ตอนที่ 7
เช้าวันใหม่กับเมืองเล็กๆ ที่กำลังโตเมืองนี้ หลังจากทั้งสองสาวจัดการกับเอกสารทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว คุณสมชายผู้จัดการทั่วไป กำลังจะพาทั้งคู่เข้าพบหัวหน้าฝ่ายการตลาดที่เธอทั้งสองจะต้องวาดลวดลายในการทำงานครั้งนี้ไว้กับคนๆ นั้น แต่แล้วหนึ่งในสองของหญิงสาวก็ต้องชะงักเมื่อสายตาปะทะกับป้ายชื่อหน้าห้อง
“กิตติ คุณานันทการ”
ชายที่เธอคนนั้นตกหลุมรักอยู่ เขาเป็นหัวหน้าเขตอย่างนั้นหรือ?
ภาพของชายในความฝันปรากฏในทันทีทันใด หญิงสาวได้แต่ภาวนาว่าขออย่าให้เป็นคนๆ เดียวกับคนในฝัน ว่าแล้วเธอจึงหันหลังกลับมาถามพนักงานชายที่พาเธอทั้งสองมาพบกับหัวหน้าฝ่ายการตลาดนี้
“คุณกิตติเพิ่งย้ายมาจากเขตภาคตะวันออกเมื่อต้นเดือนนี้เอง ก่อนหน้านี้คุณกิตติมาสำรวจตลาดที่นี่ และเขียนแผนการตลาดส่งไปให้สำนักงานใหญ่ ทางสำนักงานใหญ่ก็เลยดึงตัวคุณกิตติมาประจำที่เขตนี้ และส่งพวกคุณทั้งสองคนมานี่แหละครับ บริษัทเรากำลังจะมีคู่แข่งมากขึ้นทันทีที่ห้างสรรพสินค้าเปิด คุณกิตติเป็นคนเก่งใครๆ ที่อยู่ที่บริษัทเกิน 10 ปี รู้กิตติศัพท์ดีครับ” ผู้จัดการคนเดิมเล่าถึงที่มาของหัวหน้าเขต
แหม่มพยักหน้าหงึกๆ พร้อมกับจังหวะของหัวใจที่เต้นถี่และแรงขึ้น แต่ไม่ทันที่จะสะกิดบอกชมพู่ ประตูห้องทำงานนั้นก็ถูกเปิดออก
เสียงหัวใจของหญิงสาวเต้นอย่างจับจังหวะไม่ได้
“หัวหน้าครับ คุณชโลธรและคุณชมพูนุช จากสำนักงานใหญ่ครับ”
คุณสมชายกล่าวแนะนำหญิงสาวทั้งสองต่อผู้เป็นหัวหน้า
ไม่ผิดคนแน่ แหม่มจ้องมองชายที่อยู่เบื้องหน้าตาไม่กระพริบ เป็นเขาจริงๆ ด้วย ชายคนรักของเธอคนนั้น อะไรหนอชักพาให้แหม่มต้องมารับรู้กับเรื่องราวเช่นนี้ เธอเริ่มสับสนอยู่ในใจลึกๆ ก่อนจะยกมือไหว้และกล่าวคำแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ
เขาดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าที่เธอพบในความฝัน น้ำเสียงทุ้มนุ่มลึกที่คุ้นเคยนั้น หญิงสาวเคยได้ยินมาแล้วจากความฝัน แม้หน้าตาจะไม่ถึงกับหล่อเหลามาก แต่จากบุคลิกโดยรวมแล้วเขามีเสน่ห์น่าดู โดยเฉพาะการพูดจา ที่ไพเราะรื่นหูจริงๆ ยิ่งประกอบกับน้ำเสียงของเขาแล้ว มันไม่แปลกเลยที่จะทำให้คุณรันของเธอหลงใหลในน้ำเสียงนี้
ในห้องๆ นั้นมีพนักงานนั่งอยู่แล้วสี่คน ทุกคนมีเอกสารวางอยู่ตรงหน้า เสมือนกำลังประชุมนอกรอบกันอยู่ กิตติเชื้อเชิญให้หญิงสาวทั้งสองนั่งตรงเก้าอี้ที่จัดวางไว้ให้ แล้วเริ่มพูดคุยถึงเรื่องแผนการตลาดทันที
“คุณชโลธร คุณมีอะไรจะเสนอหรือเปล่าครับ”ชายผู้อยู่เบื้องหน้าเอ่ยถาม
กว่าสองชั่วโมงแห่งการพูดคุย ทุกคนต่างเสนอความคิดเห็นต่างๆ นานา สำหรับการแผนการตลาดที่กิตติแจกเอกสารให้ คงมีแต่ผู้ถูกถามเพียงคนเดียวที่ไม่เสนอความคิดเห็นใดๆ กิตติ มองดูหญิงสาวตรงหน้าพลางเลิกคิ้วขึ้นแล้วผายมือออกข้างหนึ่ง เป็นการบีบให้เธอต้องเสนอความคิดเห็นกรายๆ
“ค่ะ ดีค่ะ จะเริ่มเปิดอบรมพรุ่งนี้ รอบแรกเป็นหน้าที่ของดิฉัน ส่วนรอบบ่ายเป็นหน้าที่ของคุณชมพูนุชค่ะ”
แหม่มหลุดออกจากภวังค์ความคิดของตนเอง เธอละล่ำละลักตอบจนผู้เข้าร่วมวงสนทนาทุกคนหันมามองเป็นสายตาเดียวกัน
“เอาละครับ ถ้าไม่มีใครเสนออะไรเพิ่มเติม ก็สรุปตามนี้เลยนะครับ”
ชายผู้มีตำแหน่งสูงสุดในขณะนี้พูดพร้อมกับรวบรวมเอกสารด้านหน้ามาไว้ในมือ ก่อนจะเอ่ยปากทักทายเป็นการส่วนตัวกับหญิงสาวทั้งคู่ ที่ทางสำนักงานใหญ่การันตีถึงฝีไม้ลายมือในการทำงาน แต่เขาจะเชื่อคำบอกเล่าจากสำนักงานใหญ่ หรือเชื่อจากสายตาตนเอง เพราะหนึ่งในผู้ที่มานั้นไม่ออกความคิดเห็นใดๆ เลยในที่ประชุมที่เพิ่งผ่านไป เอาแต่นั่งนิ่งและมองหน้าเขาอยู่ตลอดการประชุม
“คุณชโลธร คุณชมพูนุช ประชุมเสร็จแล้วคุณสมชายจะพาคุณทั้งสองคนไปบ้านพักที่ทางบริษัทจัดไว้ให้ ผมต้องขอตัวไปดูพื้นที่สักหน่อยครับ”
พูดจบผู้เป็นหัวหน้าหันมายิ้มให้กับทั้งคู่ ก่อนที่จะออกจากห้องประชุมไป แหม่มหันหน้าไปหาเพื่อนด้วยสายตาที่หวั่นๆ แล้วรีบสะกิดให้เพื่อนรีบเดินตามออกจากห้องประชุมโดยไม่พูดจาใดๆ
ระหว่างเดินทางกลับที่พัก แหม่มเล่าเรื่องหัวหน้าเขตกับชายในฝันให้ชมพู่ฟังโดยละเอียดว่าเป็นคนๆ เดียวกัน ผู้สนทนานั่งนิ่งฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ ซึ่งแหม่มเองก็ไม่รู้ว่าชมพู่มีความคิดอย่างไรในเรื่องนี้
“แหม่ม ฉันว่าผู้หญิงคนนั้น คุณรันอะไรของแกน่ะ เขาต้องการให้เราช่วยเขาร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่อย่างนั้นทุกอย่างมันจะไม่ประจวบเหมาะขนาดนี้หรอก”
ชมพู่ออกความคิดเห็น
“มันก็จริงอย่างที่แกว่า เรากับก้อยไม่ได้เจอกันมาเป็นปี อยู่ๆ ก้อยก็ชวนไปสำรวจบ้านร้าง แล้วเราก็ได้รับคำสั่งให้มาทำงานที่นี่ และก็เจอ...คุณกิตติ” แหม่มกำลังลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้ที่พบกับกิตติ มันคงจะจริงอย่างที่ชมพู่ว่า
“ถ้าคุณรันเขาอยากให้ฉันช่วยเขาจริงๆ ฉันก็จะช่วย แต่ตอนนี้ฉันอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเธอ และเธอตายได้อย่างไร ตายเมื่อไหร่ แล้วทำไมวิญญาณของเธอถึงยังอยู่ที่บ้านร้างหลังนั้น”
................................................................................................................................
เมฆเคลื่อนตัวลงต่ำ สีทึมทะมึนของมันข่มขวัญผู้เฝ้ามอง บนชั้น 4 ของโรงแรมระดับสามดาว ของเมืองนี้ แหม่มยืนพิงขอบหน้าต่าง ทอดตาไปยังทิวทัศน์ของเมืองที่ตอนนี้กำลังถูกปกคลุมด้วยความมืดของเมฆฝน ชมพู่กำลังเก็บสัมภาระต่างๆ ให้เรียบร้อย เพื่อรอเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า คุณสมชายจะพาพวกเธอไปยังบ้านเช่าที่ทางบริษัทเช่าไว้สำหรับพนักงาน
ไม่นานนักเม็ดฝนเล็กๆ นับล้านเม็ดก็กระหน่ำซัดลงมายังเบื้องล่าง ภายนอกหน้าต่างตอนนี้ เหมือนจะถูกกลืนกินไปด้วยลมและฝน แหม่มเลื่อนหน้าต่างปิดอย่างแน่นหนาแต่สายตายังมองออกไปข้างนอกอย่างไม่หยุดนิ่ง เมืองนี้มีแม่น้ำสายใหญ่ไหลพาดผ่านกลางเมือง มันเลี้ยวลดเหมือนงูตัวมหึมานอนขวางอยู่กลางเมือง ขณะนี้หยดน้ำฝนคงจะไปรวมตัวกับน้ำที่อยู่ในแม่น้ำนั้นอย่างกลมเกลียว ภาพต่างๆ ค่อยๆ เลือนไปและกลายเป็นสีขาวไปในที่สุด
“ฉันจะต้องรู้ให้ได้”แหม่มพึมพำกับตัวเอง
“เธอได้รู้แน่ชโลธร แต่ตอนนี้ฉันยังไม่สามารถทำในสิ่งที่ฉันอยากทำได้ เธอต้องนั่งสมาธิและภาวนาเท่านั้น ส่งกระแสภาวนานั้นมาให้ฉัน เพื่อให้ฉันกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง” เสียงของรันชรีแว่วอยู่ข้างหูของหญิงสาว แต่ทว่ากลับได้ยินไม่ชัดเจนเท่าใดนัก
..................................................................................................................................
หญิงสาวฉีกยิ้มกว้างจนหุบไม่อยู่ เมื่อมาถึงบ้านพักที่ทางบริษัทเตรียมไว้ให้ จากประตูรั้วใหญ่จนถึงโรงจอดรถถูกเทคอนกรีตไว้ตลอดแนวไปจนถึงตัวบ้าน หน้าบ้านเป็นสนามหญ้าเล็กๆ ที่ถูกตัดแต่งไว้อย่างสวยงาม ตัวบ้านเป็นบ้านชั้นเดียวกะทัดรัดเหมาะสำหรับครอบครัวที่ไม่ใหญ่นัก สีเขียวอ่อนของบ้านดูกลืนไปกับสีเขียวของต้นมะม่วงหลังบ้านที่ระดับความสูงโผล่พ้นหลังคาบ้านออกมาให้เห็น แม้ว่าตอนนี้แหม่มจะยืนอยู่หน้าบ้านก็ตาม
มองเลยไปทางด้านหลังเป็นรั้วสูงระดับหัวเข่า จากแนวตรงรั้วหักมุมออกเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสยื่นออกไป ที่ว่างในพื้นที่สี่เหลี่ยมนั้นมีเก้าอี้โยกหวายตัวใหญ่ยืนตระหง่านเหมือนจะรอให้ผู้อาศัยมานั่งพักพิง ข้างๆ กันนั้นเรียงรายไปด้วยกระถางต้นกุหลาบ ที่ตอนนี้กำลังแข่งกันเบ่งบานอวดสีสันทั้งขาวและแดง
แต่นั่นเองทำให้หญิงสาวถึงกับก้าวขาแทบไม่ออก พื้นที่สี่เหลี่ยมนั้น ทอดตัวออกไปสู่แม่น้ำ เก้าอี้โยกหวายตัวใหญ่ กระทั่งเหล่ากระถางดอกกุหลาบนั้น มันเป็นสถานที่เดียวกับที่รันชรีและกิตติเคยอยู่ ซึ่งบัดนี้มันกำลังจะกลายเป็นเคหาสถานชั่วคราวของเธอและชมพูนุช
“มันต้องมีอะไรในบ้านนี้” กังวานหนึ่งของความคิด
“บ้านหลังนี้บริษัทเช่าไว้ให้กับเจ้าหน้าที่ครับ เป็นของคนรู้จักกัน เจ้าของบ้านเขาชอบจัดสวนพอรู้ว่าพวกคุณจะมาเขาก็ให้คนมาทำความสะอาด และตัดแต่งต้นไม้ดอกไม้ อย่างที่เห็นนี่ละครับ เมื่อก่อนคุณกิตติก็เคยอยู่บ้านหลังนี้”
เป็นจริงอย่างที่เธอคิด ภาพในความฝันนั้น มันเป็นจริง บ้านหลังนี้มีห้องนอนสามห้อง ห้องรับแขกอยู่ทางด้านหน้าสุด และด้านหลังมีพื้นที่เล็กๆ สำหรับทำครัว หลังจากแบ่งห้องนอนกันเสร็จสรรพเรียบร้อย การจัดวางข้าวของใช้เวลาไม่มากนัก แหม่มหยิบแฟ้มเอกสารที่เพิ่งประชุมเสร็จสิ้น แล้วพาตัวเองออกมานั่งเก้าอี้โยกริมแม่น้ำ
“คุณกิตติเคยอยู่บ้านหลังนี้ งั้นก็แสดงว่าคุณรันก็ต้องเคยมาที่บ้านหลังนี้เหมือนกัน” หญิงสาวรำพึงกับตนเอง
“คุณรันขา ตอนนี้แหม่มมาอยู่ในบ้านที่คุณรันเคยอยู่มาก่อน หากคุณรันต้องการจะบอกอะไรกับแหม่มก็บอกมาเถอะค่ะ แหม่มจะได้ช่วยคุณรันไงคะ” อีกครั้งที่หญิงสาวพูดขึ้นมา ราวกับว่าสนทนาอยู่กับใครบางคนอยู่
แต่หญิงสาวหารู้ไม่ว่า ผู้ที่เธอกำลังสนทนาด้วยนั้น จริงๆ แล้วนั่งที่เก้าอี้เล็กๆ ริมกระถางกุหลาบข้างๆ เธอนั่นเอง
“ได้สิชโลธร ฉันจะพาเธอไปดู ไปดูให้เห็นความเลวของคนๆ นี้”
แม้จะเพิ่งอ่านเอกสารเพียงสองหน้าเท่านั้น แต่ทำไมตอนนี้หนังตาของแหม่มถึงได้หนักอึ้ง ราวกับถูกถ่วงไว้ด้วยหิน ยากเย็นที่จะฝืนอ่านสิ่งที่อยู่ในมือต่อไป
...............................................................................................................................................
หญิงสาวพลิกตัวพร้อมกับยืดแขนโอบกอดชายที่นอนอยู่ข้างๆ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันแสนสุข ฝ่ายชายลืมตาขึ้นช้าๆ และโอบกอดฝ่ายหญิงบ้าง ทั้งคู่อยู่บนเตียงโดยปราศจากอาภรณ์ใดๆ ปกปิดร่างกาย มีเพียงผ้าแพรผืนบางเท่านั้นที่ห่มคลุมร่างกายของคนทั้งสองอยู่
“รันรักคุณนะคะ ต่อไปนี้ทั้งกายและใจของรันเป็นของคุณคนเดียว แล้วคุณรักรันหรือเปล่าค่ะ”หญิงสาวกระซิบข้างหูชายคนรัก
“คุณดูเอาเองเถอะรัน ว่าผมรู้สึกอย่างไรกับคุณ คำพูดมันไม่สำคัญเท่าการกระทำหรอกที่รัก คุณรอผมนะที่รัก”หญิงสาวหอมแก้มชายที่อยู่ข้างกายฟอดใหญ่ ฝ่ายชายเชยคางหญิงสาวขึ้นมาและบรรจงใช้ริมฝีบางแนบไปที่ริมฝีปากของอีกฝ่าย หญิงสาวหลับตาพริ้มเหมือนเธอจะหมดเรี่ยวหมดแรงไปในขณะนั้น
สลับกันเป็นภาพของชายหญิงทั้งคู่ทำกิจกรรมต่างๆ ในบ้าน บ้านหลังนี้ และอีกหลังหนึ่งซึ่งก็คือบ้านร้างหลังนั้นนั่นเอง กวาดบ้าน ถูบ้าน ทำอาหาร รดน้ำต้นไม้ นั่งทานอาหาร ฝ่ายหญิงวิ่งไปเปิดประตูบ้าน ฝ่ายชายลงจากรถแล้วยื่นกระเป๋าเอกสารให้ฝ่ายหญิง นับไม่ถ้วนของอิริยาบถของทั้งคู่ สลับกันไปมา ทั้งที่บ้านหลังนี้และที่บ้านร้าง
“เลี้ยวตรงสามแยกนั้น เดี๋ยวถึงบ้านรันแล้วค่ะ” หญิงสาวบอกชายที่นั่งอยู่ฝั่งคนขับ ทั้งคู่สบตาแล้วส่งยิ้มให้กันแทนคำพูด
“คุณเสร็จงานเมื่อไหร่ รันจะพาคุณไปรู้จักกับป้าและพี่สาวของรันนะคะ”
“ได้สิที่รัก ผมก็อยากรู้จักครอบครัวของคุณ อีกหน่อยเราก็จะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนี่”
ความสุขของหญิงสาวมันเอ่อล้นมาจนเต็มใบหน้าอันเปื้อนยิ้มนี้
“แล้วคุณบอกเพื่อนคุณว่ายังไง ผมก็ลืมถามไปเสียสนิท”
“รันบอกว่ากลับมาเยี่ยมพี่สาวและป้า แล้วช่วงนี้ก็เงียบๆ ด้วย โชคอยู่ที่ร้านคนเดียวก็คงได้”
แม้บ้านหลังนี้จะถูกปิดไว้เกือบสองปี แต่หญิงสาวก็จ้างแม่บ้านให้มาทำความสะอาด โดยมีป้าของเธอดูแลอยู่ ทำให้เมื่อเธอกลับมาบ้านจึงพร้อมอยู่อาศัย
กว่าสิบวันของการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในบ้านหลังนี้ มันคือความทรงจำที่รันชรีบอกตัวเองว่าจะไม่มีวันลืมเลือนแม้สักวินาทีเดียว เธอไม่เคยคาดคิดว่าการมีชีวิตครอบครัวและการได้อยู่กับคนที่ตนรักนั้น จะมีความสุขได้ถึงเพียงนี้
ดินเนอร์ใต้แสงเทียนริมสระน้ำ ดอกกุหลาบสีแดงดอกโตบนแจกันแก้วใบใสวางอยู่กลางโต๊ะ เลื่อนต่ำลงมาอีกนิดเป็นชั้นไม้สีน้ำตาลที่ด้านบนมีถังแช่ไวน์ และแก้วไวน์เนื้อดีอีกสองใบ ทุกอย่างถูกจัดไว้อย่างลงตัว รอเพียงชายคนรักกลับมาเท่านั้น อาหารเลิศรสจะถูกยกออกมาเสิร์ฟทันที
“รันดีใจที่ได้พบคุณ ขอบคุณมากนะคะ ที่มาช่วยเติมเต็มชีวิตรันให้มีความสุขได้ถึงเพียงนี้” หญิงสาวเอ่ยต่อชายคนรัก
เงียบ คงมีเพียงความเงียบเท่านั้นจากชายคนรัก หากแต่หญิงสาวกลับคิดว่าเขาคงจะสนใจอยู่ที่อาหารจานโปรดเสียมากกว่า จึงไม่ทันฟังสิ่งที่ตนพูดออกไป หญิงสาวได้นึกขำ เขาคงเหนื่อยและหิวมากสินะ
“คุณทำอาหารอร่อยมากเลยนะรัน”คำชมของฝ่ายชายยิ่งเพิ่มความยาวนานของรอยยิ้มนั้นไปอีก
“กิตติค่ะ ถ้าคุณจะย้ายมาประจำสำนักงานใหญ่ รันก็จะย้ายกลับมาเหมือนกันค่ะ แล้วเราจะได้อยู่ด้วยกันที่นี่ไงคะ” หญิงสาวเสนอความคิดเห็น
ชายคนรักนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง
“ก็ดีเหมือนกันนะรัน เราจะได้อยู่ด้วยกัน คุณรอผมหน่อยก็แล้วกันนะที่รัก”
“ได้ค่ะ รันรักคุณ รันรอคุณได้เสมอ” ความสุขที่มันล้นปรี่ในบัดนี้มันได้ทะลักล้นมาทั้งทางสีหน้า แววตา และรอยยิ้มของหญิงสาว
แต่หลังจากการประชุมเสร็จสิ้น รันชรีต้องรีบกลับมาที่ร้านอาหารด่วนเพราะมารดาของเพื่อนไม่สบาย เธอจึงไม่มีโอกาสพาชายคนรักไปพบกับป้าและพี่สาว ส่วนพ่อเธอนั้นเสียชีวิตไปตั้งแต่เธอเรียนประถม และแม่เธอเพิ่งเสียชีวิตไปด้วยโรคมะเร็งหลังจากเธอเรียนจบได้ปีเดียว มีเพียงป้าและพี่สาวเท่านั้นที่นับเป็นญาติสนิทเหลือมีอยู่
ตลอดเวลาที่ขับรถกลับหญิงสาวคิดว่าเมื่อกลับถึงร้านจะเล่าเรื่องระหว่างเธอและกิตติให้โชคฟัง แต่เมื่อมาถึงโชคต้องพาแม่เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ จึงทำให้ทั้งคู่สวนทางกัน เธอเห็นว่าเพื่อนกำลังยุ่งอยู่กับอาการป่วยของมารดาจึงยังไม่ได้เอ่ยปากเรื่องนี้แต่อย่างใด
“รัน ช่วงนี้ฉันต้องให้แกดูแลร้านไปคนเดียวก่อนนะ แล้วฉันจะให้แพรวกับนนท์เข้าไปช่วย ฉันต้องไปเฝ้าแม่ที่โรงพยาบาล มีอะไรก็โทรมาแล้วกัน”
การสนทนาครั้งล่าสุดระหว่างเพื่อนรักทั้งสอง ทั้งๆ ที่เธอเองอยากจะบอกเพื่อนไปว่าไม่เห็นด้วยกับการให้คนทั้งคู่เข้ามายุ่งเกี่ยว แต่ทว่าปลายสายวางหูไปเสียก่อน เธอจึงได้แต่ถอนหายใจเมื่อนึกถึงความร้ายกาจที่โชคยังไม่รู้
........................................................................................................................
ฝนกำลังกระหน่ำ ผู้คนในร้านอาหารดูบางตา รันชรีนั่งมองดูโทรศัพท์แล้วถอนหายใจเบาๆ เธอจ้องมองโทรศัพท์อยู่นานสองนาน จนไม่รู้ว่ามีสายตาสองคู่ลอบมองมาจากหน้าร้าน
ย่างเข้าวันที่ห้าแล้ว ที่กิตติขาดการติดต่อไป เขาไปไหน ทำอะไร อยู่กับใคร ทำไมจึงไม่รับโทรศัพท์หรือโทรกลับ มากมายคำถามที่วนเวียนอยู่ในความคิดของหญิงสาว ในวันแรกรันชรีคิดว่าเขาคงจะยุ่งอยู่กับงาน แต่นี่ห้าวันเข้าไปแล้ว หากเขาเห็นว่ารันชรีโทรไปหาทุกวันอย่างน้อยเขาน่าจะโทรกลับบ้าง คงมีแต่ความเงียบและคำถามเท่านั้นที่อยู่รอบๆ ตัวหญิงสาว
“คิดถึงนะ ถ้าว่างแล้วโทรกลับด้วย”รันชรีกดส่งข้อความไปยังเบอร์ปลายทาง
“รอโทรศัพท์ใครอยู่เหรอรันชรี”แพรวพรรณนั่นเอง ใบหน้าสวยที่ปิดบังจิตใจอันชั่วร้ายไว้ กำลังย่างก้าวเข้ามาในร้านพร้อมกับคำถาม
“เธอมาทำอะไรที่นี่ แล้วฉันก็ไม่ได้รอใครทั้งนั้น ฉันนั่งฟังเสียงฝนต่างหาก” หญิงสาวเงยหน้าจากจอโทรศัพท์มือถือ และหันไปมองแขกที่เธอไม่ได้เชื้อเชิญ
“เธอแน่ใจหรือว่าเธอไม่ได้รอโทรศัพท์จากใคร แล้วที่ฉันมานี่ก็เพราะโชคขอร้องให้ฉันมาทำหน้าที่หุ้นส่วนแทน”แพรวพรรณยิ้มอย่างหยิ่งผยอง
เป็นเวลากว่าเจ็ดเดือนแล้วที่หญิงสาวเปิดใจคบหากับชายผู้นี้ แม้จะยังไม่เปิดเผยว่าเขาคือ “คนรัก”แต่ทว่าพฤติกรรมทุกๆ อย่างระหว่างเธอและกิตติทุกคนต่างทราบดีว่าทั้งสองมีความสัมพันธ์กันในลักษณะใด รันชรีตัดสินใจเล่าให้โชคฟังทางโทรศัพท์ ว่าเธอรักชายคนนี้และอยากใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน
“แกจะคบหากับใครมันเป็นสิทธิ์ของแก เราต่างก็โตกันแล้ว”
เป็นคำพูดที่โชคบอกหลังจากเธอบรรยายถึงความรู้สึกต่างๆ นานาให้ฟังน้ำเสียงนั้นดูเคร่งเครียดและเย็นชา รันชรีได้แต่คิดว่าเพื่อนคงพะวงเกี่ยวกับอาการป่วยของมารดา เธอจึงรู้สึกผิดเสียด้วยซ้ำที่เอาเรื่องส่วนตัวของตนไปใส่สมองเพื่อน
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ปลุกรันชรีขึ้นมาจากความคิดอันจ่อมจม พลันเห็นชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์ ทำให้เธอยิ้มขึ้นมาได้ทันทีทันใด
“รันคิดถึงคุณมาก คุณหายไปไหนมา ทำไมไม่รับโทรศัพท์รันค่ะ”ความรู้สึกที่ถูกอัดอยู่ในใจถูกเผยออกมาในทันทีที่รับสาย
“ผมขอโทษนะรันที่ไม่ได้ติดต่อคุณ ผมมีปัญหาเรื่องงาน และตอนนี้ผมกำลังเดือดร้อน”
“เป็นอะไรมากไหมคะ มีอะไรให้รันช่วยไหม” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยความห่วงใยยิ่ง
“รัน มันยากลำบากเหลือเกินกว่าผมจะตัดสินใจที่จะบอกคุณ”หญิงสาวทวีความสงสัย
“ผมพลาดเองที่ไม่รอบคอบในการดูเอกสาร ผมเซ็นต์เอกสารให้พนักงานเบิกสินค้าไปมูลค่าเกือบสองล้าน แล้วตอนนี้พนักงานคนนั้นก็หายไปพร้อมกับสินค้าพวกนั้นทั้งหมด”
“ทำไมคุณไม่แจ้งความ”
“ก็บอกแล้วไงว่าผมพลาดที่เซ็นต์เอกสารให้เบิกสินค้าไป โดยไม่ดูจำนวนสินค้าให้ละเอียด ความผิดทุกอย่างมันอยู่ที่ผม ตอนนี้ผมต้องเอาสินค้าพวกนั้นกลับคืนบริษัทให้ได้ ไม่อย่างนั้นผมต้องเดือดร้อนมากกว่านี้แน่นอน”อีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงค่อนข้างเกรี้ยวกราดในอารมณ์
หากนับเงินเก็บของรันชรีแล้วในตอนนี้มีไม่ถึงล้าน เพราะเงินถูกนำไปเพิ่มทุนเพื่อปรับปรุงร้านครั้งล่าสุดเมื่อสามเดือนที่แล้ว แต่เธอเป็นห่วงเขาเหลือเกิน หากเขาไม่สามารถเอาสินค้ามาคืนบริษัทได้อะไรจะเกิดขึ้น มันคงไม่ยากที่จะคาดเดา ลำพังเงินเก็บของเธอมันก็ไม่พอ แวบหนึ่งในความคิด หากบวกกับเงินหมุนเวียนในร้านก็พอที่จะช่วยกิตติได้ แต่ถ้าบอกโชค เขาคงไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้เป็นแน่ รันชรีนอนคิดเรื่องนี้กว่าค่อนคืน
“ที่รัก คุณพอจะช่วยผมได้ไหม แล้วผมจะรีบหาเงินมาคืนคุณให้เร็วที่สุด”คำพูดของกิตติยังคงก้องอยู่ในกังวานของความคิด
เสียงโทรศัพท์ดังมาอีกครั้ง กิตตินั่นเอง ป่านนี้เขายังไม่หลับไม่นอน คงเครียดกับเรื่องนี้อยู่อย่างแน่นอน รันชรีเดาความรู้สึกของผู้ที่โทรมา และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ กิตติพูดด้วยน้ำเสียงที่ตึงเครียด รันชรีเป็นห่วงชายคนรักอย่างสุดหัวใจ
“ยืมเงินของร้านมาหมุนก่อนได้ไหมที่รัก”ฝ่ายชายพูดด้วยน้ำเสียงอ่อน
“มันจะดีหรือคุณ หากโชครู้เขาคงไม่ยอมหรอก”
“คุณก็อย่าให้เพื่อนคุณรู้สิ ตอนนี้เพื่อนคุณก็ไม่อยู่ ผมทำเรื่องเอารถไปเข้าไฟแนนซ์แล้ว และบ้านของผม ตอนนี้เพื่อนผมที่ทำงานบริษัทไฟแนนซ์กำลังช่วยเรื่องเอกสารอยู่ ไม่น่าจะเกินอาทิตย์หรอก คงจะทันก่อนที่เพื่อนคุณจะกลับมา”
มันก็จริงอย่างที่กิตติบอก โชคไม่อยู่ ต้องอยู่โรงพยาบาลเฝ้าแม่เป็นเดือน หากเธอนำเงินออกมาหมุนก่อน แล้วรีบคืนเข้าบัญชีก่อนโชคจะกลับมา คงไม่มีปัญหาอะไร แต่เสี้ยวหนึ่งในความทรงจำของบทสนทนาระหว่างเธอกับเพื่อน
“ฉันจะเตือนนะ ผู้ชายที่เข้ามาหาแก ก็เพราะรู้ว่าแกเป็นเจ้าของร้านๆ นี้ หากวันหนึ่งแกไม่ใช่เจ้าของที่นี่คนพวกนั้นจะยังอยากคบกับแกไหม กลิ่นเงินของแกมันหอมมากกว่ากลิ่นความเป็นผู้หญิงของแก”
เธอเคยถามตัวเองว่าเหตุใดโชคจึงมีความคิดเช่นนั้น ทั้งๆ ที่เขาเองยังไม่รู้จักกิตติเสียด้วยซ้ำ แต่หญิงสาวก็ได้แต่คิดในแง่ดีว่านั่นคือความห่วงใยที่เพื่อนมีต่อเธอ แต่ในวันนี้ชายคนที่เธอรักกำลังมาขอยืมเงินจากเธอ หรือคำพูดของเพื่อนจะเป็นจริง
ตราชั่งของความรู้สึกกำลังทำงานอย่างหนัก ข้างหนึ่งคือความรักและความห่วงใยต่อชายคนรัก อีกด้านหนึ่งของตราชั่งคือคำเตือนของเพื่อน เข็มบนหน้าปัดตราชั่งมันสั่นระริกไม่ยอมโน้มไปที่ด้านซ้ายหรือขวา มีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้นที่จะตัดสินได้ว่าอะไรที่มีน้ำหนักมากกว่ากัน
แต่แล้ว...
เงินสองล้านบาทก็ถูกโอนเข้าบัญชีกิตติ
48 ชั่วโมงนับจากนั้น ชายคนรักกลับมาหาเธอด้วยใบหน้าที่คลายกังวล หญิงสาวโอบกอดชายคนรักด้วยความคิดถึง ฝ่ายชายกอดหญิงสาวไว้แน่นยิ่งกว่า แต่หารู้ไม่ว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองอยู่ด้วยความสะใจ
“แพรวพรรณ”
หญิงสาวยืนยิ้มอย่างพออกพอใจ ก่อนจะยกหูโทรศัพท์หาอานนท์และเลี่ยงออกไปคุยนอกร้าน
“ขอบคุณนะรัน หากไม่มีคุณป่านนี้ผมคงลำบากแย่ ตอนนี้ผมกำลังเร่งเพื่อนผมเรื่องบ้านเรื่องรถ เอกสารผ่านแล้วไม่ต้องห่วงนะ ผมจะไม่ทำให้คุณเดือดร้อนเด็ดขาด” ชายคนรักกล่าวด้วยหน้าตาที่ไร้ความกังวล
“ไม่เป็นไรค่ะ รันรักคุณ รันทำทุกอย่างเพื่อคุณได้เสมอ”
รันชรีสั่งอาหารมาเต็มโต๊ะ ล้วนแล้วแต่เป็นอาหารที่ชายคนรักชื่นชอบ เธอตักอาหารใส่จานให้เขา พลางมองเขาด้วยสายอันอ่อนโยน ในวันนี้ความคิดหนึ่งกำลังผุดขึ้นมาในสมองของเธอ “อยากแต่งงาน”นี่หรือความสุขในการมีชีวิตคู่ ที่ไหนก็ได้ที่มีเขาอยู่ เธอพร้อมจะอยู่เคียงข้างเขาตลอดไป แต่การมาครั้งนี้ของชายคนรัก กลับนำข่าวร้ายมาสู่เธอ
“ผมได้รับคำสั่งจากบริษัทให้ย้ายเข้าสำนักงานใหญ่” ชายคนรักกุมมือหญิงสาวไว้แน่น
รันชรีนั่งเงียบ และรู้สึกชาๆ ที่ใบหน้า
“ทำไมคะ”
“ก็เรื่องนั้นแหละ มันถือเป็นความบกพร่องของผม คุณยังอยากจะอยู่ที่เมืองนี้หรือคุณจะกลับไปอยู่ที่บ้านของคุณ เหมือนที่เราเคยคุยกันไว้”
คิ้วโค้งได้รูปนั้น เริ่มย่นเข้าหากันอย่างเห็นได้ชัด หากเธอเลือกที่จะไปจากเมืองนี้ทั้งๆ ที่เพื่อนยังไม่สามารถจะกลับมาดูแลร้านได้ จะผิดมากไหม แต่ถ้าหากเธอต้องห่างไกลจากเขา ความรู้สึกทรมานคงเกาะกุมหัวใจเธอทุกวินาทีเป็นแน่
“คุณอยู่ที่ไหนรันก็อยู่ที่นั่นค่ะ” หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ชายหนุ่มฉีกยิ้มกว้าง กระชับมือที่กุมมือหญิงสาวไว้แน่น
“ช่วงนี้ผมต้องเคลียร์งานที่นี่ให้เสร็จก่อน แล้วถึงจะไปที่สำนักงานใหญ่ หลังจากที่ผมเอาเงินมาคืนคุณๆ กลับไปรอผมที่บ้านคุณได้เลยนะที่รัก เราจะได้อยู่ด้วยกัน” ชายคนรักกล่าวพร้อมกับแววตาหญิงสาวที่พร่างพราวไปด้วยประกายแห่งความหวัง
แม้การตัดสินใจครั้งนี้จะไม่มีการปรึกษาเพื่อน แต่หญิงสาวกลับมีความคิดอันหนักแน่น ที่หวังจะสร้างอนาคตและครอบครัวเล็กๆ กับชายที่ตนรักอย่างสุดหัวใจ
.......................................................................................................................................