมผมจะไม่กล้า ผมไม่มีอะไรต้องกลัวอยู่แล้ว”
ทั้งๆ ที่ตอบไปอย่างมั่นใจ แต่ภายในใจนั้นกิตติรู้สึกประหม่า เพราะคำสัญญาที่เคยไว้ให้แพรวพรรณและอานนท์ว่าจะไม่กลับมาที่เมืองนี้อีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งร้านนี้ คือจุดเริ่มต้นการทำความผิดครั้งใหญ่ของเขาที่มีต่อผู้หญิงดีๆ คนหนึ่ง ที่วันนี้เขาไม่อาจหลอกตัวเองได้อีกต่อไปว่า เขารักเธอ เมื่อถูกพูดจากระแทกแดกดันจากผู้ใต้บังคับบัญชามันยิ่งกระตุ้นให้เขาอยากจะเข้าไปในร้านอาหารแห่งนั้น เพราะอยากรู้ว่ารันชรีจะยังอยู่ที่นั่นหรือไม่
“ไม่ตอบแสดงว่าตกลงนะคะ” เจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีสำทับมาอีกรอบ
...............................................................................................................................
อากาศชื้นหลังม่านฝน กลิ่นไอของดินยังติดอยู่ที่ปลายจมูก กิตติหยุดยืนมองด้านหน้าของร้านอาหารแห่งนี้ ราวกับจะเห็นรันชรียืนยิ้มทักทายให้หน้าร้าน ภาพเก่าๆ ของวันวานกำลังผุดขึ้นมา กังวานของเปียโนในบทเพลงที่คุ้นหู เธอจะยังอยู่ที่นี่หรือไม่ เหตุการณ์หลังจากวันนั้นจะเป็นเช่นไร ความรู้สึกผิดแล่นขึ้นมาในวินาทีนั้นเอง
แต่เขากลับไม่คิดว่ารันชรีจะยังอยู่ที่ร้านนี้
คำสัญญาที่เคยให้ไว้กับแพรวพรรณและอานนท์หลังจากที่คนทั้งสองคืนสัญญากู้ยืมฉบับนั้นให้เขาแล้วมันยังก้องอยู่ในความรู้สึก เขายอมรับว่าตนเป็นฝ่ายผิดสัญญาที่ย้อนกลับมายังเมืองนี้อีกครั้งหนึ่ง จะเป็นเช่นไรหากเขาพบกับคนทั้งสอง และจะเป็นเช่นไรหากเขาเจอกับโชค ชายหนุ่มที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทของรันชรี แต่อะไรจะเกิดก็ต้องให้มันเกิดขึ้น ในเมื่อวันนี้เขายอมรับโดยดีว่าเขารักรันชรี และการกลับมาครั้งนี้คือการกลับมารับโทษ โดยที่ไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่าผู้ที่จะตัดสินโทษของเขาอยู่แห่งหนใด
บริกรหนุ่มหน้าตาคุ้นเคย กล่าวคำสวัสดีพร้อมกับยกมือไหว้ แต่ทว่าก่อนที่เขาจะเอ่ยถามถึงรันชรี บริกรอีกคนสะกิดแขนเอาไว้ แล้วเดินหายเข้าไปในร้าน เขาไม่อยากคิดอะไรไปมากกว่านี้ จึงรีบเดินเข้าไปในร้านเพื่อตามไปสมทบกับพนักงานที่ล่วงหน้าเข้าไปก่อน
ดวงตาของเขาร้อนผ่าวขึ้นมาทันที เมื่อภาพภายในร้านเป็นเหมือนหนังจอใหญ่ที่กำลังวนกลับไปเล่นซ้ำในฉากก่อนๆ ที่มีเขาและรันชรีเป็นนักแสดง แต่แล้วก็มีเสียงๆ หนึ่งกระชากเขาออกจากภวังค์
“คุณกิตติ คุณกลับมาที่นี่อีกทำไม คุณผิดสัญญากับแพรว”หญิงสาวกระแทกเสียงถาม และจ้องมองเขาเหมือนจะให้แตกสลายไปในอากาศ
“ผมเลี่ยงไม่ได้ ผมต้องทำงาน”
“มันเป็นข้ออ้างมากกว่า คุณต้องการอะไร”
“แล้วแต่จะคิด ผมมาทำงานจริงๆ”
“ดีนะที่โชคไม่อยู่ คุณจะอยู่ที่นี่อีกนานไหม งานคุณจะเสร็จเมื่อไร”
“ผมต้องอยู่ที่นี่ไปจนกว่าห้างสรรพสินค้าใหม่จะเปิด”
“คุณบ้าไปแล้วคุณกิตติ แล้วสัญญาที่คุณให้กับแพรวละ”
“ผมจะไม่พูดอะไรที่พาดพิงมาถึงคุณแน่ ผมรับรองได้”
ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกัน จู่ๆ โชคก็เดินเข้ามาในร้านอย่างกระหืดกระหอบ ซึ่งเขาต้องชะงักทันทีเมื่อพบกิตติยืนคุยกับแพรวพรรณอยู่ในร้าน
“เขาไม่ได้อยู่กับรันชรีหรอกหรือ? ” คำถามที่ดังอยู่แค่ในใจ
“แล้วตอนนี้รันอยู่กับใคร? ” คำถามต่อมา
“สวัสดีครับ”
กิตติเอ่ยทักทายทั้งที่ใจตอนนี้เต้นไม่เป็นจังหวะเอาเสียเลย
ทางด้านแพรวพรรณขณะนี้เหมือนมีก้อนหินแข็งๆ มาอุดหลอดลมไว้ ได้แต่มองโชคทีกิตติที แต่ด้วยความรีบเพราะลืมเอกสารทำให้โชคไม่สามารถที่จะมีเวลาพูดคุยกับกิตติแม้ใจอยากจะคุยมากก็ตาม
ชโลธรสอดส่ายสายตามองหาผู้เป็นหัวหน้างาน ที่จริงๆ แล้วเขาต้องมานั่งร่วมโต๊ะอาหารกับสมาชิกทุกคน แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงา
“หรือเขาจะไม่กล้ามา เราน่าจะให้ใครคนใดคนหนึ่งนั่งรถมากับเขา เขาอาจจะหนีกลับกลางทางก็ได้”
แต่เมื่อมองไปด้านหน้าร้าน หญิงสาวก็พบว่ากิตติยืนคุยอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงใบหน้าสวยคนนั้น แน่ชัดว่าคือแพรวพรรณโดยไม่ต้องไถ่ถามผู้ใด เพราะเธอคุ้นหน้ามาแล้วจากความฝัน
“พวกเขาคุยอะไรกัน ต้องเป็นเรื่องคุณรันแน่ๆ”
ชโลธรชำเลืองตาดูผู้เป็นหัวหน้ายืนคุยกับแพรวพรรณ ก็นึกฉุนขึ้นมา เธอรีบลุกจากโต๊ะและตรงดิ่งไปยังชายหญิงทั้งสองคนนั้น หญิงสาวเดินเข้าไปอย่างคุ้นเคยกับคนทั้งคู่ คงมีแต่แพรวพรรณเท่านั้นที่มองหญิงสาวด้วยความสงสัย ว่าเหตุใดลูกค้าท่านนี้จึงได้มายืนจ้องหน้าเธออยู่เช่นนั้น
“มีอะไรต้องปิดบังหรือคะ ถึงไม่ยอมไปนั่งที่โต๊ะด้วยกัน” หญิงสาวส่งเสียงทักทายขัดจังหวะการสนทนาของคนทั้งคู่
“ผมมาสั่งอาหาร คุณมีอะไรหรือเปล่าครับคุณชโลธร” กิตติตอบกลับ
ทางด้านแพรวพรรณละสายตาจากกิตติแล้วเปลี่ยนไปจับจ้องที่หญิงสาวผู้เป็นลูกค้าแทน ด้วยประโยคคำถามเมื่อสักครู่ทำให้แพรวพรรณขมึงตาใส่ลูกค้าคนนี้แทบจะกลืนกิน
“นางมารร้าย ฉันขอมองหน้าแกชัดๆ สักทีเถอะ” ว่าแล้วชโลธรก็จ้องหน้าแพรวพรรณ พร้อมกับส่งยิ้มให้ แต่ในรอยยิ้มนั้น มันแฝงอะไรมากมายไว้เบื้องลึก มีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้นที่รู้
กิตติถือโอกาสแนะนำชโลธรให้แพรวพรรณรู้จัก แต่ทว่าแววตาที่หญิงสาวมองแพรวพรรณนั้นทำให้ทั้งกิตติและแพรวพรรณต่างก็สงสัยว่าเหตุใดหญิงผู้นี้จึงมองหล่อนเช่นนั้น มันเป็นสายตาแห่งความอาฆาต ราวกับคนที่โกรธแค้นกันมาก่อน ทั้งๆ ที่ทั้งสองเพิ่งรู้จักกันเมื่อไม่กี่นาทีมานี้ แต่สำหรับชโลธรแล้ว เธอรู้จักผู้หญิงคนนี้มาสักพักใหญ่ๆ และรับรู้เหตุการณ์ต่างๆ ระหว่างแพรวพรรณและรันชรี ยิ่งพบหน้าและได้พูดคุย เธอยิ่งทวีความเกลียดชังในตัวผู้หญิงคนนี้ คงเหลือเพียงแต่โชคและอานนท์เท่านั้น ที่ชโลธรกำลังสอดส่ายสายตามองไปทั่วร้าน แต่ก็ยังไม่พบ
“เธอไม่ต้องกลัวฉันจะอยู่ข้างๆ เธอ”
บัดนี้วิญญาณของหญิงสาวกำลังยืนยิ้มอย่างเยือกเย็นอยู่หน้าร้าน
กิตติบอกแพรวพรรณว่าตนต้องการนำเงินมาคืนรันชรี แต่แพรวพรรณกลับบอกว่าทุกอย่างจบไปแล้ว และให้เขาเลิกคิดเรื่องคืนเงินเสีย
“มันไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว ถ้าคุณอยากจะเจอมันนักก็ไปตามมันที่บ้านมันโน่น”
พลันนั้นความคิดหนึ่งก็บังเกิด
...ใช่แล้ว ก่อนที่มารหัวใจจะกลับมาที่นี่ เธอควรจะให้กิตติไปหารันชรีที่บ้านและห้ามไม่ให้รันชรีกลับมาที่นี่อีก หากรันชรียังรักกิตติอยู่ หล่อนจะต้องทำตามที่กิตติบอกอย่างแน่นอน
“ใช่ คุณไปตามรันชรีที่บ้านสิ ฉันเชื่อว่านังนั่นคงจะรอคุณอยู่”