ตอนที่ 6
ชื่อ “ชโลธรและชมพูนุช” ถูกพิมพ์ลงในจดหมายแนะนำตัวสำหรับการเดินทางไปยังบริษัทเครือข่ายในต่างจังหวัด เมื่อเช้า หัวหน้ามอบซองเอกสารสีขาวให้กับพนักงานหญิงทั้งคู่
แหม่มและชมพู่เพิ่งได้รับคำสั่งจากหัวหน้าให้เดินทางไปทำงานยังสาขาต่างจังหวัดเมื่อตอนสาย หลังเลิกงานหญิงสาวจึงรีบกลับที่พักเพื่อเก็บสัมภาระ เครื่องใช้ที่จำเป็นสำหรับการอยู่ต่างจังหวัดเป็นระยะเวลา 2 เดือน
“ทำไมมันกะทันหันอย่างนี้นะ” แหม่มบ่นอุบขณะเก็บเสื้อลงลงในกระเป๋าเดินทาง
“ก็ถือว่าไปเที่ยวสิแก แถมยังได้เบี้ยเลี้ยงเพิ่มอีก มองโลกในแง่บวกเข้าไว้” ชมพู่พยายามชักจูงความคิดของเพื่อนไปในทางที่ดี
“ก็ฉันคิดว่า ฉันจะลองนั่งสมาธิอย่างที่หลวงตาบอกเมื่อวาน แล้วจะไปที่บ้านหลังนั้นอีก” อีกฝ่ายกล่าวถึงเหตุผลบางอย่าง
“แกยังไม่เลิกคิดเรื่องนั้นอีกเหรอแหม่ม” ชมพู่กล่าวอย่างอ่อนใจ
แหม่มหยุดที่จะสนทนาต่อเมื่อหวนนึกถึงภาพเหตุการณ์ในความฝันที่เธอได้พบพาน มันช่างเหมือนความจริงจนเธอไม่กล้าที่จะเล่าให้เพื่อนสนิทอย่างชมพู่ฟัง หรือบางทีเธออาจจะคิดมากจนเก็บไปฝันเป็นตุเป็นตะไปเองก็เป็นได้
“เธอไม่ได้คิดไปเองหรอก ฉันมีอยู่จริง แล้วฉันกำลังจะพาเธอไปพบกับคนใจร้ายพวกนั้น” เสียงๆ หนึ่งแว่วเข้ามา
หญิงสาวหันขวับทันที เพื่อค้นหาที่มาของเสียงๆ นั้น
“หรือจะหูฝาด เราคิดมากถึงขนาดนี้เชียวหรือ” หญิงสาวหันมาตำหนิตนเอง
แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่หญิงสาวมองไม่เห็นนั้นอยู่ที่เบื้องหน้า หญิงสาวในชุดกระโปรงยาวนั้น ยืนมองอยู่ด้วยแววตาแห่งความหวัง ความหวังที่เธอรอคอยมานาน
นานมากแล้วที่หญิงสาวทั้งสองสัมผัสแต่กับความอึกทึกของเมืองหลวง ความสะดวกสบายทุกอย่างมันกลับกลายเป็นปัจจัยที่ห้าไปโดยอัตโนมัติ และหากเอ่ยถึงภาคเหนือมันก็ช่างยาวนานเหลือเกินที่เธอไม่ได้ไปเยือน แม้จะเป็นการท่องเที่ยวหรือพักผ่อนก็ตาม ใจหนึ่งก็ตื่นเต้นที่จะได้ไปต่างจังหวัด แต่อีกใจหนึ่งก็อดเสียดายไม่ได้เพราะหญิงสาวแอบคิดไว้ในใจเล็กๆ ว่าจะกลับไปที่บ้านร้างหลังนั้นอีกครั้งหนึ่ง แต่เมื่อหน้าที่การงานนำพาให้เธอต้องออกจากเมืองหลวง หญิงสาวก็ได้แต่คิดว่าไว้อีกสองเดือนเธอจะต้องกลับไปที่บ้านหลังนั้นอีกแน่นอน
ชมพู่ที่เป็นทั้งเพื่อนสนิทและเพื่อนร่วมงานถูกมอบหมายให้ไปปฏิบัติภารกิจคู่กัน ทำหน้าที่เป็นสารถีในช่วงแรกของการเดินทาง ออกจากเมืองหลวงมากว่า 3 ชั่วโมง ทิวทัศน์รอบข้างเริ่มสบายตาขึ้นเรื่อยๆ ภาพตึกสูงระฟ้าถูกแทนที่ด้วยสีเขียวของนาข้าวที่ทอดยาวไปสุดลูกหูลูกตา มันช่างเป็นภาพที่ทำให้หญิงสาวสบายตา และค่อยๆ เคลิ้มหลับไปในที่สุด
…………………………………………………………………………………………………………………
“นี่พวกเธอเป็นอะไรกัน พวกเธอต้องการอะไร”
ภาพหญิงสาวที่แหม่มเริ่มคุ้นหน้าคุ้นตากำลังสนทนากับชายหญิงอีกสองคน ดูท่าทางตึงเครียดน่าดู
“ก็ไม่มีอะไร เธอขายหุ้นในร้านนี้ให้ฉันแล้วออกไปจากร้านนี้ไปซะ เธอก็รู้ว่าฉันรู้สึกยังไงกับโชค ตราบใดที่มีเธออยู่โชคไม่มีวันเห็นความดีของฉันแน่นอน”
ชายหญิงคู่นั้นยืนประกบซ้ายขวา จนเกือบชิดเธอที่อยู่ตรงกลางฝ่ายหญิงกำลังพูดจากับด้วยแววตาที่ดุดัน
หญิงสาวที่กำลังพูดอยู่นี้จัดได้ว่าเป็นคนหน้าตาดีเลยทีเดียว ใบหน้ารูปไข่ ตากลมโต จมูกโด่งได้รูป ริมฝีปากบางเป็นรูปกระจับ ผมยาวดำขลับถึงกลางหลัง ผิวขาวอมชมพู ซึ่งหากเทียบเรื่องความสวยของหน้าตากับหญิงสาวที่เธอคุ้นหน้าแล้วเธอเทียบไม่ติดเลยก็ว่าได้ แต่พฤติกรรมที่เธอกำลังแสดงอยู่นี้ช่างแตกต่างกับใบหน้าที่สวยงามของเธอเหลือเกิน
“เรื่องอย่างนี้มันไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ฉัน ถึงไม่มีฉันอยู่แต่ถ้าโชคเขาไม่รักเธอ ยังไงเขาก็ไม่รัก แล้วการที่เธอเอาเรื่องไม่ดีของโชคมาเล่าให้ฉันฟังนี่ ฉันรู้ว่าโชคมีข้อดีและข้อเสียอะไรบ้าง และหากโชคเขาจะพูดอะไรเกี่ยวกับฉัน เขาคงไม่พูดผ่านเธอหรอก วิธีการที่เธอกำลังทำมันก็ไม่ใช่วิธีการที่ดีเลยนะแพรว” หญิงสาวพูดเชิงอธิบาย
“เชื่อแพรวเถอะรัน เธออย่าดื้ออยู่ที่นี่ต่อไปเลย” ชายหนุ่มกล่าวขึ้นบ้าง
“มันไม่ยุติธรรมเลยนะ พอรันไม่ชอบนนท์แล้ว นนท์ก็ตั้งท่าจะเป็นศัตรูกับรัน จริงๆ แล้วเราคบกันแบบเพื่อนก็ได้นี่”
หญิงสาวมองชายหนุ่มเบื้องหน้า และพูดจาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
“เธอคิดว่าไอ้นนท์มันรักเธอมากขนาดนั้นเชียวเหรอ ทีมันจีบเธอก็เพราะว่าต้องการแยกเธออกมาจากโชคเท่านั้น อย่าสำคัญตัวผิดหน่อยเลย” หญิงใบหน้าสวยนั้นหันไปยิ้มให้กับชายหนุ่มที่ยืนข้างกัน
“เอาเป็นว่าพวกเรามีกันสองคน ส่วนเธอคนเดียว ทางที่ดีเธอขายหุ้นให้แพรวแล้วกลับบ้านเธอไปซะจะดีกว่า”ฝ่ายชายเป็นผู้พูดบ้าง พร้อมกับสายตาที่เจ้าเล่ห์ จ้องมองมายังหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงกลาง
“เธอสองคนนี่มันงูพิษจริงๆ ต่อหน้าโชคเธอทำเป็นดีกับฉัน แต่พอลับหลังเธอก็ต้องการให้ฉันไปจากที่นี่ ฉันไปทำอะไรให้เธอทำไมเธอถึงไม่อยากให้ฉันอยู่ที่นี่”
“แกอยากรู้มากใช่ไหม ฉันจะบอกให้แกรู้ก็ได้”คราวนี้สลับเป็นหญิงใบหน้าสวยที่ยืนอยู่อีกข้างหนึ่งกำลังตะคอกใส่หน้าหญิงสาวที่อยู่ตรงกลาง โดยมือข้างหนึ่งของเธอกำลังบีบปลายคางของหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงกลางไว้
“ตั้งแต่โชครู้จักกับแกเค้าก็ให้ความสำคัญกับแกมาก ทั้งๆ ที่คนๆ นั้นต้องเป็นฉัน อะไรๆ ก็แก แล้วก็แก โชคให้ความสำคัญกับแกมากเกินไป จริงๆ แล้วหุ้นส่วนร้านนี้ต้องเป็นฉันไม่ใช่แก ฉันตามโชคกลับมาที่นี่เพื่อจะมาเป็นส่วนหนึ่งของร้านนี้ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตโชค แต่โชคกลับเลือกแก ฉันจะเตือนแกเป็นครั้งสุดท้ายนะว่าให้กลับบ้านไปซะ แล้วอย่ามาที่นี่อีก คนที่นี่ไม่ต้อนรับแก จำใส่หัวไว้ด้วย ถ้าแกยังขืนที่จะอยู่ที่นี่ต้องไป อย่าหาว่าพวกเราใจร้ายก็แล้วกัน”
พูดจบหญิงสาวกระแทกศีรษะของอีกฝ่ายเข้ากับผนังห้องอย่างจัง ตามด้วยชายหนุ่มที่ตอนนี้จ้องหญิงสาวอย่างไม่กระพริบตา
หญิงสาวผู้ถูกกระทำได้แต่ยืนอึ้ง ด้วยความคาดไม่ถึงว่าเพื่อนทั้งสองคน จะคิดกับเธอได้ถึงเพียงนั้น แม้ว่าจะเป็นเพื่อนใหม่แต่เธอก็รู้จักกับเพื่อนสองคนนี้มากว่าห้าปีแล้ว จนโชคชักชวนเธอมาร่วมทำธุรกิจที่บ้าน แพรวก็ตามกลับมาอยู่ที่ต่างจังหวัดด้วยกัน เธอเองเคยถามโชคเมื่อครั้งที่ชายหนุ่มแนะนำให้รู้จักกับแพรวพรรณว่าทั้งสองเคยชอบพอกันมาก่อนหรือไม่ เพราะพฤติกรรมของแพรวพรรณที่แสดงออกต่อโชคนั้นมองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าเจ้าตัวคิดอย่างไรอยู่ แต่ชายหนุ่มผู้เป็นเพื่อนก็บอกปฏิเสธว่าทั้งคู่เป็นเพียงเพื่อนกันเท่านั้น
บัดนี้ความเจ็บปวดจากแรงกระแทกระหว่างศีรษะกับผนังห้องมันไม่เท่ากับความเจ็บปวดในความรู้สึก ที่เธอเองเริ่มจะรู้ว่านี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น
ชายหญิงคู่นั้นตบท้าวเดินออกไปจากห้องพร้อมกับรอยยิ้มหยันๆ ปล่อยให้หญิงสาวผู้นั้นยืนอยู่เพียงลำพัง เธอผู้นั้นค่อยๆ เดินออกมาจากห้องๆ นั้น ภายนอกเป็นร้านอาหารที่ถูกตกแต่งด้วยโคมไฟโบราณสีนวลตา ที่ผนังถูกปูทับด้วยผ้าทอพื้นเมืองลายแปลกตา พื้นกระเบื้องขัดมันสีไข่ไก่ ประดับลวดลายดอกพิกุลนั้น เมื่อยามสะท้องแสงไฟ มันช่างดูราวกับดอกพิกุลเหล่านั้นเพิ่งร่วงหล่นมาจากต้นรายรอบไปด้วยกระถางกุหลาบสีแดงสด
มีลูกค้าแน่นเกือบเต็มร้าน พนักงานเดินขวักไขว่สวนกันไปมา เสียงบรรเลงของเปียโนถูกคัดสรรให้เอาใช้ขับกล่อมลูกค้าในยามเย็นเช่นนี้ ลูกค้ามากหน้าหลายตา กำลังอิ่มเอมกับความเลิศรสของอาหารเคล้ากับความเลิศรสของบรรยากาศร้าน ที่ได้ชื่อว่ากำลังดังเป็นพลุแตกของเมืองๆ นี้ก็ว่าได้
“รัน แกเป็นอะไรไปวะ เรียกอยู่ตั้งนานทำเป็นไม่ได้ยิน แพรวกับนนท์กลับไปแล้วเหรอ สองคนนี้ก็แปลกบอกให้อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนก็ไม่ตอบรีบจ้ำอ้าวออกไปซะงั้น เออ...รันไปดูลูกค้าโต๊ะนั้นหน่อย เห็นเขาถามหาแกอยู่ เนื้อหอมนะแกช่วงนี้”
ชายหนุ่มผู้เป็นเพื่อนสนิทของหญิงสาวกระเซ้าเล่นแกมเป็นห่วง เพราะนับตั้งแต่รันชรีมาอยู่ที่เมืองนี้ ก็เข้าปีทีสองแต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีใครมาจีบ หากแต่เมื่อไม่นานมานี้ดูเหมือนจะมีใครสักคนส่งดอกไม้ช่อใหญ่ให้กับหญิงสาว ซึ่งเขาเองพอคาดเดาได้ว่าต้องเป็นสัญญาณของการเชื่อมสัมพันธ์แบบไหน
หญิงสาวเดินผละจากชายหนุ่มมุ่งตรงไปยังลูกค้ากลุ่มนั้น หลังจากทักทายตามมารยาทแล้ว พนักงานเสิร์ฟคนหนึ่งจึงเดินมาสะกิดด้านหลัง ทันทีที่รันชรีหันกลับไป ก็พบกับดอกกุหลาบสีแดงช่อใหญ่
“พี่รันครับ ลูกค้าเขาให้ผมเอามาให้พี่น่ะครับ”
“ชอบไหมครับคุณรัน”
เสียงทุ้มนุ่มๆ มาจากใครคนหนึ่งในกลุ่มลูกค้าที่อยู่ตรงหน้า ส่งเป็นคำถามมายังหญิงสาว รันชรีได้แต่ยิ้มแบบเสียไม่ได้ และรับดอกไม้ช่อนั้นไว้
“สวยดีค่ะ ขอบคุณมากนะคะ งั้นรันให้เด็กจัดใส่แจกันไว้ในร้านเลยก็แล้วกัน จะได้ไว้อวดลูกค้าท่านอื่นด้วย”หญิงสาวถือว่าเป็นทางออกที่ดีทางหนึ่งสำหรับเธอ
หญิงสาวเลี่ยงออกมาอีกด้านหนึ่งของร้าน แต่ความคิดยังคงติดอยู่กับชายเมื่อสักครู่
“เขานั่นเอง”
แม้หญิงสาวจะไม่รู้จักชายคนนี้ แต่ดอกไม้ช่อนี้เป็นช่อที่สามแล้วที่เธอได้รับจากคนๆ เดียวกันในเดือนนี้
“เขาเป็นใคร?”
แน่นอนว่าเขาคือลูกค้าคนหนึ่ง
แต่แล้วเหตุใดจึงมอบดอกไม้ให้เธอ?
“ดอกไม้สวยๆ สำหรับคนที่สวยที่สุดของผมครับ”
ใบหน้าหญิงสาวแดงปลั่งขึ้นมาทันทีที่เสียงทุ้มนุ่มนั้นดังมาจากด้านหลังของตน
“ผมจะมาที่ร้านนี้ทุกวันได้ไหมครับ”ชายผู้นั้นเอ่ยถามด้วยนัยตาเว้าวอน
แม้ว่าสองครั้งที่ผ่านมาหญิงสาวจะเพียงพูดคุยและกล่าวคำขอบคุณในฐานะลูกค้าคนหนึ่งเท่านั้น แต่สำหรับวันนี้ความรู้สึกบางอย่างมันเริ่มเกิดขึ้น เหมือนถูกช็อตด้วยกระแสไฟฟ้าแรงสูง หัวใจเธอเต้นแรงผิดปกติ บางครั้งรู้สึกชาไปทั้งตัว แต่บางครั้งก็รู้สึกเบาหวิวเหมือนร่างกายจะล่องลอยไปในอากาศเสียอย่างนั้น
พวงแก้มแดงระเรื่อบนใบหน้าเปื้อนยิ้มโดยไร้การควบคุมของเธอ ราวกับเป็นลูกกุญแจที่หยิบยื่นให้ชายผู้นั้นไขเข้าไปในห้องหัวใจที่ถูกปิดไว้มาเนิ่นนาน
เคยมีใครหลายคนบอกว่า แม้ว่าหญิงสาวไม่จัดว่าเป็นคนหน้าตาสะสวยมากมาย หากแต่เธอกลับมีเสน่ห์บางอย่างที่มองได้อย่างไม่เบื่อ นับตั้งแต่เลิกรากับแฟนหนุ่มเมื่อครั้งเรียนอยู่ปีสาม เพื่อนๆ ก็ไม่เห็นว่าเธอจะเปิดใจคบใครเป็นแฟนอีกเลย คงมีบรรดาเพื่อนฝูงเท่านั้นที่ห้อมล้อมเธออยู่ โดยเฉพาะเพื่อนชายอย่างโชคที่เธอสนิทสนมมากที่สุด จนเพื่อนๆ อดคิดไม่ได้ว่าเธอแอบชอบโชคอยู่ลึกๆ จึงไม่ยอมมีแฟนสักที แต่ความจริงทั้งหมดมีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้นที่ให้คำตอบได้
“ฉันคิดว่าฉันไม่เหมาะกับการมีชีวิตคู่ อยู่กับเพื่อนแล้วมีความสุขกว่า ตอนนี้ฉันมีงาน มีบ้าน มีรถ ก็แค่เก็บเงินไว้ใช้ตอนแก่ให้ได้มากที่สุด แล้วก็อยู่กับเพื่อนแค่นี้ก็พอแล้ว”มันคือคำตอบที่เพื่อนเคยได้รับ และหลังจากวันนั้นมาไม่มีเพื่อนคนไหนถามไถ่เกี่ยวกับความรักของรันชรีอีกเลย
จนกระทั่ง...ชายคนนี้เข้ามา
หากคาดเดาถึงอายุอานามของบุรุษผู้ส่งดอกไม้ให้น่าจะเลขสามปลายๆ หรือเลขสี่ต้นๆ แต่ดูจากเค้าโครงหน้าตาแล้ว ตอนรุ่นๆ คงจะเนื้อหอมไม่เบา แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ต้องคาดเดาอายุขนาดนี้น่าจะมีครอบครัวไปเสียแล้วเพราะในความเป็นจริงชายอายุเท่านี้น้อยคนนักที่จะยังครองตัวเป็นโสดได้ ทำให้ในตอนแรกหญิงสาวไม่อยากเชื่อมความสัมพันธ์ใดๆ ต่อ แต่ทว่าความรู้สึกภายในมันกลับเรียกร้องให้เธอต้องลอบมองไปทางเขาบ่อยๆ โดยที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลย
“หรือคุณรันรังเกียจพ่อม่ายอย่างผม”
หญิงสาวหวนนึกถึงคำถามพร้อมสายตาเว้าวอนของชายผู้นั้น พร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ และลมหายใจที่ถูกถอนออกมาเบาๆ
“ก็แสดงว่าเขาเคยมีครอบครัวมาก่อนแล้ว” แต่จะสาเหตุอะไรที่ทำให้ต้องเป็นโสดอีกครั้ง หญิงสาวยังคงเก็บความสงสัยนั้นไว้ลึกๆ
“กิตติ คุณานันทการ หัวหน้าฝ่ายการตลาดระดับเขต”
หญิงสาวอ่านชื่อและตำแหน่ง ของผู้เป็นเจ้าของนามบัตรเสียงแผ่วเบา แล้วเลยสายตาไปยังแจกันดอกกุหลาบที่สียังคงแดงสดรอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏให้เห็นได้ที่มุมปากของเธอ ขณะนี้เจ้าของช่อดอกไม้นี้จะอยู่ที่ไหนนะ? วันนี้เขาจะมาหาเธออีกหรือเปล่า?
คำถามที่ถูกกลั่นกรองจากความรู้สึกที่แท้จริงในยามนี้
จะผิดไหมหากวันนี้เธอจะยอมเปิดใจรับใครสักคนเข้ามาในชีวิต ใจหนึ่งก็ยังกลัวแต่อีกใจหนึ่งมันกลับส่งเสียงเรียกให้เปิดกลอนประตูนั้นเสีย
อีกหนึ่งคำถามที่เธอย้อนถามตัวเอง
สายลมอ่อนๆ ปะทะใบหน้าหญิงสาว เธอทอดสายตาไปยังเบื้องหน้าที่มีดอกกุหลาบสีแดงโตปักอยู่บนแจกันแก้วใบนั้น พร้อมๆ กันใบหน้าของผู้มอบให้ก็วนเวียนเข้ามา ความสับสนเช่นนี้ ยากที่จะตัดสินใจ หากวันนี้แม่ยังอยู่กับเธอ เธอคงจะรีบไปปรึกษาแม่อย่างแน่นอน แต่ทว่าสิ่งที่เธอทำได้คือการนั่งคุยกับรูปภาพของแม่เท่านั้น
แต่หญิงสาวจะรู้หรือไม่ว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังเพ่งพินิจในอากัปกิริยาของเธออยู่
จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเพื่อนรักคนเดียวของเธอ ชายหนุ่มลอบมองหญิงสาวอยู่พักใหญ่ ไม่มีผู้ใดทราบได้ว่าในขณะนี้ชายหนุ่มรู้สึกเช่นไรกับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้น เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเดินตรงไปที่หญิงสาวที่กำลังนั่งส่งยิ้มให้กับดอกกุหลาบสีแดงในแจกัน
“รัน แกชอบเขาหรือ?”
“ใครชอบใครโชค” หญิงสาวส่งคำถามคืน
“ฉันจะเตือนแกไว้อย่างนะรัน ทุกคนที่เมืองนี้รับรู้ว่าแกคือเพื่อนของฉัน คือเจ้าของร้านนี้ครึ่งหนึ่ง มีคนสองแบบคือ ต้องการความรักจากแก และต้องการเงินจากแก จะคิดจะทำอะไรก็ขอให้รอบคอบหน่อยนะเพื่อน”
พูดจบชายหนุ่มก็ผละจากหญิงสาวออกไป ปล่อยให้อีกฝ่ายอึ้งกับคำพูดที่เพิ่งได้รับฟังมาเมื่อไม่กี่วินาทีที่ผ่านมา
“มองโลกในแง่ร้าย! แกคิดเหรอว่าทุกอย่างจะเป็นอย่างที่แกคิด แกไม่รู้จักเขาสักหน่อยแล้วจะมาพูดจาแบบนี้มันไม่ยุติธรรมเลยนะเพื่อน”หญิงสาวเอ่ยไล่หลัง
ชายหนุ่มหยุดแล้วหันหลังกลับไปทางหญิงสาว
“หรือแกจะบอกว่าแกรู้จักเขาล่ะ”
หญิงสาวยากที่จะเอ่ยสิ่งใดต่อไปได้ มีเพียงสายตาเท่านั้นที่มองตามหลังผู้เป็นเพื่อนที่กำลังเดินจากไป
.........................................................................................................................................
ภาพของชายหญิงคู่หนึ่งยืนสวมกอดกันอยู่บนชานที่ยื่นออกไปในแม่น้ำ รายล้อมด้วยกระถางดอกกุหลาบสีแดงสดฝ่ายชายเอามือลูบศีรษะฝ่ายหญิงเบาๆ ก่อนจะเลื่อนมือมาจับตรงหัวไหล่ และฝากรอยจุมพิตเล็กๆ ไว้บนหน้าผากของหญิงสาว
“รัน คุณรอผมนะครับ ผมจะทำเรื่องขอย้ายมาประจำที่จังหวัดนี้ แล้วเราจะได้อยู่ด้วยกัน”
ฝ่ายชายพูดกึ่งให้คำสัญญากับหญิงสาว แทนคำตอบมือเล็กๆ ของหญิงสาวเอื้อมไปจับที่ใบหน้าของฝ่ายชาย
“ค่ะ รันจะรอคุณ รันรักคุณมากนะคะ”
หญิงสาวหันหลังกลับเพื่อนั่งลงที่เก้าอี้โยกบนชานไม้นั้น ฝ่ายชายกำลังตัดกิ่งแห้งของต้นกุหลาบออก พระอาทิตย์ใกล้จะลับเหลี่ยมเขาแล้ว ฝูงนกกำลังบินกลับรังเป็นทิวแถว ในยามนี้หัวใจหญิงสาวคงจะพองโตมากกว่าดวงอาทิตย์ที่อยู่หลังเขาโน่นหลายสิบเท่า รอยยิ้มของเธอมันยากที่จะบอกไว้ว่าความสุขที่มีนั้นมันมากมายเพียงใด
...........................................................................................................................................
“แหม่ม แหม่ม”เสียงใครคนหนึ่งเรียก หญิงสาวลืมตาขึ้นมา ทั้งๆ ที่เธอเองยังอยากจะหลับใหลต่อไป
“แวะปั๊มกันหน่อย แล้วแกก็มาเปลี่ยนฉันขับรถ หลับมาพอแล้วถึงคราวให้ฉันพักสายตาบ้าง”
ผู้ทำหน้าที่สารถีในช่วงแรก พูดพลางเปิดประตูรถ แล้วก้าวลงไปยืนบิดขี้เกียจอย่างไม่ยี่หร่าต่อสายตาผู้คนที่กำลังจ้องมองหญิงสาวในอาการที่กำลังขับไล่ความเมื่อยขบอยู่ในขณะนี้
“ชมพู่ ฉันมีเรื่องอยากจะเล่าให้แกฟัง” แหม่มกล่าวออกมาอย่างยากเย็น
แล้วเรื่องราวทั้งหมดก็ถูกถ่ายทอดให้อีกฝ่ายหนึ่งได้รับรู้
อีกไม่ถึง 20 กิโลเมตร จะถึงจุดหมายปลายทาง แต่เข็มไมล์ของคันเร่งยังคงที่ ราวกับว่าเป็นการนั่งรถชมวิวทิวทัศน์ของวันพักผ่อนสุดสัปดาห์ของผู้กำลังเดินทางท่องเที่ยว แต่ทว่าในขณะนี้ปลายทางของทั้งสองสาวไม่ใช่ประเด็นที่น่าสนใจอีกต่อไป สิ่งที่น่าสนใจมากกว่าคือหัวข้อสนทนาที่ผู้ทำหน้าที่เป็นสารถีช่วงที่สองเล่าให้เพื่อนฟังต่างหาก
“แกแน่ใจนะว่าแกไม่ได้คิดไปเอง แกลองเล่าให้ฟังอีกรอบได้ไหม”ชมพู่ถามซ้ำเป็นครั้งที่เท่าใด แหม่มเองก็จำไม่ได้แล้ว
“นี่แก! จะให้ฉันเล่าให้ฟังอีกกี่รอบมันก็ยังเหมือนเดิม แกไม่ต้องมาทดสอบฉันหรอก ฉันไม่ได้โกหก ฉันแน่ใจเพื่อน มีอย่างเหรอ จะฝันถึงคนๆ เดียวกันและเรื่องราวมันก็ต่อเชื่อมโยงกัน จนฉันรู้สึกได้ว่าฉันเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย”แหม่มยังคงยืนยันกับเพื่อนสาว
“งั้นฉันว่าเธอคนนั้น คุณรันของแก คงต้องการบอกอะไรแกซักอย่างแล้วละ”คราวนี้คู่สนทนาดูเหมือนจะยอมรับว่าอีกฝ่ายไม่ได้สร้างเรื่องขึ้นมาอย่างแน่นอน
“ถ้าอย่างนั้นต้องรีบไปให้ถึงที่โรงแรม แล้วฉันจะรีบนอนจะได้หลับฝันถึงเธอคนนั้นต่อ ฉันชักจะอยากรู้แล้วล่ะว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น”
พูดจบผู้ทำหน้าที่สารถีไม่รอช้า เหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็วจนผู้ที่โดยสารมาด้วยนั้นร้องเสียงหลงด้วยความตกใจในระดับความเร็วของรถ
แต่ทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่ทั้งสองวางแผนไว้ เพราะเมื่อเธอถึงโรงแรมก็มีเจ้าหน้าที่ของสาขานั้นมาคอยต้อนรับ และพาทั้งสองสาวไปทานอาหารพร้อมกับแนะนำให้รู้จักกับเจ้าหน้าที่อีกสองสามคน กว่าจะกลับถึงโรงแรมอีกทีก็เกือบสี่ทุ่ม ทำให้สองสาวเหนื่อยล้าไปตามๆ กัน ซึ่งแหม่มเองที่คาดหวังว่าจะได้ฝันต่อก็ต้องผิดหวัง เพราะคืนนั้นแหม่มหลับเป็นตาย นอนรวดเดียวถึงหกโมงเช้า จะเสียดายที่ไม่ได้ฝันต่อหรือจะดีใจที่ได้พักผ่อนเต็มที่ แหม่มเองก็ยังเลือกไม่ถูกในความรู้สึก
.....................................................................................................................................