ตอนที่ 13
แพรวพรรณเล่าเรื่องที่เธอพบรันชรีในร้านอาหารให้อานนท์ฟัง ซึ่งอานนท์พูดเหมือนโชคว่าคงเป็นเงาคนในร้าน ผสมกับแสงของฟ้าที่แลบ ทำให้แพรวตาฝาดเห็นเป็นคนขึ้นมา อานนท์ได้แต่บอกว่าให้แพรวพรรณอย่าคิดมากเรื่องรันชรี ป่านนี้คงได้งานใหม่ทำที่กรุงเทพฯ ไปแล้ว ห่วงแต่เรื่องโชคเถอะ ให้แพรวรีบๆ ทำคะแนนให้โชครักแพรวให้ได้ ส่วนนนท์ก็มุ่งอยู่ที่เป้าเดิมคือการเปิดสาขาใหม่
เมื่ออานนท์พูดเช่นนี้ แพรวพรรณได้แต่ขบฟันแน่น เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน นับว่าเธอเสียคะแนนไปไม่น้อย เพราะในเมื่อทุกอย่างกำลังจะเข้าด้ายเข้าเข็ม จู่ๆ โชคก็ผละออกไป เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน ยิ่งนึกก็ยิ่งเจ็บใจ แต่ทว่าเธอเองกลับไม่เล่าเรื่องนี้ให้ผู้เป็นเพื่อนฟัง
วันนี้เธอจะพูดอะไรกับชายหนุ่ม เมื่อเจอหน้าเขา...
ยิ่งคิดก็เสียดายโอกาส...ที่หลุดลอยไป
........................................................................................................................
โชคนั่งถอนหายใจเฮือกใหญ่ อยู่หน้ากระจกบานใหญ่ เขาจ้องมองหน้าตัวเอง
“ไอ้บ้าเอ๊ย ทำอะไรไปไม่คิด” เขาบอกกับเงาตัวเองในกระจก
ภาพเหตุการณ์ในสนามแห่งกลกามที่เขาเคลิ้มไปกับแพรวพรรณยังตามหลอกหลอนเขานับตั้งแต่ตื่นนอน
วันนี้หากพบแพรวพรรณ เขาจะทำตัวเช่นไร?
ความละอายที่มีต่อหญิงสาว ทำให้เขาคิดไม่ตกว่าจะมองหน้าหล่อนได้เต็มตาเหมือนเดิมหรือไม่
ลมหายใจเฮือกใหญ่ถูกถอนออกมาอีกครั้ง...
ชายหนุ่มนึกย้อนเหตุการณ์ไปเรื่อยๆ จนถึงเรื่องแพรวพรรณเห็นรันชรีที่ร้านอาหาร น่าจะร่วมปีแล้วที่หญิงผู้ที่เคยขึ้นชื่อว่าเป็นเพื่อนรัก ได้ห่างหายไปจากชีวิตของเขา
รันชรีจะกลับไปที่บ้านหรือเปล่า…?
หรือเธอจะไปหาผู้ชายคนนั้น...?
ความโกรธในใจถูกกวนขึ้นมาจากก้นบึ้งอีกระลอก ที่เพื่อนรักอย่างรันชรีทำสิ่งเลวร้ายเช่นนั้นกับเขาได้ลง รันชรีคนที่เคยรักเพื่อนมากกลับเห็นคนอื่นดีกว่า และยอมทำสิ่งที่ไม่ดีเพียงเพราะผู้ชายแค่คนเดียวเท่านั้น
โชคขบริมฝีปากตัวเองเบาๆ ก่อนจะถอนหายใจยาวๆ เขายกหูโทรศัพท์หาผู้เป็นมารดา เพื่อจะไปรับท่านออกจากโรงพยาบาล แต่เมื่อเขาลงมาชั้นล่าง ก็ต้องตกใจเพราะแพรวพรรณมาหาที่บ้านแต่เช้า เพื่อเตรียมตัวจะไปรับผู้เป็นมารดาด้วยกัน
“จะกลับก็ไม่บอก โชคยังเห็นแพรวเป็นเพื่อนอยู่หรือเปล่า” หญิงสาวกล่าวในเชิงตัดพ้อ
“ขอโทษทีแพรว เราต้องรีบไปรับแม่ ก็เลยไม่อยากปลุก” ชายหนุ่มว่า
“แพรวไปรับคุณป้าด้วยคนนะ เดี๋ยวขับรถให้ก็ได้” หญิงสาวยื่นข้อเสนอ
“เราไปตั้งสองวัน แพรวอยู่ที่ร้านจะดีกว่าไหม ไปกันทั้งสองคนไม่มีใครอยู่ร้าน นนท์ก็ไม่อยู่” เขาหาทางหลีกเลี่ยงที่จะอยู่กับหญิงสาวเพียงลำพัง
แพรวพรรณรู้สึกเสียหน้าเล็กน้อย เพราะเธอคาดหวังไว้ว่าเธอหากเธอเข้าทางผู้ใหญ่ มันจะเป็นวิธีที่ดีกว่าวิธีที่เธอพลาดไปเมื่อคืนที่ผ่านมา แต่เมื่อชายหนุ่มเอ่ยปากเช่นนี้ เธอเองก็ต้องยอมแม้ใจจะปฏิเสธก็ตามแต่
………………………………………………………………………………………………………………
ภายในรถแวก้อนแบบครอบครัวนั้น หญิงสูงวัยนั่งอยู่ทางเบาะกว้างด้านหลัง ด้านหน้าเป็นชายหนุ่มผู้ที่หน้าตาละม้ายคล้ายกันกับนางทำหน้าที่ขับรถ ข้างๆ ชายหนุ่มนั้นเป็นชายสูงวัยที่หน้าตาก็ละม้ายกับชายหนุ่มเช่นกัน
“รันอยู่ร้านเหรอลูก ทำไมไม่มารับแม่ด้วยกัน” ผู้เป็นมารดาเอ่ยถามบุตรชาย
“นั่นสินะโชค ก่อนที่พ่อจะไปเฝ้าแม่แกที่โรงพยาบาล ก็ไม่ค่อยได้เจอหนูรันเหมือนกัน ที่ร้านยุ่งมากหรือ” ผู้เป็นบิดาส่งคำถามต่อ
ไม่มีคำตอบใดๆ จากปากบุตรชาย
“อ้าวว่าไงโชค แม่ถามว่ารันอยู่ไหน โทรหาหน่อย มากินข้าวด้วยกัน แล้วนี่รันรู้หรือเปล่าว่าแม่จะกลับถึงบ้านวันนี้”
“รันเขาไม่อยู่ที่นี่แล้วครับ” ชายหนุ่มตอบผู้เป็นบุพการีด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“มันเกิดอะไรขึ้นโชค”
ผู้เป็นมารดาเพิ่มระดับความเข้มของน้ำเสียง เมื่อรู้ว่าเด็กสาวที่ตนรักเหมือนลูกไม่ได้อยู่ที่เมืองนี้แล้ว และน้ำเสียงที่ราบเรียบของบุตรชายที่ประหนึ่งว่าไม่ยินดียินร้ายกับการอยู่หรือการไปของเพื่อนของตนเอง ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าต้องมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
“ผมว่าแม่อย่าเพิ่งคิดถึงคนอื่นเลย ผมเป็นลูกของแม่ อยู่ตรงนี้ก็น่าจะพอแล้ว รันเขาก็ต้องมีชีวิตของเขา เขาเลือกอะไรเราไม่มีสิทธิ์ไปห้ามเขาได้หรอกครับแม่”บุตรชายตอบมารดาด้วยอารมณ์ที่กำลังถูกกวนให้ขุ่น
มารดาได้ฟังคำตอบจากบุตรชายแล้วรู้สึก ใจคอหายอย่างไรชอบกล เพราะนางเองรักและเอ็นดูรันชรีประหนึ่งเป็นบุตรสาวของตนเอง จะด้วยเพราะนางเองไม่มีบุตรสาว หรือเพราะรันชรีต้องสูญเสียมารดาไปก็ตาม แต่ในใจลึกๆ แล้วนางอยากได้รันชรีมาเป็นลูกสะใภ้อยู่เป็นทุน ตั้งแต่โชคแนะนำให้นางรู้จักเมื่อเด็กทั้งคู่ยังเรียนหนังสืออยู่ นางรู้ดีว่าหากบุตรชายไม่มีความรู้สึกพิเศษกับเพื่อนคนนี้คงไม่กล้าพามาที่บ้านอย่างแน่นอน
นางเคยเอ่ยอ้อมๆ กับเด็กทั้งสองคน แต่คำตอบก็คือทั้งสองนั้นเป็นเพื่อนกันด้วยความบริสุทธิ์ใจ เมื่อกำลังวังชาที่จะทำงานมันมีไม่เต็มที่เหมือนก่อน นางจึงเอ่ยปากให้ลูกชายชวนเพื่อนคนนี้มาทำงานด้วยกันที่นี่ ซึ่งก็เป็นไปอย่างที่นางคาดหวัง รันชรีมาทำงานที่นี่ นางรู้สึกอบอุ่นใจและวางใจในเรื่องธุรกิจที่มีลูกชายคนเดียวของนางและลูกสาวอย่างรันชรีมาช่วยกันดูแล
จะว่าไปตลอดชีวิตของนางนั้นรอบข้างมีแต่ผู้ชาย นับตั้งแต่พี่น้องมาจนถึงลูกชาย และในครอบครัวก็มีเพียงนางเท่านั้นที่เป็นผู้หญิง เมื่อรันชรีเข้ามานอกจากจะทำให้นางพึงพอใจแล้ว ก็ทำให้นางคลายเหงาได้ แต่เพราะนางหกล้ม ทำให้กระดูกสันหลังเคลื่อน จนต้องเป็นอัมพฤกษ์นางจึงเข้ารักษาตัวอย่างต่อเนื่อง ครั้งสุดท้ายที่ได้พบเจอกับรันชรี ก็เห็นจะเป็นตอนที่หญิงสาวไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลในจังหวัด ก่อนที่นางจะถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ จนเดินเหินได้ปกติ จากวันนั้นจนถึงวันนี้ร่วมปีแล้ว มันจึงไม่แปลกที่นางจะถามถึงรันชรีลูกสาวอีกคนที่นางรัก
ประตูรั้วใหญ่ถูกเปิดออกโดยหญิงสาวที่ผู้เป็นมารดาคุ้นหน้าคุ้นตาหากแต่ไม่ใช่รันชรี
แพรวพรรณ นั่นเอง ที่ตอนนี้กำลังกุลีกุจอเปิดประตูหน้าบ้านออกเพื่อให้รถคันงามของบุตรชายของนางเข้าไปยังลานจอดรถ หญิงสาวผู้คุ้นหน้านั้นเดินมาเปิดประตูรถฝั่งที่นางกำลังนั่งอยู่ พร้อมกับยกมือไหว้และยื่นมือมาให้นางจับหมายจะพยุงนางเดินเข้าไปภายในบ้าน
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อสองคืนก่อนและพฤติกรรมของแพรวพรรณที่ปฏิบัติต่อมารดา ชายหนุ่มอดคิดไม่ได้ว่าเพื่อนในวัยเยาว์คนนี้กำลังจะเข้าหาทางผู้ใหญ่ เพราะเขารู้นิสัยของแพรวพรรณดีว่าหากเธอต้องการอะไรแล้ว ต้องได้ และพร้อมจะทำทุกวิถีทางเพื่อจะได้สิ่งนั้นมา
“สวัสดีค่ะคุณป้า แพรวมีผลไม้มาเยี่ยมคุณป้าด้วยค่ะ” แพรวพรรณหยิบตะกร้าผลไม้จำนวนหนึ่งวางไว้บนโต๊ะรับแขก
ผู้เป็นมารดากล่าวขอบคุณตามมารยาท แต่ก็ยังไม่วายสงสัยว่ารันชรีหายไปไหนแล้วเหตุใดจึงกลายเป็นแพรวพรรณแทนที่จะเป็นรันชรี นางสังเกตดูพฤติกรรมต่างๆ ของแพรวพรรณก็พอจะเดาออกว่าหญิงสาวผู้นี้หวังอะไรจากลูกชายของตน ซึ่งนางจะไม่มีวันยอมเด็ดขาด เพราะนางรู้ถึงที่มาที่ไปของคนในครอบครัวนี้ดีว่าเป็นเช่นไร รวมไปถึงนิสัยใจคอของแพรวพรรณที่นางรู้จักมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย
นางเริ่มสร้างกำแพงบางๆ กั้นระหว่างตนเองกับหญิงสาว พลางมองไปยังบุตรชายด้วยความเป็นห่วงถึงการเข้ามาของแพรวพรรณ
แต่ถ้าหากนางได้ล่วงรู้ถึงเหตุการณ์ที่ผ่านพ้นไปเมื่อสองคืนก่อน นางเองอาจจะกลับไปอยู่โรงพยาบาลอีกครั้งก็เป็นได้
“เดี๋ยวแพรวพาคุณป้าขึ้นข้างบนนะคะ” หญิงสาวพยุงร่างหญิงสูงวัยที่กำลังจะเดินขึ้นบันไดไปชั้นบน
“ขอบใจจ้ะ หนูแพรว ไม่เป็นไร ป้าเดินเองได้” ผู้เป็นมารดาตัดบทไป ทำเอาหญิงสาวหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย
ภายในห้องนอนที่นางคุ้นเคย นางทิ้งตัวลงบนเก้าอี้หวายตัวโปรดริมหน้าต่าง เสียงใบไม้กระทบกับสายลมยามบ่ายเช่นนี้ กับเคหาสน์สถานที่ห่างไปเสียแรมปี วันนี้นางกลับมาแล้ว ความรู้สึกสุขใจบังเกิดขึ้นแต่จะให้มันสมบูรณ์มากที่สุด รันชรีน่าจะอยู่ที่นี่อีกคนหนึ่งไม่ใช่แพรวพรรณที่เธอปล่อยให้สนทนากับบุตรชายอยู่ชั้นล่าง
นางมองหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋า แล้วกดไปยังหมายเลขของรันชรี
“รันหรือลูก หนูอยู่ไหน”
“รันอยู่บ้านที่กรุงเทพฯ ค่ะ รันขอโทษนะคะ ที่ทำอะไรโดยไม่บอกแม่ก่อน”
“มีอะไรกัน เล่าให้แม่ฟังได้ไหม แล้วนี่รันจะกลับมาเมื่อไร”
“เร็วๆ นี้ค่ะแม่ แล้วรันจะกลับไปเล่าทุกอย่างให้แม่ฟังนะคะ”
ตู๊ด........................
สัญญาณโทรศัพท์ถูกตัดไป
ผู้เป็นมารดาพยายามกดหมายเลขโทรศัพท์ไปอีกครั้ง แต่ทว่ากลับติดต่อไม่ได้ นางได้แต่คิดไว้ว่าเมื่อรันชรีกลับมา คงจะรู้เรื่องทุกอย่าง
เป็นเวลาเดียวกับที่วิญญาณของรันชรียืนอยู่ข้างๆ หญิงสูงวัยและก้มกราบลงที่ปลายเท้าพร้อมทั้งกล่าวคำว่าขอโทษ น้ำตาหยดเล็กๆ ร่วงเผลาะลงที่หลังเท้าของผู้เป็นแม่แต่นางหารู้สึกใดไม่ แต่เมื่อวิญญาณนั้นเงยหน้าขึ้นมา น้ำตาสีใสเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงและเข้มขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นเลือดหยดออกมาจากตาทั้งสองข้าง
ผู้เป็นมารดาต่อว่าต่อขานบุตรชาย เรื่องที่ไม่ได้ติดต่อกับรันชรี ทำให้ไม่ทราบว่าขณะนี้เพื่อนตนเองอยู่ที่ไหน นางจึงบอกบุตรชายว่าอีกไม่นานรันชรีจะกลับมา เพราะนางเพิ่งคุยโทรศัพท์กับหญิงสาวเมื่อพักใหญ่ที่ผ่านมา แม้ฝ่ายบุตรชายจะทำเป็นไม่ได้ยิน แต่เขาเองกลับรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อรู้ว่ารันชรีอยู่ที่ไหน แต่การที่หญิงสาวกล่าวกับมารดาตนว่าอีกไม่นานจะกลับมาที่นี่ ความขุ่นหมองกับเหตุการณ์ที่ผ่านพ้นมันได้ทะลักล้นออกมาจากใจอีกคราหนึ่ง
เมื่อผู้เป็นมารดาเดินผละออกไป แพรวพรรณที่ยืนฟังและดูเหตุการณ์ทั้งหมด ก็รีบเข้ามาประกบชายหนุ่มในบัดดล
“ขอโทษนะโชค แพรวไม่ได้แอบฟัง แต่เผอิญได้ยิน โชคต้องเล่าเรื่องที่นังรันมันขโมยเงินไปให้ผู้ชายให้คุณป้าฟังนะ” แพรวพรรณรีบบอกชายหนุ่ม
“แม่เพิ่งออกจากโรงพยาบาล เราไม่อยากให้แม่ต้องมารับรู้เรื่องราวที่มันไม่ดี และที่สำคัญมันก็ผ่านไปแล้วด้วย”
“ใครขโมยเงินใคร”
เสียงราบเรียบของผู้เป็นมารดา หากแต่แฝงไปด้วยอำนาจที่โชคคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก
คนทั้งคู่หันไปหาที่มาของเสียง
“ก็นังรันไงค่ะคุณป้า ที่มันหายไปเพราะว่ามันขโมยเงินของร้านไปให้ผู้ชาย โชคก็เลยไล่มันออกจากร้านแล้วยึดหุ้นทั้งหมดของมัน นี่แพรวบอกให้โชคแจ้งความ โชคก็ยังใจดีปล่อยมันไปเฉยๆ เสียอย่างนั้น”คำพูดพรั่งพรูออกมารวดเร็วจากปากของแพรวพรรณโดยที่ชายหนุ่มห้ามไม่ทัน
แต่ผู้ที่เป็นมารดากลับฟังด้วยใบหน้าเรียบเฉย เพราะนางคิดไว้แล้วว่าต้องมีเรื่องราวผิดปกติอย่างแน่นอน
“แล้วรันเขายอมรับเหรอว่าเขาเอาเงินไปให้ผู้ชายจริง”
“ก็มันเป็นคนทำบัญชีแล้วเงินก็หายไป ถ้ามันไม่เอาไปแล้วใครจะเอาไปละคะคุณป้า ถามมาได้”แพรวพรรณตอบตามอารมณ์ของตน
“ป้าถามโชคนะแพรว”นางหันหน้าทางหญิงสาว
ไม่มีคำตอบใดๆ จากผู้เป็นบุตรชาย
“ลูกลองพิจารณาดูนะ ลูกกับรันคบกันมากี่ปี ย่อมรู้จักนิสัยใจคอกันดี ปัญหาทุกอย่างมันมีทางออกคือการพูดคุย การหันหน้ามาพูดคุยกันเท่านั้นจะสามารถทำให้ทุกอย่างมันคลี่คลายลงไปได้” นางเอ่ยกับบุตรชาย
“แต่แม่...มันจบแล้ว ถ้ารันเขาไม่ได้ทำเขาจะยอมไปจากที่นี่ง่ายๆ เหรอครับ”
“แม่เชื่อว่ารันต้องมีเหตุผล”
“แม่นี่ยังไงกัน ผมเป็นลูกแม่นะ แม่กลับไปเข้าข้างคนอื่น” ชายหนุ่มเริ่มมีอารมณ์ขึ้นมา เมื่อถูกมารดาจี้ถูกจุด
“รันไม่ใช่คนอื่น ลูกลองมองย้อนไปสักนิดนะโชค รันเป็นเด็กที่น่าสงสาร มีแม่เหลือเพียงคนเดียวก็ต้องมาตายจากไป ส่วนพี่สาวและป้านั้นต่างคนก็ต่างมีครอบครัวของตัวเอง แม่ถือว่ารันเก่งทีเดียวที่เลี้ยงตัวเองได้จนสามารถซื้อบ้านซื้อรถได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองไม่ต้องพึ่งพาเงินจากใคร และก็เชื่อว่ารันย่อมมีเหตุในการทำอะไรลงไป”
ระหว่างที่พูดนางหันไปมองหน้าแพรวพรรณ ทำให้ผู้ถูกมองสัมผัสได้ถึงกำแพงที่หญิงสูงวัยเบื้องหน้านี้กำลังก่อขึ้นมา
“การที่รันตัดสินใจมาอยู่ที่นี่กับเรา นั่นก็หมายความว่ารันย่อมจะวางใจในตัวลูกและเชื่อว่านี่คือครอบครัว แม่ไม่เคยคิดว่ารันคือคนอื่น ลูกจำได้ไหม เมื่อก่อนเวลาลูกทำอะไรผิด ลูกก็ไม่กล้าที่จะบอกพ่อกับแม่ แต่เมื่อเราได้พูดคุยกัน ทุกอย่างมันก็คลี่คลายได้เอง แม่ถือว่ารันคือคนในครอบครัว ฉะนั้นลูกต้องคุยกับรัน เชื่อแม่ โทรหารันซะแล้วตามรันกลับมานะลูก”
คำพูดของมารดา ทำให้ชายหนุ่มถึงกับหนักอึ้งในหัว เพราะความโกรธและเจ็บใจ เขาลืมคิดไปจริงๆ ว่าจริงๆ แล้วรันตัวคนเดียว เขาและครอบครัวถือเป็นครอบครัวที่รันมีอยู่ในขณะนี้ แล้วถ้ารันออกไปจากที่นี่แล้วเธอจะเป็นอย่างไร
เท่านั้นความรักความผูกพันธุ์ที่มันตกตะกอนอยู่ในใจก็ถูกเขย่าให้มันล่องลอยขึ้นมาอีกครั้ง
“โชค อย่าไปตามมันนะ แม่โชคไม่รู้ถึงความร้ายกายของมัน โชคกับแพรวรู้ทุกอย่างว่ามันทำอะไรไว้ คุณป้าอยู่โรงพยาบาลไม่รู้อะไรหรอก”แพรวพรรณกระเถิบเข้ามานั่งจนเนื้อตัวชิดกับชายหนุ่ม พลางพูดด้วยเสียงเล็กแหลม ทำเอาชายหนุ่มถึงกับผงะ
“พอก่อนแพรว เราขออยู่เงียบๆ สักพักนะ”
.......................................................................................................................................